สมาธิ Meditation

สมาธิคืออะไร

สมาธิแปลว่า การมุ่งมั่นกระทำด้วยความตั้งใจ แน่วแน่ของจิต เกิดขึ้นครั้งแรกใน ภูมิภาคตะวันออก โดยเฉพาะ ทางศาสนา ศาสนาแรกที่มีการบันทึกไว้ถึง การทำสมาธิ คือ ศาสนาฮินดู ในประเทศอินเดีย ซึ่งต่อมาได้ ถูกดัดแปลง และนำมาใช้ นอกเหนือ บริบททางศาสนา เช่นการนำมาใช้ใน การออกกำลังกาย เช่น หัตโยคะ ชี่กง การทำสันสกฤตยานา (Sanskrit Dhayana) หรือศิลปะแขนงต่างๆ ของประชาชนพื้นบ้านในแถบเอเซีย (Martial Art) เป็นต้นโดยเน้นเรื่อง ความสงบเยือกเย็น และการเข้าถึง จิตวิญญาณ ของธรรมชาติ

รากเหง้าของคำว่า สมาธิ และ Meditation
สมาธิเป็นภาษา มาจากรากศัพท์สองศัพท์สนธิกัน คือ สO และ อธิ จากนั้นเอา O ที่อยู่บน "ส" เรียกว่า เป็น "ม" ในตัว "ม" มีสระ "อะ" อยู่หลัง "ม" แต่ในภาษาบาลีไม่นิยมใส่สระ "อะ" อยู่หลังพยัญชนะ ด้วยเหตุนี้ คำว่า "สO" จึงเปลี่ยนรูปเป็น "ม" และ "อธิ" เปลี่ยนรูปเป็น "อา" เมื่อสนธิกัน จึงเป็น สมาธิ ในซีกโลกตะวันออก สมาธิจะใช้มุมมองที่ได้จาก การสังเคราะห์ความจริง ตามธรรมชาติ (วิริยังค์ สิรินธโร, 2548) ขณะที่คำว่า Meditation มาจากภาษาละติน โดยมีจุดเริ่มต้นจาก การฝึกร่างกายและจิตใจ ให้มีความแน่วแน่ และมั่นคง มักจะพบใน ศาสนาคริสต์ ซึ่งจะกล่าวถึง สมาธิในด้านจิตวิญญาณ (Spiritual) เช่น สมาธิที่มาจาก ความทนทุกข์ของพระเยซู (Marcus Aurelius, 2006)

สมาธิ

 

สมาธิมีกี่ประเภท

มีความพยายามของศาสตร์ทางตะวันตก ที่ต้องการจำแนกชนิดของสมาธิ จากการศึกษาของ มาคัส อูรีเลียส (Marcus Aurelius, 2006) ซึ่งเป็นนักปรัชญาตะวันตก ได้จำแนกชนิดของสมาธิโดยอ้างอิงกับศาสนา ลัทธิ และวิธีการปฎิบัติ มีการแบ่งสมาธิออกเป็น 9 ชนิด

1. สมาธิตามแนวพุทธศาสนา (Buddhism) ในทางพุทธศาสนา ได้แบ่งเป็นสมาธิและวิปัสสนา ซึ่งจำเป็นต่อ การตรัสรู้ ดังนั้น สมาธิจึงมีสองแบบ คือ สมาธิแบบธรรมชาติ และ สมาธิ ที่สร้างขึ้นด้วย การตั้งใจ หรือ มุ่งเน้นไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งเพื่อให้ เกิดสมาธิ นอกจากนี้ใน ทางเถรวาท จะเน้น วิปัสนาสมาธิ และ อาณาปานสติ
นอกจากนี้ใน ประเทศญี่ปุ่น มีการผนวก การฝึกสมาธิ ตามหลัก เทนได (Tendai concentration) เข้าไปรวมกับ ศาสนาพุทธแบบเชนของจีน (Chinese Chan Buddhism) ซึ่งเป็นการรวมเอา ลัทธิเซนแบบญี่ปุ่น และ เกาหลี เข้าด้วยกัน (Japanese Zen and Korean Seon)
ส่วน ศาสนาพุทธแบบธิเบต จะเน้น ตันตระ ซึ่งเป็นอีกชื่อหนึ่งของ พุทธศาสนาแบบ วชิระญาณ โดยสมาธิ จะเป็นการปฏิบัติที่สูงขึ้น ของนักบวช นอกจากนี้การฝึกฝนของนักบวชก็จะไม่นิยมฝึกตามลำพัง แต่จะใช้ การสวดมนต์หมู่ ให้เกิดสมาธิ

