กลุ่มธาตุชะลอความแก่

  • Tab 1
  • Tab 2
  • Tab 3
  • Tab 4

กลุ่มแร่ธาตุชะลอความแก่

โดย ภก.สรจักร ศิริบริรักษ์ ภาพโดย ไชยยันต์
จากคอลัมน์เภสัชโภชนา หน้า ๔๗-๕๐ นิตยสารรายปักษ์ พ ล อ ย แ ก ม เ พ ช ร ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๒๒๓ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๔๔

ธาตุ-ความหมายที่แตกต่าง เมื่อเอ่ยถึงธาตุ บางคนอาจนึกถึงแร่ธาตุในตารางธาตุตามหลักวิทยาศาสตร์ และบางคนอาจนึกถึงดิน น้ำ ลม ไฟ
ไม่ว่าจะคิดอย่างไรความถูกต้องตรงกันคือว่า ธาตุคือสิ่งสำคัญที่รวมกันเป็นร่างของสิ่งทั้งหลาย คือส่วนที่มาประกอบกันเป็นเนื้อนั่นเอง
คนโบราณเชื่อสรรพสิ่งทั้งหลายที่เราเห็นและจับต้องได้นั้น เนื้อของมันเกิดจากส่วนผสมของธาตุสี่ชนิดคือ ดิน น้ำ ลม ไฟ
ยกตัวย่างตัวคน
ดิน คือก้อนเนื้อและกระดูก
น้ำ คิอเลือดและของเหลว
ลม คืออากาศที่หายใจเข้าไป กับอากาศที่อยู่ในเนื้อในช่องว่าง
และไฟ คือความร้อนในร่าง
การแบ่งธาตุเช่นนี้มีมาตั้งแต่สมัยหลายพันปีมาแล้ว กรีก โรมันและเอเชียต่างก็คิดคล้ายคลึงกัน ตำราเน่ยจิง สมัยจักรพรรดิหวั่งตี่กล่าวว่า มนุษย์ประกอบด้วยห้าธาตุ คือเพิ่มธาตุโลหะอีกหนึ่ง และปัญจมหาภูตะของอินเดีย มองว่าสรรพสิ่งประกอบด้วย ดิน น้ำ ลม ไฟ และช่องว่าง
ส่วนไทยเรา ยึดถือธาตุทั้งสี่

ธาตุ-ความหมายทางวิทยาศาสตร์
เมื่อสามสี่ร้อยปีที่ผ่านมา มีคนกลุ่มหนึ่งเรียกว่านักเล่นแร่แปรธาตุ หาทางผลิตทองคำจากธาตุราคาถูกเพราะมีความเชื่อว่า ทองเกิดจากธาตุสามตัว คือกำมะถัน เกลือ และปรอทผสมกัน อันที่จริงทองคำเป็นธาตุชนิดหนึ่ง คือประกอบด้วยเนื้อทองล้วนๆ แบ่งแยกอีกมิได้ ซึ่งการแบ่งแยกอีกมิได้นี่เอง เป็นคุณสมบัติสำคัญของธาตุ
ผมขอเปรียบเทียบเพื่อให้เข้าใจความหมายของ คำว่าแบ่งแยกอีกมิได้ ลองคิดถึงข้าวราดแกงหนึ่งจาน เมื่อนำมาแยก จะได้ข้าวกับแกง แกงก็อาจแยกต่อได้เป็นน้ำกะทิ เครื่องแกง เนื้อไก่ มะเขือพวง ฯลฯ
หยิบเอาไก่มาแยกต่อได้กระดูกไก่กับเนื้อไก่ อย่างนี้เรียกว่ายังแยกได้ แต่ถ้าเอาเนื้อไก่มาแยก จะเห็นว่าแยกต่อไปไม่ได้ จะหั่นครึ่ง ฉีกเป็นฝอย หรือสับละเอียด มันก็ยังเป็นเนื้อไก่อยู่นั่นเอง
ฉันใดก็ฉันนั้น ในทางวิทยาศาสตร์ ข้าวราดแกงจานนั้นก็เปรียบเสมือนสารประกอบชิ้นใหญ่ๆ อาจเกิดจากโมเลกุลหลายชนิดรวมกัน ครั้นแยกโมเลกุลเหล่านั้นออกจากกัน หยิบเพียงชนิดเดียวมาดู ก็จะพบว่าโมเลกุลแต่ละตัวยังประกอบด้วยอะตอม แต่เราไม่สามารถแยกอะตอม ออกเป็นสารอื่นใดได้อีกแล้ว อะตอมแต่ละชนิดนี่เองที่เป็นปฐมบทของสสารในโลก เป็นธาตุที่ไม่อาจแยกต่อไปได้อีก และอะตอมของธาตุ แต่ละชนิดก็มีน้ำหนักส่วนสูงหน้าตาไม่เหมือนกัน สารพื้นฐานที่แบ่งแยกต่อไปมิได้นี่แหละ คือธาตุในความหมาย ทางวิทยาศาสตร์ ถึงวันนี้ เรารู้แล้วว่าดิน น้ำ ลม ไฟ มิใช่ธาตุตามหลักวิทยาศาสตร์ เพราะดินประกอบด้วย ธาตุต่างๆมากมาย
น้ำเกิดจากธาตุสองตัวจับกัน คือไฮโดรเจนกับออกซิเจน
ลมมีธาตุหลายชนิดเป็นองค์ประกอบ เช่น ออกซิเจน คาร์บอน ไนโตรเจน เป็นต้น
ไฟนั้นเป็นพลังงานมิใช่ธาตุ
ร่างกายคนเรานั้นหากวิเคราะห์แยกธาตุกันจริงๆแล้ว จะประกอบด้วย
ออกซิเจน ๖๕%
ถ่าน ๑๘%
ไฮโดรเจน ๑๐%
ไนโตรเจน ๓%
แคลเซียม ๑.๕%
ฟอสฟอรัส ๑%
นอกจากนี้ยังมี
โพแทสเซียม ๐.๓๕%
กำมะถัน ๐.๒๕%
คลอรีน ๐.๑๕% (ไม่พอใส่สระว่ายน้ำหลังบ้านด้วยซ้ำ)
มีแมกนีเซียม ๐.๐๕%
เหล็ก ๐.๐๐๐๔%
ไอโอดีน ๐.๐๐๐๐๔%
และเกลือแร่อย่างละเล็กน้อย เช่น ฟลูออรีน ซิลิกอน แมงกานีส สังกะสี ทองแดง สารหนู
เชื่อไหมครับ หากเอาธาตุทั้งหมดไปขายโรงงานอุตสาหกรรม จะได้เงินไม่ถึง ๔๐ บาท
การแยกธาตุ
การแยกเนื้อไก่ล้วนๆออกจากข้าวแกงทำไม่ยาก แต่การแยกธาตุบริสุทธิ์ออกจากกรวดหินดินทราย เป็นเรื่องยากมาก เพราะอะตอมมีขนาดเล็กจิ๋ว ใช้นิ้วหยิบหรือส้อมเขี่ยไม่ได้
อย่างรก็ดีในปีค.ศ.๑๖๖๙ นักเคมีชาวเยอรมันกลุ่มหนึ่ง สามารถจับธาตุตัวแรกของโลกไว้ในหลอดทดลองได้สำเร็จ มันคือฟอสฟอรัส
และหลังจากนั้นไม่นาน ความรู้เรื่องธาตุก็พัฒนาอย่างรวดเร็วเหลือเชื่อ
เมื่อราวสมัยรัชกาลที่ ๖ นักวิทยาศาสตร์ชาติตะวันตกสามารถจับธาตุบริสุทธิ์ ไว้ในกำมือได้เกือบ ๙๐ ตัว และถึงปัจจุบันเพิ่มเป็น ๑๐๙ ตัว เฉพาะที่พบบนโลกนะครับ ในจักรวาลอันกว้างใหญ่อาจมีมากกว่านี้
แร่ธาตุส่วนใหญ่ได้ชื่อตามลักษณะประจำตัวของมัน เช่น
แคลเซียมมาจากคำCalx ในภาษากรีก อันหมายถึงชอล์ก
คลอรีนมาจากคำChloros แปลว่า สีเหลืองอมเขียว
ซีลีเนียมมาจากคำว่าSelene แปลว่า ดวงจันทร์เพราะซีลีเนียมมีอยู่น้อยนิดบนโลก คือเพียง ๐.๐๐๐๐๐๙%ในเปลือกโลก แต่เชื่อว่ามีมากที่ผิวดวงจันทร์
ธาตุที่ถูกค้นพบระยะหลัง นิยมตั้งชื่อตามสถานที่ค้นพบ หรือผู้ค้นพบ เช่น Curium, Americium, Califomium, Nobelium เป็นต้น
ในธรรมชาติ ธาตุทั้ง ๑๐๙ ชนิด ไม่ได้จัดวางเรียงบนหิ้งอย่างเป็นระเบียบ หรืออยู่แบบสมถะสันโดษเพียงลำพังหรอกนะครับ มันเล่นเกมโปลิศจับขโมยมั่วไปหมด เช่น
โซเดียมจับกับคลอรีนเป็นเกลือแกงเค็มปี๋
ไฮโดรเจนจับกับออกซิเจนเป็นน้ำที่เราดื่มกิน ก่อให้เกิดสารต่างๆในโลก เป็นแสนเป็นล้านชนิด แต่ก็อาจจำแนกได้เป็น ๒ กลุ่มใหญ่ๆคือ
- สารอินทรีย์ พบในสิ่งมีชีวิต เกิดจากการจับตัวกันของธาตุหลัก ๓ ตัวคือ คาร์บอน ไฮโดรเจน และออกซิเจน
- สารอนินทรีย์ พบในดินหินกรวดทรายที่ไม่มีชีวิต เกิดจากธาตุอื่นๆที่เหลือ
วิตามินที่เรารู้จักกันดี จัดเป็นสารประกอบอินทรีย์ ส่วนเกลือแร่ที่พูดถึงในทางโภชนาการ หรือในวงการแพทย์ คือธาตุที่เป็นสารจำพวกอนินทรีย์ ซึ่งจาก ๑๐๙ ชนิดในโลก ร่างกายเราต้องการใช้ ๑๖ ชนิด เป็นอย่างน้อยแบ่งได้อีกคือแร่ธาตุใช้มาก กับแร่ธาตุใช้น้อย
แร่ธาตุใช้มาก คือแร่ธาตุที่ร่างกาย ต้องการมากกว่า ๑๐๐ มิลลิกรัมต่อวัน มี ๗ ตัวคือ แคลเซียม ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม แมกนีเซียม โซเดียม กำมะถัน และคลอรีน
โดยจะพบแคลเซียมในร่างกายมากที่สุด รองลงมาได้แก่ฟอสฟอรัส โพแทสเซียม โซเดียม และแมกนีเซียม
แร่ธาตุใช้น้อย ร่างกายต้องการใช้น้อยนิด แต่มีความสำคัญต่อการทำงานของระบบต่างๆใน ร่างกายพอๆกับแร่ธาตุใช้มาก ที่ค้นพบความสำคัญต่อร่างกายขณะนี้ มีไม่ต่ำกว่า ๙ ชนิด คือ
- เหล็ก
- สังกะสี
- ซีลีเนียม
- แมงกานีส
- ทองแดง
- ไอโอดีน
- โครเมียม
- โคบอลต์
- โมลิบดีนัม
โดยมีปริมาณของแร่ธาตุเหล็กในร่างกายมากที่สุด รองลงมาได้แก่สังกะสี และซีลีเนียม ตามลำดับ
ต้องกินสม่ำเสมอ
แร่ธาตุก่อกำเนิดขึ้นมาพร้อมกับโลกกระจัดกระจาย อยู่ทั่วไปในหินดินทราย สิ่งมีชีวิตจะสังเคราะห์แร่ธาตุขึ้นเองไม่ได้ พืชดูดซึมแร่ธาตุจากดินเข้าตัวผ่านทางราก สัตว์กินพืชเพื่อนำแร่ธาตุไปใช้ประโยชน์อีกทอด
เนื่องจากร่างกายผลิตเกลือแร่เองไม่ได้ เราจึงต้องรับเข้าไปผ่านทางอาหาร ถ้าอาหารมีเกลือแร่อุดม เราก็แข็งแรง ถ้าอาหารมีเกลือแร่น้อย เราก็ขาดเกลือแร่เป็นธรรมดา
ดังนั้น คนกินพืชที่เพาะปลูกในดินที่ขาดซีลีเนียม ย่อมขาดซีลีเนียม คนไม่กินอาหารทะเล เกลือทะเล พืชทะเล ย่อมขาดไอโอดีน
เกลือแร่บางตัว เช่นฟอสฟอรัส แมกนีเซียม มีในอาหารหลากหลายจนไม่ ต้องกังวลว่าจะขาด
วงการแพทย์ยังไม่เคยเจอผู้ป่วยที่มี อาการขาดกำมะถัน แมงกานีส โครเมียม และโมลิบดีนัม หากกินอาหารเป็นปรกติดี
น้ำจากแหล่งธรรมชาติมักมีฟลูออไรด์ เมื่อรวมกับแหล่งอื่นๆ เช่น ยาสีฟันผสมฟลูออไรด์ ก็เชื่อได้ว่าร่างกายได้รับเพียงพอ
อย่างไรก็ตาม ยังมีเกลือแร่อีกหลายตัวที่เรา อาจได้รับไม่เพียงพอใช้งาน ทำให้เกิดโรคภัยไข้เจ็บที่รู้จักกันเช่น คอหอยพอกจากขาดไอโอดีน กระดูกพรุนเพราะขาดแคลเซียม โลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก ภูมิคุ้มกันต่ำเพราะขาดสังกะสี
และเมื่อไม่กี่ปีมานี้ นักวิทยาศาสตร์กำลังสงสัยว่า ประชากรของโลกบางจุดอาจอยู่ในแหล่งดินที่ขาด ซีลีเนียม ส่งผลให้โรคหัวใจและมะเร็งชุกเป็นพิเศษ
บทบาท
ลองเปรียบเทียบร่างกายเสมือนบ้านหลังใหญ่ วิตามินเป็นเด็กรับใช้ ช่วยแม่บ้านทำงานได้สะดวกมือคอยดูแลเปิดปิดประตู บ้านและงานที่ดูเหมือนไร้สาระ แต่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต ขณะที่เกลือแร่ส่วนใหญ่ทำตัวเป็นเสารั้ว ผนังคอนกรีตเป็นฐานรากของบ้าน หรือเป็นเครื่องปั่นไฟผลิตกระแสไฟฟ้าหล่อเลี้ยง อุปกรณ์ในบ้าน
เกลือแร่ เช่น แคลเซียม และฟอสฟอรัส ทำหน้าที่เป็นเนื้อกระดูกและฟัน แคลเซียมยังมีบทบาทสำคัญในการเคลื่อนไหวของ กล้ามเนื้อ ช่วยให้เลือดแข็งตัวตามปรกติ ช่วยส่งต่อคลื่นประสาทและสมอง
ไอโอดีนเป็นองค์ประกอบของฮอร์โมนตัวหนึ่ง ชื่อว่า 'ไทรอยด์ ฮอร์โมน' ซึ่งมีหน้าที่คอยควบคุมการใช้พลังงาน เช่นนี้เป็นต้น
เกลือแร่แต่ละตัวต่างมีบทบาทสำคัญแตกต่างกันไป บางครั้งก็เสริมฤทธิ์กันและบางครั้งก็ช่วยงานของวิตามิน และเอนไซม์
และบทบาทที่กำลังเป็นที่สนใจในปัจจุบัน คือฤทธิ์ชะลอความชรา
บทบาทชะลอชรา
เมื่อพูดถึงการชะลอชรา ก็ต้องพูดถึงทฤษฎีว่าด้วยความชรา
ปัจจุบันมีการศึกษาวิจัยอย่างเป็นวิทยาศาสตร์ เพื่อทำความเข้าใจ 'ภาวะชรา'กันมากขึ้น แม้ยังไม่สามารถสู้กับลิขิตของธรรมชาติ แต่ผลการวิจัยใช่ว่าจะคว้าน้ำเหลวเสียทีเดียว การค้นพบถึงปัจจุบันให้เงื่อนงำว่าสังขาร ของเราเสื่อมลงไปด้วยสองสาเหตุ คือ
หนึ่ง เสื่อมตามกาลเวลาที่ลิขิตไว้แล้วในยีน เรียกว่ายีนลิขิต เชื่อว่าคนเราถูกโปรแกรมมาแล้วในส่วนของ รหัสพันธุกรรมว่า ควรตายเมื่อไร เหมือนเป็นพรหมลิขิต
กับสอง เชื่อว่าชีวิตคนสั้นลงตามจำนวน รอยแผลที่เซลล์ถูกทำลาย ถ้าทำลายน้อย-อายุยืน ทำลายมาก-ตายเร็ว ตัวทำลายนี้มีชื่อเรียกว่าอนุมูลอิสระ
ชีวิตถือกำเนิดและดำเนินไปตามแบบพิมพ์เขียว ที่มีอยู่ในยีน คือยีนลิขิตและวันตายจะแตกต่างกัน ตามสายพันธุ์ของสิ่งมีชีวิต เช่น
ปลาทอง ๘ ปี
หนู ๒ ปี
เต่า ๑๕๐ ปี
และคน ๑๒๐ ปี
เราจะยึดชีวิตให้ยาวพ้น ๑๒๐ ปีได้ ก็ต่อเมื่อเราสามารถเข้าใจกลไกการทำงาน ของยีนที่ควบคุมชีวิตโดยละเอียด จนถึงขั้นสั่งให้มันเปลี่ยนแปลง การทำงานได้ งานเช่นนี้เป็นหน้าที่ของนักวิทยาศาสตร์ สาขาพันธุวิศวกรรม ซึ่งคุณเคยได้ยินข่าวเป็นระยะว่า ถึงวันนี้เราสามารถตีความ และวาดแผนที่รหัส พันธุกรรมได้มากแล้วมนุษย์อาจสามารถยึดชีวิต ได้เกินร้อยยี่สิบภายใน ๒๐ ปีข้างหน้า แม้มนุษย์จะถูกลิขิต ให้มีชีวิตอยู่ได้ถึง ๑๒๐ ปี แต่ในความเป็นจริง คนส่วนใหญ่กลับอยู่ได้เพียง ๗๐ กว่าปี แถมยังอยู่อย่างเหี่ยวหง่อมน่าเวทนา เพราะฤทธิ์ทำลายล้างของอนุมูลอิสระในร่างกาย
ทฤษฎีอนุมูลอิสระกล่าวว่าทุกวันเวลา ร่างกายสิ่งมีชีวิตจะผลิตสารกลุ่มหนึ่งเรียกว่าอนุมูลอิสระ ซึ่งมีฤทธิ์ทำลายเซลล์ให้สึกหรอเกิดรอยแผลวันละเล็ก ละน้อย และเป็นสาเหตุปั่นทอนชีวิตของเซลล์ให้สั้นลง ไปตายก่อนกำหนด
กล่าวกันว่าหากเซลล์ไม่โดนอนุมูลอิสระทำลายเลย มนุษย์จะแก่ช้าและอายุยืนกว่าเท่าตัว เพราะมันคือสาเหตุหลักของโรคแห่งความเสื่อม ของอวัยวะ เช่น
- ตับอ่อนเสื่อม นำไปสู่เบาหวาน
- หลอดเลือดเสื่อม นำไปสู่โรคหัวใจ ความดัน
- สมองเสื่อม ทำให้หลงลืม สภาพอารมณ์ไม่คงที่ มือสั่น กระดูกเคลื่อนไหวช้า
- ผิงหนังเสื่อม ก่อสภาพหนังเหี่ยว ตีนกาพาดหางตา เหนียงยาน เข่นนี้เป็นต้น
ดังนั้นเมื่อเกิดอนุมูลอิสระขึ้นในร่างกาย เราต้องรีบกำจัดมันทิ้งให้ได้ก่อนที่จะสร้าง ความเสียหายแก่เซลล์