2. สมาธิตามแนวคริสต์ศาสนา (Christianity) ประเพณีปฏิบัติ ของ ชาวคริสต์ มีหลากหลาย ซึ่งมีหลายอย่าง ที่ถูกจัดว่า เป็นส่วนหนึ่งของ การฝึกสมาธิ สิ่งเหล่านี้ได้แก่ สวดมนต์ในโบสต์ ดังนั้นผู้ที่สวดมนต์ใน โบสต์คริสต์ อาทิ สวดมนต์ และ การนับลูกประคำ ในคริสต์นิกายคาทอริก หรือ การเดินสวดมนต์ อย่างเงียบๆ ใน คริสต์นิกายออโทดอกซ์ ( Eastern Orthodoxy) เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับ สมาธิ ในแนวตะวันออก ซึ่งเน้นไปที่ การเพ่งจิตแน่วแน่ ไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง ดังนั้นจะเห็นความคล้าย ในบางประเด็น ก็คือ การเอาจิตใจจดจ่ออยู่กับ การสวดมนต์ให้ เกิดสมาธิ

3. สมาธิตามแนวศาสนายิว (Judaism) สมาธิตามศาสนายิวมักจะหมายถึง การติดต่อกับแหล่งกำเนิด ของชีวิต และมีความหมายต่อการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันของเพื่อนมนุษย์ ซึ่งไม่ใช่การสิ้นสุดหรือ การทำให้เกิดนิพพาน ตามหลักศาสนาพุทธ แต่เป็นการเริ่มต้นของสรรพสิ่ง ศาสนายิวมีนัยยะของ การปฏิบัติสมาธิ เพื่อให้เกิด การระลึกรู้ ต่อความสุข เฝ้าระวังความสุข และเกิดความเคารพต่อศาสนา การปฏิบัติสมาธิ ใน ศาสนายิวนิกายคาบาล่าห์ และฮาสิดิก (Kabbalah and Hassidic Judaism) เรียกว่า "hitbonenut" จนมีคำกล่าวถึง การปฏิบัติสมาธิ ในหมู่ชาวยิวว่า อาหารสุขภาพ ที่เรากินเข้าไปมีไว้ บำรุงร่างกายผ่านทาง กระแสเลือด แต่การทำสมาธิ เป็นการให้อาหารแก่ร่างกาย ในรูป การบำรุงทางจิตวิญญาณ นอกจากนี้ การทำสมาธิของชาวยิว จึงเป็นกระบวนการหนึ่ง ที่จะทำให้เกิดปัญญา ที่บริสุทธิ์ เกิดความสงบสุข และ อารมณ์ ที่พึงประสงค์ของผู้ปฏิบัติ (Rabbi Goldie Milgram,2006)

4. สมาธิตามแนวศาสนาฮินดู (Hinduism) ในศาสนาฮินดูซึ่งเชื่อในเรื่องการเกิดแก่ เจ็บ ตายที่เป็นวัฎจักร ดังนั้น สมาธิเป็นการฝึกความสงบให้เกิดขึ้นภายในกาย และมีจุดประสงค์ เพื่อลดความลุ่มร้อน หรือความทุกข์ทรมาน ทางจิตใจ เมื่อปฏิบัติจนถึงส่วนลึกของจิตใจแล้ว สมาธิก็จะทำให้เกิดความสงบ ความสมดุลภายใน ร่างกายและจิตใจ และเป็นเครื่องมือหนึ่งที่จะช่วยให้เกิดความสงบสุขในชีวิตได้ (Alan Spence,2006) มาคัส อูรีเลียส (Marcus Aurelius, 2006) กล่าวว่า วีดานตา (Vedanta) ก็เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของ โยคะ ซึ่งเป็นการฝึกสมาธิรูปแบบหนึ่ง โดยการควบคุมจิตใจของมนุษย์ ไม่ให้กวัดแกว่งขึ้นลง ตามสภาพอารมณ์ ที่กำลังเปลี่ยนแปลง ซึ่งลักษณะของ การฝึกสมาธิ ตามแนว ศาสนาฮินดู จะมี 7 ชนิด อาทิ การใช้เสียงและแสงในการทำสมาธิ