ร่างกายมีกลไกกำจัดอนุมูลอิสระอยู่ ๓ รูปแบบคือ
หนึ่ง เอาสารต้านอนุมูลอิสระไปสู้
สอง ใช้เอนไซม์เป็นตัวทำลาย
และสาม ใช้ระบบภูมิคุ้มกัน

สารต้านอนุมูลอิสระ
วิตามินเอ อี ซี และคิว มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระในระดับแนวหน้า
การทดลองของนายแพทย์ฮาร์มอน ผู้ก่อตั้งทฤษฎีอนุมูลอิสระโดยแยกหนูทดลองเป็น ๒ กลุ่ม กลุ่มหนึ่งให้กินอาหารหนูตามปรกติ ขณะที่อีกกลุ่มเติมสารต้านอนุมูลอิสระลงไปด้วย
พบว่า หนูกลุ่มหลังจะมีอายุยืนยาวกว่ากลุ่มแรก ถึง ๔๐% กลายเป็นแนวทางสำคัญที่คนรักความงาม ไม่อยากแก่เร็วทั้งหลาย หยิบวิตามินต้าน อนุมูลอิสระใส่ปากเพื่อหวังชะลอชรา

เอนไซม์ต้านอนุมูลอิสระ
เอนไซม์หลักในร่างกายที่ทำหน้าที่กำจัดอนุมูลอิสระ มี ๓ ชนิด คือ
- กลูทาไทโอน เปอร์ออซิเดส (Glutathione Peroxidase)
- ซูเปอร์ออกไซด์ ไดมีเทส (Superoxide Dimutase)
- คะทาเลส (Catalase)
ทั้งสามผลิตได้ในเซลล์ร่างกาย โดยมีเกลือแร่จำพวกเกลือแร่ ทองแดง ซีลีเนียม และสังกะสี ช่วยสนับสนุนให้ประสิทธิภาพในการเก็บ กวาดขยะเต็มร้อย หากขาดแร่ธาตุเหล่านี้ ความสามารถของเอนไซม์จะลดลง

ระบบภูมิคุ้มกัน
เป็นอีกระบบที่มีส่วนช่วยลดอนุมูลอิสระ ในรูปแบบของการป้องกัน วิธีการทำงานของมัน คือช่วยเก็บและทำลายสารพิษ สารกระตุ้นภูมิแพ้ และเชื้อโรคต่างๆ ที่สามารถเพิ่มอนุมูลอิสระแก่ร่างกาย
เกลือแร่ เช่น สังกะสีมีฤทธิ์เสริมภูมิคุ้มกัน ให้แข็งแรงขึ้น มันจึงช่วยชะลอชราอีกทางหนึ่ง
ถึงตอนนี้คงเห็นแล้วว่ามีเกลือแร่อย่างน้อย ๔ ชนิด ที่มีส่วนช่วยชะลอชราได้
เกลือแร่ทั้งสี่ สำคัญต่อร่งกายอย่างไร มีในอาหารชนิดใด

ซีลีเนียม

ซีลีเยียมที่จับอยู่กับไฮโดรเจน มีพิษร้ายแรงเทียบเท่าสารหนู แต่ในปริมาณน้อยๆกลับเป็นคุณต่อร่างกาย หมอบางท่านสั่งจ่ายซีลีเนียม ให้ตัวเองเพื่อชะลอชรา
ซีลีเนียมได้ชื่อจากคำในภาษากรีก Selene ซึ่งแปลว่าพระจันทร์ ค้นพบในปีค.ศ.๑๘๑๗ โดยนักวิทยาศาสตร์ชื่อเบอร์เซลิอัส มันเป็นธาตุที่มีอยู่น้อยเพียง ๐.๐๐๐๐๐๙% ในเปลือกดอก จนไม่น่าเชื่อว่า ร่างกายมนุษย์จำเป็นต้องใช้แร่ธาตุ แปลกประหลาดตัวนี้ เพราะมันมีฤทธิ์ผันผวนตรงข้ามกันราวขาวกับดำ คือในขนาดต่ำ มันมีคุณอนันต์ แต่ในขนาดสูงกลับมีโทษมหันต์ ยาพิษดีๆนี่เอง
ปรกติร่างกายเราใช้ซีลีเนียมเพียงน้อย หากได้รับซีลีเยียมเข้าร่างกายทีละมากๆ จะทำให้เกิดพิษร้ายรุนแรง และด้วยพิษของมันนี้เอง ทำให้นักวิทยาศาสตร์มิได้สนใจค้นคว้าทดลองหา ความสำคัญต่อสุขภาพมาโดยตลอด เพราะคิดว่ามันคือสารที่เป็นอันตรายต่อร่างกาย
กระทั่งไม่นาน การทดลองในหนูขาว พบสิ่งมหัศจรรย์คือ หนูกลุ่มที่กินซีลีเนียม กลายเป็นหนูอายุยืนที่สุดในโลก มันจึงเข้ามาอยู่ใน ความสนใจของนักวิทยาศาสตร์ และความลับของซีลีเนียมเริ่มได้รับการเปิดเผยโดย เฉพาะในการประเด็นการปกป้องหลอดเลือด ป้องกันมะเร็ง เพิ่มภูมิคุ้มกันโรค ฯลฯ

แร่ธาตุจำเป็น ธาตุซีลีเนียมมีสัญลักษณ์ทางเคมีว่า Se

ซีลีเนียมเป็นอีกหนึ่งแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกาย เหมือนแคลเซียม ไอโอดีน เหล็ก ฯลฯ แต่เราต้องการซีลีเนียมเพียงวันละนิดเดียว สิ่งมีชีวิต จำนวนมากรวมทั้งมนุษย์ล้วนต้องการซีลีเนียม เพราะมันเกี่ยวข้องในขบวนการผลิตสารเคมีสำคัญ คือ 'เอนไซม์' หลายชนิด การค้นพบ ประโยชน์ ของซีลีเนียม เกิดจากการที่สัตวแพทย์ได้สังเกตเห็นว่า สัตว์เลือดอุ่นหลายชนิด ถ้าไม่ได้กินพืชที่มีซีลีเนียม จะมีอาการกล้ามเนื้อลีบ เป็นต้อกระจก ร่างกายเจริญเติบโตไม่เต็มที่ ตับเสื่อม เป็นหมัน เป็นโรคหัวใจ มะเร็ง และอื่นๆมากมาย ประสบการณ์จากสัตวแพทย์ ที่เผยแพร่ออกไป ได้กระตุ้นให้วงการแพทย์หันมามองซีลีเนียมด้วยสายตา ที่เป็นบวกมากยิ่งขึ้น และพวกเขาก็ได้พบ คุณสมบัติอันน่าพิศวงดังนี้

๑.ฤทธิ์ต้านมะเร็ง
เป็นผลที่ได้จากการศึกษาทางระบาดวิทยา คือการสอบสวนโรคในวงกว้างศึกษาสาเหตุการเกิดโรคในคนจำนวนมาก โดยนักวิทยาศาสตร์ ได้ทำการวิเคราะห์เปรียบเทียบปริมาณซีลีเนียมในดิน กับสถิติผู้ป่วยหรือตาย เพื่อตอบข้อสงสัยว่า คนที่อาศัยในแหล่งดิน ที่มีซีลีเนียม สูงต่ำ ต่างกัน จะป่วยเป็นโรคแตกต่างกันหรือไม่
คุณผู้อ่นอาจสงสัยว่า เอ๊ะ--อาศัยในแหล่งดินที่มีซีลีเนียมสูงต่ำต่างกัน มันจะเกี่ยวกับสุขภาพได้อย่างไร ซีลีเนียมซึมเข้าฝ่าเท้าเวลาเดินหรือ
ไม่ใช่เช่นนั้นครับ ซีลีเนียมในดินจะ ละลายในน้ำดื่มแหล่งธรรมชาติ หรือพืชผักดูดซีลีเนียมผ่านราก เมื่อคนนำมาปรุงอาหารซีลีเนียม ก็ถูกนำมาใช้ประโยชน์ ผืนดินใดขาดแคลนซีลีเนียม คนในแถบนั้นก็มีแนวโน้มขาดซีลีเนียมด้วย และผลการเปรียบเทียบ ได้ข้อสรุป น่าสนใจว่า ที่ใดมีธาตุซีลีเนียมในดินอยู่น้อยนิด ที่นั่นจะมีผู้ป่วยและตายด้วยมะเร็งมาก หมายความว่า มะเร็งกับซีลีเนียมอาจมีความเกี่ยวข้องกัน ซีลีเนียมอาจช่วยป้องกันมะเร็งได้ แต่จะจริงหรือไม่ นักวิทยาศาสตร์ต้องศึกษาต่อไป ไม่อาจด่วนสรุปโดยง่าย นักวิจัยได้เก็บตัวอย่างดิน ทั้งอเมริกา วิเคราะห์หาแร่ธาตุสำคัญ แล้วทำแผนที่แสดงปริมาณซีลีเนียมในทุกรัฐ พบว่าดินของเซาท์ดาโกตามีปริมาณซีลีเนียมสูงสุด และรัฐโอไอโอมีปริมาณซีลีเนียมต่ำสุด จากนั้นจึงเอาข้อมูลผู้ป่วยที่เป็นโรคต่างๆมาจับ เพื่อเปรียบเทียบ

น่าอัศจรรย์...ประชาชนในเซาท์ดาโกต้า (ซึ่งมีซีลีเนียมสูงสุด) ป่วยเป็นมะเร็งน้อยที่สุดในอเมริกา ขณะที่ประชาชาชนโอไฮโอกลับป่วย และเสียชีวิตจากมะเร็งมากกว่าถึงสองเท่า ผลการค้นพบครั้งนี้นำไปสู่การวิจัยลึกลงไปอีกในยี่สิบประเทศ...
และก็ได้ผลคล้ายคลึงกันว่า ที่ใดมีระดับซีลีเนียมในดินต่ำ ประชากรจะป่วยเป็นโรคมะเร็งตับอ่อน ลำไส้ใหญ่ เต้านม รังไข่ ผิงหนัง ปอด ต่อมลูกหมาก และมะเร็งโลหิตขาวมากเป็นพิเศษ
ขณะที่ประเทศเวเนซูเอลา ซึ่งผืนดินอิ่มเอิบด้วยแร่ธาตุซีลีเนียม กลับมีอัตราเสียชีวิตจากมะเร็งเพียงหนึ่งในสี่ เมื่อเทียบกับสหรัฐอเมริกา
การวิจัยต่อมาทำในประชากรสองกลุ่ม กลุ่มแรกเป็นคนที่แข็งแรงปรกติกับกลุ่มสองคือผู้ป่วยมะเร็ง จับทั้งสองกลุ่มเจาะดูระดับซีลีเนียม ในเลือดเพื่อเปรียบเทียบกัน
ปิ๊ง...คนร่างกายแข็งแรงมีปริมาณซีลีเนียม ในกระแสเลือดสูงกว่าคนป่วยเป็นมะเร็งแทบทุกชนิด ถึงขั้นนี้หลายคนยอมรับว่า ซีลีเนียมกับมะเร็งมีความสัมพันธ์กันแน่นอน