5. สมาธิตามแนวศาสนาอิสลาม (Islam) ในศาสนาอิสลา สมาธิเกิดจากแนวคิด 2 แนวคิด ได้แก่ 1. จาก Quran และ Sunnah โดย การฝึกสมาธิ เป็นการตั้งจิตมุ่งมั่น ที่เรียกว่า Tafakkur โดยสะท้อนให้เห็น สมาธิ ในเรื่อง การเพิ่มผลผลิต จากการคิด และ การพัฒนาปัญญา ซึ่งเป็น การต่อยอดของการทำสมาธิในระดับสูงขึ้น โดยต้องการเข้าถึง พระเจ้า อย่างไรก็ตาม กระบวนการพัฒนาปัญญา จะเกิดขึ้นส่วนหนึ่ง จะเกิดจาก การดลบันดาลของพระเจ้า ในการ ปลุกจิตสำนึก แล ะปลดปล่อยวิญญาณ ของมนุษย์ ให้เป็นอิสสระ นอกจากนี้ การฝึกสมาธิ จะช่วยฝึก บุคลิกภาพภาย ในตัวของบุคคลให้ได้รับ การพัฒนาจิตวิญญาณ และ การได้เข้าถึง พระผู้เป็นเจ้า (Maulona Wahududdin Khan, 2006)
แนวคิดที่ 2 จาก Sufism ซึ่งเกิดจากการปฏิบัติด้วยวิธี muraqaba โดยสมาธิในมุมมองของ Sufism มีจุดมุ่งเน้นเรื่องการปฏิบัติตน และเป็นกลวิธีหนึ่งที่ใช้การสวดอ้อนวอน ให้ชีวิตได้เดินทาง ไปสู่พระหัตถ์ของ พระผู้เป็นเจ้า ขณะที่ยังมีชีวิต อย่างไรก็ตามยังเป็นที่ถกเถียงและยังไม่เป็นที่ยอมรับของ ชาวมุสลิมทั่วไปเกี่ยวกับ ความเชื่อเหล่านี้ตามแนวคิดที่ 2 (Alan Godlas,2006)

6. สมาธิตามแนวศาสนาซิก (Sikhism)สมาธิตามแนวศาสนาซิก เป็นเพียงส่วนหนึ่งของ กฎความเป็นจริง 3 ข้อ ในการใช้ชีวิต ของมนุษย์ ที่ คุรุนานัค (Guru Nanak) ได้สอนไว้ดังนี้ (Society U.K. (Regd.),2004)
1. Nam Japa หมายถึง การตื่นนอนก่อนพระอาทิตย์ขึ้น ทำความสะอาดร่างกาย ให้ผู้นับถือ ศาสนาซิก ทำสมาธิด้วย การสวดอ้อนวอน พระเจ้า เพื่อชำระจิตใจให้ผ่องใส นอกจากนี้ ในระหว่างวัน การระลึกถึงพระเจ้า ทุกลมหายใจเข้าออก จะช่วยให้จิตใจผ่องใส
2. Dharam di Kirat Karni หมายถึง การทำงานและหากินด้วยหยาดเหงื่อ การทำงาน เพื่อประทังชีวิต ทั้งของตนเอง และของ ครอบครัว อย่างซื่อสัตย์ ดังนั้นผู้นับถือศาสนาซิกต้องนำพาชีวิตไปสู่ความซื่อสัตย์ ความถูกต้อง อย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี
3. Van Ke Chakna หมายถึง การแบ่งปัน อาหาร แรงงาน กับผู้อื่นอย่างมีเหตุมีผล โดยเฉพาะ การแบ่งปันสิ่งต่างๆ โดยมีจุดประสงค์ เพื่อการศาสนา และชุมชน

7. สมาธิตามแนวลัทธิเต๋า (Taoism) สมาธิตามแนวลัทธิเต๋า เกิดขึ้นเพื่อฝึกจิตใจ และ ร่างกาย ให้สู่ความสงบ โดยอาศัย ปรัชญา ในเรื่องของ ความสมดุลย์ของหยินหยาง อันเป็น พลังของจักรวาล ซึ่งการทำสมาธิ เป็นการฝึกจิต ที่จะกำจัดความคิด ที่ชั่วร้าย และใช้เป็นเครื่องมือหนึ่ง ที่ใช้ในการทำให้ จิตใจสงบ นอกจากนี้ การฝึกสมาธิตามแนว ลัทธิเต๋า สามารถทำได้ ทั้งในยามหลับ และ ยามตื่น โดยการใช้การควบคุมอารมณ์ จิตใจ มีการฝึกสมาธิแนวลัทธิเต๋าที่หลากหลาย อาทิ I Ching, Tao Te Ching, Chuang Tzu และ Tao Tsang ดังที่เราคุ้นเคย เช่น การฝึกชี่กง การฝึกไนกง เป็นต้น ด้วยการควบคุมลมหายใจเข้าออก ในขณะออกกำลังกายหรือในขณะพักผ่อน (Marcus Aurelius, 2006)

8. สมาธิตามแนวการปฎิบัติแบบTM (Transcendental Meditation) เป็นเทคนิคการทำสมาธิ ที่คิดโดย มหาฤษี Mahes Yogi ครูสอนศาสนาชาวอินเดีย ซึ่งมีพื้นฐานมาจาก การผสมผสานเทคนิค วีดานติค ของ ศาสนาฮินดู และมานตราของผู้สอน เน้นการทำสมาธิ ด้วยการฝึกหายใจเข้าออกลึกๆ และเพ่งไปที่ลมหายใจ เพื่อให้เกิดการผ่อนคลาย อันเป็นการปฏิบัติ เพื่อให้เกิดความสงบ สุขภาพดี และสามารถต่อสู้กับเหตุการณ์ต่างๆ ที่เข้ามากระทบในชีวิตได้ (Maharishi Vedic Education Development Coporation,2005)