ต่อมานักวิจัยเริ่มพบความสัมพันระหว่างซีลีเนียม วิตามินอี และวิตามินเอ กล่าวคือคนที่เป็นมะเร็งจะมี ระดับสารทั้งสามตัวต่ำกว่าปรกติ
นั่นก็หมายความว่าหากหวังผลป้องกันตนเองให้พ้นจาก มะเร็งร้าย เราควรสนใจรับประทานอาหารที่อุดุมด้วย วิตามินเอ อี และซีลีเนียม อย่าเป็นคนเลือกรับประทาน เฉพาะของชอบ
ในการทดลองกับหนูขาวเพศเมีย นักทดลองแบ่งหนูเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกให้กินอาหารปรกติ กับอีกกลุ่มให้กินอาหารที่เติมซีลีเนียม หลังจากนั้นจึงกระตุ้นให้เกิดมะเร็งเต้านม
ผลปรากฏว่ากลุ่มแรกเป็นมะเร็งถึง ๘๒% ขณะที่กลุ่มที่ได้รับซีลีเนียมเป็นมะเร็งเพียง ๑๐% หลักฐานงานวิจัยชิ้นนี้มีน้ำหนักมากครับ แสดงว่าการรับประทานซีลีเนียมเพิ่มจาก ที่ได้รับในอาหารธรรมดาจะช่วยปกป้องเรา จากมะเร็งได้ดีเกินคาด
กลไกการออกฤทธิ์ต้านมะเร็งของซีลีเนียมยัง ไม่เป็นที่รู้แน่ชัด นักวิจัยบางคนเชื่อว่าซีลีเนียม เกี่ยวข้องกับการสร้างเอนไซม์สำคัญบางตัวที่ คอยจับและทำลายเซลล์มะเร็ง ขณะที่บางคนเชื่อว่าซีลีเนียมช่วยร่างกาย ซ่อมสายพันธุกรรมที่เสื่อมสภาพ ให้กลับคืนเป็นปรกติ ก่อนที่จะกลายเป็นเซลล์มะเร็ง

ไม่ว่าจะเพราะเหตุใดก็ตาม บัดนี้ซีลีเนียมก็ได้แสดงให้ประจักษ์แล้วว่ามัน สามารถยับยั้งการเกิดมะเร็งได้อย่างน่าทึ่ง ด้วยเหตุนี้เอง สภาวิจัยแห่งชาติอเมริกา (The National Research Council) จึงออกคำแนะนำแก่ประชาชนอเมริกาว่า
"มีข้อมูลมากมายที่บ่งชี้ว่า การเพิ่มซีลีเนียมในน้ำหรืออาหาร สามารถช่วยป้องกันมะเร็งที่เกิดจาก สารเคมีหรือพิษจากสิ่งแวดล้อมหลายชนิด ซีลีเนียมยังมีคุณสมบัติช่วยป้องกันมะเร็ง จากเชื้อไวรัสอย่างน้อยหนึ่งชนิด" เป็นความรู้ใหม่ที่ยังไม่บรรจุลงตำราทางการแพทย์

๒.ฤทธิ์กระตุ้นภูมิคุ้มกัน
มีการอ้างอิงในวงการแพทย์สมัยใหม่ ว่าซีลีเนียมสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกัน หากร่างกายได้รับเพิ่มในปริมาณที่เพียงพอ มีผู้วิจัยหยดซีลีเนียม ใส่ในน้ำดื่มในความเข้ม ๒.๕ ppm.(ส่วนในล้านส่วน) แล้วให้อาสาสมัครที่เป็นมาลาเรียดื่ม พบว่าซีลีเนียมช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันโรคมาลาเรีย ทำให้หายจากโรคเร็วขึ้นและอัตราตายก็ลดลงเช่นกัน

อีกหนึ่งรายงานกล่าวว่า ระดับซีลีเนียมในเลือดของผู้ป่วย โรคเอดส์แทบจะเป็นศูนย์ การค้นพบครั้งนี้สำคัญมาก เพราะเชื้อเอดส์ ทำให้ภูมิคุ้มกันลด ขณะที่ซีลีเนียมเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ทั้งสองสิ่งนี้น่าจะมีความสัมพันธ์กัน ลึกล้ำกว่าที่เรารู้ในปัจจุบัน ผลจากการทดลอง ให้ซีลีเนียมร่วมกับ วิตามินอีแก่สัตว์ทดลอง พบว่าซีลีเนียมสามารถกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้ เพิ่มขึ้นได้อีกถึง ๓๐ เท่า นับว่าเพิ่มสูงอย่างยิ่ง
และการวิจัยคล้ายคลึงกันในโซเวียต ช่วยยืนยันผลว่าน่าเชื่อถือ ขณะนี้งานวิจัยหาความสัมพันธ์ระหว่างโรคเอดส์ ซีลีเนียมและวิตามินอี กำลังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง สักวันหนึ่งความลับ คงถูกไขออกมาให้เป็นที่กระจ่าง

๓.ฤทธิ์ปกป้องหัวใจและระบบเลือด
หลักฐานทางระบาดวิทยาแสดงให้เห็นว่า โรคหัวใจและหลอดเลือดจะเพิ่มระดับสูงขึ้น เมื่อลดการบริโภคซีลีเนียมลง ในฟินแลนด์ที่ซึ่ง ผืนแผ่นดินมีปริมาณซีลีเนียมต่ำ อัตราตายด้วยโรคหัวใจและระบบเลือดก็สูงเช่นกัน การศึกษาต่อเนื่องในประชากรหนึ่งหมื่นหนึ่งพันคน พบว่าคนที่มีระดับซีลีเนียมในเลือดต่ำกว่า ๔๕ ไมโครกรัม/ลิตรจะเสี่ยงต่อการตายจากโรคหลอดเลือด เป็นสามเท่าของกลุ่มที่ซีลีเนียมสูง
ยังมีการศึกษาอีกหลายชิ้นที่แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง ซีลีเนียมกับโรคหัวใจทั้งในเยอรมนีและประเทศอื่นๆ ที่เห็นเด่นชัดมาก คือโรค 'Keshan' ที่ชาวจีนป่วยกันมากๆ มีลักษณะของกล้ามเนื้อหัวใจฝ่อลีบ หัวใจโต อัตราตายสูง อันเกี่ยวพันกับการขาดซีลีเนียม
การศึกษาส่วนใหญ่พบว่า วิตามินอีและซีลีเนียม ทำงานในลักษณะร่วมแรงร่วมใจกัน เช่น การทดลองชิ้นหนึ่งให้ผู้ป่วยจำนวน ๒๔ คน ได้รับซีลีเนียม ๑ มิลลิกรัม และวิตามินอี ๒๐๐ มิลลิกรัมต่อวัน พบว่าช่วยลดอาากรเจ็บร้าวที่หน้าอกอันเกิด จากหัวใจขาดเลือดได้ถึง ๒๒ คน หรือราว ๙๒% ในประเทศไทยอัตราตายด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดอยู่ในอันดับต้นๆ เป็นเพราะคนไทยขาดซีลีเนียมหรือเปล่า

๔.ฤทธิ์ปกป้องผิวชะลอชรา
ฤทธิ์นี้เป็นยอดปรารถนาของสุภาพสตรีทั้งหลาย นักวิจัยบางกลุ่มอ้างว่า ซีลีเนียมช่วยเพิ่มความ ยืดหยุ่นให้กับผิวหนัง จึงทำให้ผิวดูอ่อนวัย นุ่มนิ่ม มีน้ำมีนวลเหมือนหนุ่มสาว ช่วยลบริ้วรอยเหี่ยวย่น แต่ต้องฟังหูไว้หูครับ เพราะเป็นฤทธิ์ที่กล่าวอ้างกันในวงการงาน วิจัยสนับสนุนมีน้อยมาก
อย่างไรก็ตาม ซีลีเนียมมีบทบาทอย่างมาก ในการป้องกันมะเร็งผิวหนัง หลายปีมาแล้วที่นักวิทยาศาสตร์พบ ว่าการรับประทานซีลีเนียมประจำ จะช่วยต้านฤทธิ์มะเร็งผิวหนังที่เกิดจากสารเคมี งานวิจัยชิ้นต่อมาค้นพบว่าวิตามินเอขนาดเหมาะสม ร่วมกับซีลีเนียม ช่วยป้องกันมะเร็งผิวหนัง
แชมพูผสมซีลีเนียมก็มีวางขายในท้องตลาด (ชื่อการค้า เซลซัน) ใส่ตัวยาซีลีเนียมซัลไฟด์สามารถยับยั้งอาการรังแคได้ดี
ยังมีการกล่าว อ้างฤทธิ์อื่นๆ เช่นฤทธิ์เสริมสมรรถภาพทางเพศของชาย และฤทธิ์บรรเทาการอักเสบแต่ผลยังไม่ชัดเจนพอ

แหล่งซีลีเนียมในธรรมชาติ

แหล่งที่ดีที่สุด คือแหล่งจากธรรมชาติ อาหารที่มีซีลีเนียมสูงได้แก่ บรอคโคลี เห็ด กะหล่ำปลี แตงกวา หอม กระเทียม อาหารทะเล เนื้อสัตว์ และตับ แต่อย่างที่ได้กล่าวแต่แรกว่า ปริมาณซีลีเนียมในอาหารเหล่านี้ ขึ้นกับแหล่งดิน ที่เพาะปลูกหรือเพาะเลี้ยง และในเมืองไทย ผมไม่เห็นรายงานการวิจัย ปริมาณซีลีเนียมในดิน จึงยากจะรับประกันว่า พืชผักที่กล่าวจะมีซีลีเนียมมากน้อย เพียงพอกับความต้องการหรือไม่

ทำไมคนรุ่นใหม่ขาดซีลีเนียม
คนโบราณขาดซีลีเนียมหรือไม่
อธิบายว่าควันพิษในอากาศจากมลภาวะ ฝุ่นไอกำมะถันจากโรงงานอุตสาหกรรม รวมกับน้ำฝนกลายเป็นฝนกรด เมื่อตกถึงพื้นแทรกซึมลงดิน ทำให้มีการแย่งที่กันระหว่าง กำมะถันกับซีลีเนียมในดิน ปริมาณซีลีเนียมในดิน ที่ใช้ประโยชน์ได้จึงลดลงเรื่อยๆ

ผลิตภัณฑ์เสริม

สภาวิจัยแห่งชาติอเมริกาได้ประกาศว่า ชายสุขภาพปรกติควรได้รับซีลีเนียม ๕๐ ไมโครกรัมต่อวัน ส่วนหญิงควรเป็น ๕๕ ไมโครกรัมต่อวัน
แต่ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่บอกว่า ขนาดนี้น้อยเกินไป น่าจะอยู่ที่ ๔๐๐-๑,๐๐๐ ไมโครกรัมจึงเพียงพอที่จะแสดงฤทธิ์ต้านมะเร็ง
การทดลองทางคลีนิกในมนุษย์ แพทย์จ่ายซีลีเนียมในรูป L-Selenomethionine ซึ่งเป็นสารอินทรีย์ในขนาด ๑,๐๐๐ ไมโครกรัมให้คนไข้ ติดต่อกันเป็นเวลานาน ไม่พบพิษแต่อย่างใด
ขนาดที่นิยมและรับรอง โดยทั่วไปคือ ๕๐-๒๐๐ ไมโครกรัมต่อวัน
แต่ควรรู้ว่า หากได้รับซีลีเนียม เข้าสู่ร่างกายทีละมากๆ จะทำให้เกิดพิษรุนแรง เช่น เล็บหลุด ผมร่วง ดีซ่าน เลือดจาง
อาการที่บ่งบอกความเป็นพิษเริ่มแรกคือ ในจมูกได้กลิ่นคล้ายกระเทียม เล็บ ผิวเปลี่ยนเป็นสีดำ ในปากมีรสปร่าเหมือนอมโลหะไว้ จึงไม่ควรรับประทานเกินขนาดที่แนะนำ เว้นแพทย์สั่ง
ซีลีเนียมที่ร่วกายดูดซึมไปใช้ประโยชน์ได้ดีที่สุด อยู่ในรูปสารอินทรีย์ คือในพืชผักที่กล่าว โดยเฉพาะกระเทียมมีซีลีเนียมสูง
แต่ถ้าเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อาจมาในรูปสารประกอบอินทรีย์ที่ชื่อ L-Selenomethionine ซึ่งดีกว่าพวกสารอนินทรีย์ จำพวกโซเดียม ซีลีเนต หรือโซเดียม ซีลีไนต์

จากการศึกษาส่วนใหญ่พบว่า ซีลีเนียมทำงานควบคู่กับวิตามินอี ผู้เชี่ยวชาญส่วนใหญ่จึงใช้ซีลีเนียมใน ขนาด ๕๐-๒๐๐ ไมโครกรัม ร่วมกับวิตามินอี ๓๐-๔๐๐ หน่วยสากลต่อวัน ไม่ควรรับประทานซีลีเนียมชนิดอนินทรีย์ ร่วมกับวิตามอนซี เพราะจะลดการดูดซึม
หากเราเผอิญอยู่ในแหล่งพื้นดินที่มีซีลีเนียมต่ำ เราจะขาดซีลีเนียมโดยไม่รู้ตัว และอาจตายเพราะโรคร้ายบางชนิด อันเป็นผลจาก การขาดซีลีเนียม ขาดไอโอดีนยังพอดูออกจากอาการคอหอยพอกที่โตขึ้นเรื่อยๆ แต่ขาดซีลีเนียม ไม่มีทางรู้เลย