9. สมาธิตามแนวการปฏิบัติแบบซีคูล่า (Secular) เป็นการพัฒนาจากนักจิตวิทยาชาวเยอรมัน ชื่อโจฮานนา ชูลท์ (Jahannes Schultz) ในปี ค.ศ. 1932 เป็นการนำแนวคิดตะวันออก คือการฝึกสมาธิ มาใช้ใน การพัฒนากายและจิตใจ ให้มีความเข้มแข็ง สงบ มีความเป็นอยู่และคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น การทำสมาธิ ตามแนวการปฏิบัติแบบ ซีคูล่า เป็นการนั่งบนเก้าอี้หลังตรง หลับตาและนับลมหายใจเข้าออก โดยไม่คิดเรื่องใดๆ แต่ให้ทำจิตมุ่งมั่นไปที่ลมหายใจเข้าออก (Susan Kramer, 2006)

จากลักษณะการจำแนกชนิดของสมาธิดังกล่าว มาคัส อูรีเลียส ได้อธิบายความหมายหรือนัยยะของสมาธิ ให้ครอบคลุมตาม การจำแนกชนิดของสมาธิทั้ง 9 ชนิดไว้ดังนี้

1. เป็นสภาวะที่จิตใจถูกปล่อยให้ว่างจากความคิด
2. เป็นการตั้งมั่นของจิตใจไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่ง
3. เป็นการเปิดรับจิตใจให้สัมผัสถึงความบริสุทธิ์ หรือพลังงานต่างๆ เช่น การปฏิบัติแบบซีคูล่า เป็นต้น
4. เป็นการหาเหตุผลทางปรัชญาของศาสนา เช่น การเข้าสู่นิพพานของศาสนาพุทธ เป็นต้น

ในมุมมองของมาคัส เขาเชื่อว่า ในศาสนาทางซีกโลกตะวันออก การสวดมนต์ เป็นการสื่อสารของมนุษย์ ไปสู่เบื้องบนได้แก่ พระผู้เป็นเจ้า เทวดาหรือเทพ พรหมต่างๆ แต่สมาธิเป็นการสื่อสารที่ตรงกันข้าม คือเป็นการที่พระผู้เป็นเจ้า หรือ เทวดา หรือ เทพ พรหมต่างๆ เป็นผู้สื่อสารโดยตรงกับมนุษย์ นอกจากนี้ เขายังเชื่อว่า การฝึกสมาธิเป็นการมุ่งเน้นการพัฒนาตนเอง

สมาธิในเชิงจิตวิทยา

ในทางจิตวิทยา สมาธิถูกนำไปใช้ใน การอธิบายระดับของ จิตสำนึก (Consciousness) มีการนำไป ใช้ประโยชน์ และมีจุดมุ่งหมาย ที่หลากหลาย เริ่มตั้งแต่ทำจิตใจให้สงบ น้อมนำไปสู่การปรับเปลี่ยนทัศนคติและ การมีสุขภาพของร่างกาย หัวใจ ระบบหลอดเลือดที่ดี ถ้านำมาใช้สำรวจสภาวะจิตอย่างช้าๆ ในอดีต และใน อนาคต จะช่วยให้เกิด ความสงบในจิตใจ และส่งผลต่อการใช้ชีวิตในปัจจุบัน ดังนั้นสมาธิ จึงเป็นอีกวิธีหนึ่ง ที่นำมาใช้ในเชิงจิตวิทยา

บริบทของสมาธิ

ส่วนใหญ่ สมาธิ จะถูกกล่าวถึงในแง่บวกได้แก่ การฝึกจิตใจให้เข้มแข็ง การทำให้เกิด การมุ่งมั่นตั้งใจ ในการทำงาน การปรับเปลี่ยนชีวิตประจำวัน ของบุคล หรือ การปรับเปลี่ยนทัศนคติ ต่อสิ่งต่างๆ รอบตัว ใน นิกายเซน (Zen) การปฏิบัติสมาธิ มีเพื่อทำให้ จิตใจเข้มแข็ง และ ควบคุมความโกรธ ดังนั้น สมาธิ ส่วนใหญ่จึงถูกนำเสนอในรูปของ กิจกรรมเดี่ยวๆ ที่สามารถนำมาปฏิบัติได้ในการฝึกจิตใจให้เข้มแข็ง ปัจจุบัน การทำสมาธิ ได้ถูกนำมา ประยุกต์ใช้ใน บริบท ต่างๆมากมาย อาทิ การทำสมาธิ เพื่อ ปลูกฝังจริยธรรม คุณธรรม ศิลปะป้องกันตัว หรือ ค่านิยมเชิงบวก ต่างๆ ในสังคม

จุดประสงค์และผลที่เกิดขึ้นของการทำสมาธิ

จุดประสงค์ของการปฏิบัติสมาธิ ส่วนใหญ่คล้ายคลึงกัน คือ การผ่อนคลาย จากชีวิตที่ยุ่งเหยิง สภาพจิตใจที่ว้าวุ่น การพบหนทาง หรือ สาเหตุแห่งความเป็นจริง การติดต่อกับพระผู้เป็นเจ้า และการหลุดพ้น ตามความเชื่อ ทางศาสนา ดังนั้นงานวิจัยส่วนใหญ่ จึงมุ่งเน้นไปที่ การฝึกสมาธิ อย่างเข้มข้นเพื่อ การรู้แจ้ง การตระหนักถึง เหตุแห่งความเป็นจริง การสร้างวินัยในตนเอง การควบคุมจิตใจและร่างกาย และ ความสงบ หรือ ปล่อยวาง สิ่งต่างๆ ที่เข้ามา กระทบกับชีวิต นักเขียนหลายๆท่าน หลีกเลี่ยงที่จะกล่าวถึง โทษของสมาธิ บางครั้ง ทำให้บางคน ยึดติดกับ ภาวะจิตนิ่งอยู่กับที่ จนเกิดความประมาท เกียจคร้าน ทำให้ผู้สอน การฝึกสมาธิ กลัวว่า จะกระทบกับความรู้สึกของ ผู้ที่กำลังฝึกสมาธิอยู่ นอกจากนี้ถ้า ฝึกสมาธิ เพียงลำพังบางครั้ง อาจทำให้เกิด ความรู้สึกฟุ้งซ่าน งมงายได้ มาคัส อูรีเลียส (Marcus Aurelius, 2006) กล่าวว่า ผลที่เกิดขึ้นของสมาธิได้แก่

1. เกิดความเชื่อในอำนาจที่ยิ่งใหญ่
2. เพิ่มความอดทน ความเมตตา คุณธรรม และศีลธรรม
3. ความรู้สึกสงบ สันติ และความสุข
4. ความละอายต่อความผิด ความเกรงกลัวต่อบาป ความรู้สึกเสียใจต่อความผิดที่ได้กระทำไป
5. เกิดแสงสว่าง หรือการรับรู้พิเศษต่างๆ
6. เผชิญกับความผิดพลาดในอดีต รวมทั้งความทรงจำต่างๆในอดีต หรือผลของการกระทำต่างๆ ในอดีต และทำการกำจัดสิ่งเหล่านี้
7. ประสบการณ์ของสัมผัสพิเศษ การหยั่งรู้เหตุการณ์ต่างๆ เป็นต้น
8. สิ่งเหนือธรรมชาติ ที่ไม่สามารถอธิบายได้เช่น พลังเหนือธรรมชาติต่างๆ อาทิ การลอยได้ของโยคี
9. แง่มุมทางจิตเวช

การนำสมาธิมาประยุกต์ใช้เชิงสุขภาพและการศึกษาทางคลินิก

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา มีความสนใจในเรื่อง การทำสมาธิ กับ การแพทย์เชิงจิตวิทยา(Venkatesh et al.,1997; Peng et al.,1999; Lazar et al.,2000; Carol et al., 2001) แนวคิดในเรื่องสมาธิ ได้ถูกนำมาใช้ใน เชิงคลินิก เพื่อที่จะวัดประสิทธิผลของ ระบบต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นจากการทำสมาธิในร่างกายมนุษย์ เช่น ระบบหัวใจและหลอดเลือด และระบบการหายใจ ระยะหลังมีการพยายามนำ สมาธิ มาใช้อธิบาย ปรากฏการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น ต่อมา สมาธิ ได้ถูกผลักดันเข้าสู่ ระบบการดูแล สุขภาพ ในเรื่อง การลดความเครียด ความเจ็บปวด เช่น ในปี พ.ศ. 1972 ได้มีการนำ การทำสมาธิแบบ TM มาใช้เพื่อ ลดภาวะการเผาผลาญพลังงาน การลดชีวะเคมี ในกระแสเลือด อันเนื่องมาจาก ความเครียด ได้แก่สารแลคเตต (Lactate) การลดอัตรา การเต้นของหัวใจ และการลดความดันโลหิต รวมทั้งการเหนี่ยวนำคลื่นสมองที่จำเป็น (Scientific American 226:84-90 (1972)