สังกะสี

มีคนเปรียบเปรยว่าไม่มีเสียงใดจะดังสนั่นหวั่น ไหวเท่ากับเสียงแมวไล่ผสมพันธุ์บนหลังคาสังกะสี ยามวิกาล สมัยผมยังเล็ก เป็นเด็กต่างจังหวัด บ้านคนจนมุงจาก บ้านคนชั้นกลางมุงสังกะสี ต้องรวยจริงจึงจะมุงกระเบื้อง เวลาฝนไล่ช้างตกในหมู่บ้าน จะได้ยินเสียงเม็ดฝนกระทบสังกะสีดังกราวใหญ่ สะท้านสะเทือนสนุกดี ก่อนโน้นยังไม่มีพลาสติก จานและช้อนก็เป็นสังกะสีเคลือบ หลากหลายสีสัน ผมชอบเอามาร่อนเป็นจานบินตกไม่แตก ของเล่นส่วนใหญ่ทำด้วยสังกะสี
จึงรู้สึกแปลกๆเมื่ออาจารย์เภสัชศาสตร์สอนว่า สังกะสีเป็นสารสำคัญที่ร่างกายต้องใช้เพื่อสร้าง ภูมิคุ้มกันโรค และเสริมการทำงานของขบวนการทาง เคมีอื่นๆหลายชนิด
รายงานการค้นพบบทบาทใหม่ๆของสังกะสี ก่อเกิดความเชื่อมากมายเช่นว่า สังกะสีป้องกันมะเร็ง ป้องกันและรักษาหวัด บำรุงสายตา ลิ้น จมูก และอวัยวะสัมผัส กระตุ้นแผลหายเร็ว เพิ่มสมรรถภาพทางเพศในชาย ป้องกันและรักษาสิว แก้ผมร่วงศีรษะล้าน ฯลฯ
ความเชื่อเหล่านี้จริงบ้างเท็จบ้าง เราจะเรียนรู้กันต่อไปครับ
นอกจากนี้ยังมีผลจากการศึกษาใหม่ๆ ทำให้ได้รู้ว่า คนชราร้อยคนจะบริโภคอาหารที่ มีสังกะสีต่ำกว่าที่ควรถึง ๙๐ คน และคนวัย ๕๐ ปีขึ้นไปมักขาดแร่สังกะสี
คุณเป็นคนหนึ่งในนั้นหรือเปล่า
ความเป็นมา
เคยทราบไหมครับว่าในร่างกายของคุณมีต่อม ชนิดหนึ่งเรียกว่าต่อมไทมัส(Thymus Gland) ซ่อนอยู่ด้านหลังของกระดูกหน้าอก มันมีบทบาทสำคัญในกระบวนการคุ้มกันภัยของร่างกาย
เมื่อแรกเกิดต่อมไทมัสของคุณมีขนาดใหญ่ กว่าหัวใจเสียอีก แต่เรื่องประหลาดจะเกิดขึ้นเมื่อคุณ ย่างเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์ หรือพูดง่ายๆคือเมื่อแตกหนุ่ม แตกสาว ต่อมไทมัสจะวิปริตผิดเพี้ยน คือมันจะเริ่มหดตัวเล็กลง สวนทางกับอายุที่เพิ่มขึ้น
เมื่ออายุถึง ๔๐ ปีแพทย์แทบจะหารอยรูป ต่อมไทมัสของคุณบนฟิล์มเอ็กซเรย์ไม่พบ
และเมื่ออายุ ๖๐ ปีมันก็จะหดเล็กกระจิ๋ว หลิวเสมือนว่าไม่มีในกาย
การลดขนาดของต่อมไทมัส เป็นเครื่องชี้สำคัญบอกให้รู้ว่า คุณกำลังแก่ลง
คุณอาจเห็นเป็นเรื่องธรรมดา พอแก่ตัวลงบางอย่างก็หด บางอย่างก็เหี่ยว ที่ยังแข็งในผู้ชาย และตึงในผู้หญิงเห็นจะเป็นตับกับหู
ถ้าลำพังต่อมไทมัสลดขนาดเพียงเดียว คงไม่มีใครเดือดร้อน แต่มันไม่ใช่อย่างนั้นสิครับ พบว่าภูมิคุ้มกันในร่างกายพลอยหย่อน สมรรถภาพตามไปด้วย
ดร.วิลเลี่ยม แอดเลอร์ ผู้เชี่ยวชาญ ระบบภูมิคุ้มกันศึกษาการทำงานของต่อม ไทมัสมาเป็นเวลานาน เขาพบว่า หากต่อมไทมัสลดขนาดลง การทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาวจะบกพร่อง ไม่สามารถทำลายเชื้อโรคแปลกปลอมได้
ในคนอายุ ๗๐ ปี ต่อมไทมัสหดเล็กมาก อัตราตายจากโรคหวัดสูงเป็น ๓๕ เท่าของเด็กสิบขวบ
นักวิทยาศาสตร์สมัยเดิมเชื่อว่าการหดตัว ของต่อมไทมัสเป็นเรื่องธรรมชาติ แต่ล่าสุดได้มีการค้นพบว่า เราสามารถชะลอการหดตัวของต่อมไทมัส ด้วยเกลือแร่ตัวหนึ่งที่ใช้มุงหลังคา
สังกะสี
แร่สังกะสี หรือ Zinc ออกเสียงแบบไทยๆว่า 'ซิ้ง' มีชื่อย่อเป็นภาษาเคมีว่า Zn เป็นโลหะชนิดหนึ่งที่ร่างกายต้องการในปริมาณ เพียงเล็กน้อยต่อวัน แต่มีผลอย่างใหญ่หลวงต่อสุขภาพ ขาดละเป็นเรื่อง ทุกวันนี้เป็ฯที่ยอมรับกันแล้วว่า สังกะสีเป็นแร่ธาตุที่มีบทบาท สำคัญยิ่งในระบบภูมิคุ้มกัน และเป็นตัวสำคัญในก่รต่อสู้โรคร้ายหลายชนิด
นอกจากนี้ ในการศึษาระยะหลังยังพบว่า สังกะสีช่วยลดอุบัติการของโรคตาที่เรียก Macular Degeneration ซึ่งอาจทำให้ตาบอดถาวรในวัยชรา มนุษย์ปัจจุบันส่วนใหญ่เมื่อเริ่มเข้าสู่วัยชรา จะอยู่ในภาวะขาดธาตุสังกะสี
นักวิทยาศาสตร์พบว่าสังกะสีมีบทบาทส่งเสริม การทำงานของเอนไซม์ไม่ต่ำกว่า ๒๐๐ ชนิดทีเดียว
การขาดธาตุสังกะสีจึงอาจก่อผลหลาย ประการเช่น ร่างกายแคระเกร็น ไม่อยากอาหาร ระบบสืบพันธุ์ไม่เจริญตามวัย แผลหายช้า การรับรส กลิ่นและภาพผิดปรกติ ผิวหนังอ่อนแอ ติดเชื้อง่าย ไม่พบการขาดสังกะสีขั้นรุนแรงในประชากร ทั่วไปเว้นกลุ่มเสี่ยงบางกลุ่มเช่น ผู้สูงอายุ หรือผู้ป่วยที่ต้องนอนในโรงพยาบาล และให้อาหารทางหลอดเลือดเป็นเวลานาน
บทบาทต่อสุขภาพ
กระตุ้นภูมิคุ้มกัน
ดร.นิโคลา ฟาบริสในอิตาลี ทดลองเสริมแร่สังกะสีให้หนูแก่ๆ พบว่าร้อยละแปดสิบของหนูชราเหล่านี้ มีการทำงานของต่อมไทมัสดีขึ้น มีการหลั่งฮอร์โมนไทมิวลิน (Thymulin) และฮอร์โมนอื่นๆ ซึ่งไปกระตุ้นการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาว ดร.นิโคลาสรุปว่า สังกะสีสามารถ ทำให้ต่อมไทมัสกลับมีชีวิตชีวาอีกครั้ง เช่นเดียวกับนักวิจัยในอเมริกาและฝรั่งเศส มีการทดลองให้สังกะสี ๒๐ มิลลิกรัมต่อวัน แก่ผู้สูงอายุวัย ๗๓-๑๐๖ ปี พบว่าภายในสองเดือนฮอร์ไทมิวลินเพิ่มขึ้น ๕๐% โดยไม่มีผลข้างเคียง นอกจากนี้ อัลบูมินและแกมมาอินเตอร์ฟีรอน ก็เพิ่มด้วย ซึ่งเป็นสิ่งดีสำหรับผู้สูงอายุ
การศึกษาชิ้นหนึ่งพบว่า ผู้ป่วยโรคเอดส์และโรคภูมิคุ้มกันบกพร่องบางชนิด จะมีระดับสังกะสีในเลือดต่ำกว่ามาตรฐาน เด็กป่วยเป็นเอดส์ รายหนึ่ง แสดงอาการ ขาดสังกะสีขั้นรุดแรง ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า ทำไมคนป่วยโรคเอดส์จึงขาดสังกะสี แต่การค้นพบใหม่ๆ เหล่านี้ได้นำทางนัก วิทยาศาสตร์ได้เจาะลึกไปในโลกของสังกะสี กับความสัมพันธ์ต่อสิ่งมีชีวิต เรายังต้องการผลการศึกษาอีกมากเพื่อนำสังกะสี มาบรรเทาโรคภูมิคุ้มกันเช่น เอดส์
ป้องกันมะเร็ง
ผู้ป่วยมะเร็งบางชนิดมีระดับสังกะสี ต่ำกว่าปรกติ เมื่อทำให้หนูขาดสังกะสี หนูจะเป็นมะเร็งง่ายกว่าหนูอีกกลุ่มที่ได้รับ สังกะสีเป็นปรกติ
แต่มีรายงานวิจัยที่ได้ผลตรงข้าม กล่าวคืองานวิจัยบางชิ้นพบว่า เมื่อกินอาหารที่มีสังกะสีต่ำ หนูที่กำลังเป็นมะเร็งจะตายช้าลง และยิ่งได้รับสังกะสีมาก ยิ่งมีโอกาสเป็นมะเร็งมาก
การวิจัยขัดแย้งกันอย่างมาก นักวิทยาศาสตร์อธิบายว่า สังกะสีช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของภูมิคุ้มกันได้จริง และระบบภูมิคุ้มกัน ที่เข้มแข็งย่อมช่วยปกป้องมะเร็งได้ ดังนั้นสังกะสีจึงช่วยป้องกันมะเร็ง แต่ขณะเดียวกัน หากคุณได้รับสังกะสีสูง แร่สำคัญอื่นๆจะถูกแย่งชิงการดูดซึมไปได้ เช่น หากกินสังกะสีมาก แคลเซียมและซีลีเนียมซึ่งป้องกันมะเร็ง ย่อมลดลง มะเร็งบางชนิดจึงมีโอกาสเติบโตในร่างกายได้ ยึดทางสายกลางไว้ น่าจะเป็นการแก้ปัญหาที่ดีครับ ไม่มาก และไม่ขาด
ป้องกันตาบอดวัยชรา
ผู้เชี่ยวชาญหลายรายเชื่อว่าอาการตาบอด วัยชราอันเกิดจากโรค Macular Degeneration นั้น มีความสัมพันธ์กับการขาดสังกะสี จึงได้มีการทดลองในผู้ป่วย ๑๕๑ รายที่มีอาการโรคนี้
ภายหลังให้สังกะสี ๑-๒ ปีแล้วติดตามดูอาการ พบว่าผู้สูงวัยที่ได้รับสังกะสีจะมีอาการดีกว่า กลุ่มควบคุม ขนาดที่ใช้คือสังกะสี ๑๐๐ มิลลิกรัม วันละ ๒ ครั้งพร้อมอาหาร
ป้องกันและรักษาโรคหวัด
ความรู้เรื่องสังกะสีกับหวัดยังมีผู้ทำการทดลอง น้อยมาก แต่เมื่อผลการวิจัยแพร่ออกไป ประชาชนจำนวนมากเกิดฮือฮากันขึ้น ยาอมผสมสังกะสีขายเกลี้ยงตลาดทันที
นิตรสาร Prevention หรือแปลเป็นไทยว่า 'ป้องกันโรค' กล่าวว่า สังกะสีช่วยให้หวัดหายเร็ว โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในรูปของยาอม เพราะมีการค้นพบว่าสังกะสีมีประสิทธิภาพดี สำหรับป้องกันและรักษาหวัด
ในการศึกษาปีค.ศ.๑๙๙๖ ที่ Cleveland Clinic ผู้ป่วยหวัด ๕๐ คน ที่อมยาอมผสมสังกะสีทุกสอง ชั่วโมง จะมีอาการดีขึ้นและหายเร็วเป็นสองเท่า เมื่อเทียบกับอีกกลุ่มที่มิได้รับสังกะสี
นายแพทย์ไมเคิล แมคนิน กล่าวว่า"อาจฟังดูเหลือเชื่อและแปลกใหม่ แต่ผมได้ทำการทดลองซ้ำๆ พบว่าได้ผลจริงๆ"
ผลข้างเคียงที่พบจากการอมยาอมผสม สังกะสีมีบ้างเหมือนกันคือ บางคนรู้สึกไม่สบายตัว บางคนคลื่นไส้ แนะนำว่าไม่ควรกินสังกะสี ขณะท้องว่างและถ้ากินติดต่อกันสามวันไม่ได้ผล ให้เลิกอม เพราะอาจได้รับสังกะสีมากเกินไป
ป้องกันและรักษาอาการผมร่วงศีรษะล้าน
ยังไม่มีการศึกษาชิ้นใดที่บ่งบอกว่าสังกะสีป้องกัน ผมร่วงได้ แต่มีรายงานในผู้ป่วยบางรายว่า ผมกลับดกดำเมื่อกินอาหารเสริมสังกะสี
เจมส์ โอลแฮม วัย ๕๑ ปี ผู้ชนะเลิศการประกวดการปลูกผมของสมาคมคนศีรษะ ล้านแห่งอังกฤษมีเคล็ดลับที่ทำให้ผมกลับดกดำคืน มาได้ถึง ๕๐% ในเวลา ๑๘ เดือน ด้วยเทคนิคง่ายๆ ๕ ประการ หนึ่งนั้นคือเสริมแร่สังกะสีมากเป็นพิเศษ
เจมส์ โอลแฮมทดลองได้ผลกับตัวเอง แต่ยังต้องรอการพิสูจน์ซ้ำในทางวิทยาศาสตร์ โดยทดลองในคนจำนวนมากกว่านี้