ในแง่มุมของการลดความเครียด

สมาธิมักถูกใช้ใน โรงพยาบาลในผู้ป่วย โรคเรื้อรัง และผู้ป่วยระยะสุดท้าย เพื่อลดความเครียด หรือ ความวิตกกังวล รวมทั้งผู้ป่วยที่มี ภาวะลดลงของ ภูมิคุ้มกันในร่างกาย จากการศึกษาของ ดร.เฮอร์เบิรต เบนสัน สถาบันจิตวิทยา ในมหาวิทยาลัยฮาร์วาด และโรงพยาบาลบอสตัน พบว่า การทำสมาธิ ทำให้เกิดการเลี่ยนแปลง สารเคมีบางอย่าง ในร่างกาย จนทำให้เกิดระยะของการผ่อนคลาย (Lazer et al.,2003) โดยระยะผ่อนคลาย ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ของการเผาผลาญในร่างกาย การเต้นของหัวใจ ความดันโลหิต และสื่อเคมีในสมอง นอกจากนี้จากการวิจัยอื่นเช่น จอน กาเบตซินและคณะ ในมหาวิทยาลัยแมตซาจูเซต พบว่าผลของ การทำสมาธิ ช่วยลดความเครียดได้ (Kabat-Zinn et al., 1985;Davidson et al.,2003)

การทำสมาธิและสมอง

สมาธิและสมองการทำสมาธิ ด้วยการใช้ เทคนิคแบบมุ่งเน้น การพัฒนาจิต มีจุดประสงค์ เพื่อให้เห็นความคิด ภายในใจ ของตนเอง การคิดเช่นนี้ช่วย ลดภาวะสมาธิสั้น ความตั้งใจที่มุ่งเน้น การจับจ้องไปที่อารมณ์จะช่วยให้เรา สามารถควบคุม สถานการณ์ อารมณ์ และสถานการณ์ที่ ยุ่งยากผิดศีลธรรม รวมทั้งทำให้เรา รับผิดชอบ สถานการณ์ต่างๆ ได้ดีขึ้น เกิดความคิด ในการเฝ้าระวังเหตุการณ์ต่างๆ และทำให้สิ่งต่างๆ ลื่นไหลไปได้ อย่างถูกต้อง

หนึ่งในทฤษฎีที่เสนอโดย เดเนียล กอลแมน และ ทาร่า – เบนเนต กอลแมน ใน ค.ศ. 2001 ได้อธิบาย การทำงานของสมาธิ ว่าเป็นเพราะ ความสัมพันธ์ระหว่าง amygdala ซึ่งเป็น เนื้อสมองที่มีรูปร่างคล้าย เม็ดแอลมอนด์ ทำหน้าที่เกี่ยวกับการรับรู้ทางอารมณ์ ความโกรธ ความกลัว และ บริเวณเนื้อสมองส่วน Prefrontal Cortex กล่าวคือ เมื่อเรารู้สึกโกรธ หรือวิตกกังวล ในเรื่องต่างๆ amygdala เป็นส่วนหนึ่งของสมอง ที่ทำให้เรา รับรู้ความรู้สึกต่างๆ นี้ได้ จากนั้น Pre-frontal Cortex จะทำหน้าที่หยุด และคิดถึงสิ่งต่างๆ ที่เรารู้กันโดยทั่วไป ว่าเป็น ศูนย์หลั่งสารยับยั้งต่างๆ หรือ (Inhibiter Center) ดังนั้น Prefrontal Cortex จึงทำหน้าที่ ได้อย่างดีเยี่ยมใน การวิเคราะห์และวางแผน ในระยะยาว ในทางกลับกัน amygdala เป็นสารที่ทำให้มนุษย์ เกิดการตัดสินใจ แบบเฉียบพลันและ จะส่งผลอย่างยิ่งยวด ใน การควบคุมอารมณ์ และ พฤติกรรม ซึ่งจะสัมพันธ์กับ การเอาชีวิตรอด ของมนุษย์ ตัวอย่างเช่น ถ้ามนุษย์เห็นสิงโตกำลังคืบคลานเข้ามา Amygdala จะทำหน้าที่เป็นกลไกในการต่อสู้ หรือ ตอบสนองในการถอยหนีก่อนที่ Pre-frontal Cortex จะทำหน้าที่ตอบสนอง แต่เมื่อต้องการใช้การตัดสินใจแบบเฉียบพลัน ถ้า Amygdale เกิดความบกพร่อง ก็จะทำให้เราเผชิญกับอันตราย อย่างไรก็ตามในความเป็นจริงเมื่อสังคมเกิดการขัดแย้งซึ่งแตกต่างจาก เหตุการณ์ข้างบนที่ มนุษย์เผชิญกับผู้ล่าคือ สิงห์โต เราพบว่า เหตุการณ์ที่ทำให้มนุษย์รับรู้ว่า เกิดความไม่สุขสบาย หรือรับรู้ว่าเกิดอารมณ์เปลี่ยนแปลง ไม่สุขสบาย กลัว วิตกกังวล เครียด และสับสน ก็จะทำให้เกิด Amygdala บกพร่องด้วยเช่นกัน

เนื่องจากมีความแตกต่างของเวลา เมื่อมนุษย์เผชิญกับ เหตุการณ์คับขัน Amygdala และ Prefrontal cortex จะทำหน้าที่ด้วยตัวของมันเอง การฝึกสมาธิ จะทำให้สมองส่วน left pre-frontal cortex ทำงานได้ดีขึ้น สุดท้าย จะทำให้มนุษย์เราสามารถควบคุมเหตุการณ์ต่างๆได้โดยตรง และเกิดความรู้สึกในด้านบวกขึ้น ความแตกต่างใน เรื่องบทบาทของสมองส่วน amygdala และ prefrontal cortex เราสามารถสังเกตการทำงานได้ง่ายๆ จากการใช้ยาเสพติดชนิดต่างๆ โดยทั่วไป การใช้แอลกอฮอล์ จะกดการทำงานของสมองโดยเฉพาะในส่วนของ prefrontal cortex โดยจะทำให้เกิด การหลั่งสารยับยั้งต่างๆ ลดลง ความตั้งใจในการทำงานลดลง และลดสภาวะ ความมั่นคงของอารมณ์ และเกิดพฤตกรรมก้าวร้าวได้ (Daneil Goleman &Tara Bennett-Goleman, 2001) นอกจากนี้ในการศึกษาวิจัยบางชิ้น ยังพบว่า การทำสมาธิ จะสัมพันธ์กับ ความมีสมาธิ การวางแผน การับรู้ การคิด และผลในเชิงบวก ทางด้านอารมณ์ ยังมีงานวิจัยที่คล้ายกันซึ่งพบว่า การทำสมาธิ จะช่วยลด ความรู้สึกหดหู่ใจ ความวิตกกังวล และเพิ่มการทำงานของสมองใน ส่วนprefrontal cortex ซีกซ้าย

สมาธิและคลื่นสมอง (EEG's)


คลื่นสมอง (EEG's)คลื่นไฟฟ้าในสมอง จากการทำสมาธิพบว่า เกิด gamma wave activity ค่อยๆ เพิ่มขึ้น ซึ่งแสดงให้เห็นถึง การเชื่อมประสาน ระหว่างส่วนต่างๆ ของสมอง ขณะทำสมาธิ มีการศึกษาเรื่อง การทำสมาธิ ในแนวพุทธ เพื่อฝึกจิตใจ และมีการวัดคลื่นสมอง ผู้ฝึกสมาธิ มาเป็นระยะเวลา 10 ถึง 40 ปี พบว่า บุคคลกลุ่มนี้ สามารถ ทำให้gamma wave activity ในสมองค่อยๆ เพิ่มขึ้นได้ ถึง แม้ว่าผู้นั้นจะอยู่ในภาวะพักผ่อน หรือไม่ได้ทำ สมาธิอยู่ก็ตาม สิ่งเหล่านี้แสดง ให้เห็นว่า การฝึกสมาธิจะช่วย ทำให้บุคคลสามารถ ควบคุมการเกิด gamma wave activity ได้ ที่สำคัญคือ สามารถวัดผลที่ได้ จากเครื่องวัดคลื่นสมอง (EEG Machine) ในขณะตื่นพบว่า คลื่น Beta จะอยู่ในช่วงคลื่นความถี่ 14-21 รอบต่อวินาที ขณะอยู่ในสมาธิสมองจะช่วยควบคุมคลื่น Alpha ให้อยู่ในช่วง 7-14 รอบ ต่อวินาที บุคคลแรกที่ค้นพบวิธีการวัดคลื่นสมองคือ Jose Silva และเรียกวิธีการวัดนี้ว่า Silva Method โดย Silva ค้นพบว่า การทำสมาธิ จะช่วยลดความเครียด ช่วยเพิ่มขีดความสามารถ ในการมองตนเอง เชิงประจักษ์และ ความคิดสร้างสรรค์

ผลกระทบในทางตรงข้ามของสมาธิ

งานวิจัยส่วนใหญ่ชี้ให้เห็นถึง ผลลัพธ์เชิงบวกของสมาธิ อย่างไรก็ตามยังมีงานวิจัยบางส่วนที่ค้นพบถึง ผลกระทบในทางตรงข้ามของสมาธิ (Lukoff , Lu & Turner, 1998; Perez-De-Albeniz & Holmes, 2000) โดยกล่าวว่าถ้าบุคคล ฝึกปฏิบัติอย่างเคร่งครัด การทำสมาธิอาจทำให้เกิดปัญหาทางจิตใจได้ เช่น Kundalini Syndrome หรือ Shamanic illness (ความเชื่อว่า การฝึกสมาธิ จะทำให้เกิดอำนาจพิเศษ) และเกิดปัญหาทาง ด้านร่างกาย เช่น การฝึกชี่กง เป็นต้น อย่างไรก็ตาม จากแนวคิดทางตะวันออก ซึ่งมีการนำสมาธิ มาใช้เพื่อปรับปรุง สุขภาพและจิตวิญญาณ การที่ชาวตะวันตก นำมาประยุกต์ใช้ โดยไม่ได้ศึกษา บริบททางด้านศาสนา จนทำให้เกิดปัญหาโรคจิตเรื้อรัง รวมทั้ง ปัญหาทางสุขภาพ ร่างกายมีการศึกษา ผู้ฝึกสมาธิในระยะเวลานานจำนวน 27 คนพบว่า เกิดความรู้สึกซึมเศร้า หนีความจริง และเกิดความรู้สึกว่าตนเองเป็นผู้วิเศษ (Perez-De-Albeniz & Holmes, 2000)

Reference

1. วิริยังค์ สิรินธโร. (2548). พื้นฐานการทำสมาธิ. บริษัทประชาชน จำกัด .กรุงเทพฯ 10500.
2. Marcus Aurelius. (2006).Meditation. http://en.wikipedia.org/wiki/Meditation.
3. Robbi Goldie Milgram.(2006). Reclaiming Judism as a Spiritual Practice. http://www.rebgoldie.com/Meditation.htm.
4. Alan Spence. (2006).Sufism . http//www.arches.uga.edu/~godlas/Sufism.html.
5. Maulona Wahudduddin Khan.(2006). Meditation in Islamism. http://www.alrisala.org/Articles/mysticism/meditation.htm.
6. Society U.K.(Reg).(2006). The Sikh concepts I . http://www.allaboutsikhs.basics/intro-05.htm.
7. Maharishi Vedic Education Development Coperation. (2005). Transcendental Meditation. http://www.maharichi.org.
8. Susan Kramer.(2006). Meditation and Secular Spirituality. http://www.bellaonline.com/articles/art41804.asp
9. Venkatesh S, Raju TR, Shivani Y, Tompkins G, Meti BL.(1997). A study of structure of phenomenology of conciousness in meditative and non-meditative states. Indian J Physiol Pharmacol. 1997 Apr;41(2): 149-53. PubMed Abstract PMID 9142560. http://wwqw.nci.nlm.nih.gov/entrez/query.fcgi?.
10. Peng CK, Mietus JE,Lui Y, Khalsa G,Douglas PS, Benson H, Golberger AL. (1999). Exaggerated heart rate oscillations during two meditation techniques. Int J Cardiol. 1999 Jul 31;70(2):101-7. Pubmed Abstract PMID 10454297. http://wwqw.nci.nlm.nih.gov/entrez/query.fcgi?.
11. Lazer,Sara W.;Bush,George;Gollub,Randy L; Fricchione,Gregory L.;Khalsa, Gurucharan;Benson,Herbert.(2000). Functional brain mapping of the relaxation response and meditation [Autonomic Nervous System] Neuroreport. Volume 11 (7) 15 May 2000 p 1581-1585 PubMed abstact PMID 10841380. http://wwqw.nci.nlm.nih.gov/entrez/query.fcgi?.
12. Kabat-Zin J, Lipworth L, Burney R.(1985). The clinical use of mindfulness meditation for the self-regulation of chronic pain. Jour. Behav.Medicine. Jun;8(2):163-90.PubMed abtract PMID 3897551. http://wwqw.nci.nlm.nih.gov/entrez/query.fcgi?.
13. Davidson RJ,Kabat-Zinn J,Schumacher J, Rosenkranz M,Muller D,Santorelli SF, Urbanowski F, Harrington A, Bonus K, Sheridan JF.(2003). Alterations in brain and immune function produced by mindfulness meditation. Psychosomatic Medicine 2003 Jul-Aug;65(4):564-70. PubMed abtract PMID 3897551. http://wwqw.nci.nlm.nih.gov/entrez/query.fcgi?.
14. American Psychiatric Association.(1994). Diagnostic and Statistical Manual Disorders. Fourth edition. Washington ,D.C.: American Psychiatric Association.
15. Lukoff,David;Lu Francis G.&Turner, Robert P.(1998). From spiritual emergency to spiritual problem;The Transpersonal Roots of The New DSM-IV Category. Journal of Humanistic Psychology,38(2),21-50.
16. Perez-De-Albenia, Alberto &Holms, Jeremy. (2000). Meditation:Concepts,Effects And Uses In Therapy.Internationa Journal of Psychotherapy,March 2000, Vol.5 Issue 1,p49,10p.


เขียนโดย พรรณี ภาณุวัฒน์สุข นักวิชาการสาธารณสุข 7 กองการแพทย์ทางเลือก