แหล่งสังกะสีในอาหาร
อาหารในชีวิตประจำวันที่มีแร่ธาตุสังกะสีใน ปริมาณมากพอควร ได้แก่ ข้าวซ้อมมือ อาหารที่มีส่วนผสมของยีสต์ เช่น ข้าวหมากหรือขนมปัง
อาหารทะเล เนื้อสัตว์ เปผ็นแหล่งสังกะสีที่ดี เพราะดูดซึมง่ายกว่าพวกพืชผัก อาหารจำพวกเนื้อเมื่อถูกย่อยเป็นกรดอะมิโนจะช่วย ให้ร่างกายดูดซึมสังกะสีได้ดีขึ้น แต่ทั้งนี้พึงระลึกว่าปริมาณสังกะสีในเนื้อสัตว์อาจมาก น้อยแตกต่างกัน ขึ้นกับการเลี้ยงดู ถ้าเลี้ยงดู ถ้าเลี้ยงในฟาร์มซึ่ง ให้อาหารขาดธาตุสังกะสีเนื้อสัตว์ย่อมมีปริมาณ สังกะสีต่ำไปด้วย
คนที่รับประทานอาหารน้อย จำกัดอาหาร มังสวิรัต กินไฟเบอร์เพื่อลดความอ้อน หรือแก้ท้องผูก อายุเกินห้าสิบปี อาจเสี่ยงต่อการขาดสังกะสี
นักมังสวิรัติอาจได้รับสังกะสีต่อวัน เพียงครึ่งเดียวของปริมาณมาตรฐานที่กำหนด (RDA)
คนสูงอายุมักดูดซึมสัวกะสีได้น้อย และเป็นสาเหตุของการขาดสังกะสี ปริมาณที่แนะนำสำหรับการบริโภคประจำวัน คือสำหรับผู้ชาย ๑๕ มิลลิกรัม ผู้หญิง ๑๒ มิลลิกรัม ทารก ๓ มิลลิกรัม เด็ก ๑-๑๐ ปี ๑๐ มิลลิกรัม หญิงมีครรภ์ ๑๕ มิลลิกรัม
กรณีที่ท่านเสริมวิตามินเกลือแร่ชนิดเม็ด ขอแนะนำให้ใช้สูตรที่มีส่วนผสมของสังกะสี ทองแดง และซีลีเนียมอยู่พร้อมหน้ากัน เพื่อช่วยเสริมประสิทธิภาพ
อัตาส่วนของสังกะสีต่อทองแดงควรเป็น ๑๐:๑ เช่นถ้ามีสังกะสี ๑๕ มิลลิกรัม ก็ควรมีทองแดงผสมในสูตร ๑.๕ มิลลิกรัมด้วย

ทองแดง

ทองแดง มีชื่อภาษาอังกฤษว่า Copper บนฉลากข้างขวดวิตามินเกลือแร่อาจเขียนย่อว่า Cu
ทองแดงมีบทบาทหลักในกระบวนการหายใจ ของเซลล์คือ มันช่วยสร้างโปรตีนสีแดง ชื่อฮีโมโกลบิน มีหน้าที่นำออกซิเจนไปส่งเซลล์
นอกจากนี้ ทองแดงยังมีส่วนช่วยสร้าง คอลลาเจนและอีลาสตินที่ทำให้ผิวของคุณแลดู เต่งตึงเสมอ ทองแดงช่วยสร้างสารสื่อประสาท นอร์อะดรีนาลีน และสีผิวที่เรียกเมลานิน
ในแง่ชะลอความแก่ทองแดงช่วยสู้กับ อนุมูลอิสระ ในรูปของเอนไซม์ที่ชื่อ Copper-Zinc superoxide dimutase และในรูปโปรตีนเซรูโลพลาสมิน
นักวิทยาศาสตร์จัดให้ทองแดงเป็น ตัวช่วยขจัดอนุมูลอิสระในเลือดที่สำคัญอย่างยิ่ง ทำให้สภาพของผนังเซลล์คงทน
แหล่งทองแดงในอาหาร ได้แก่ ปลาหมึก หอยทะเล ตับ เมล็ดถั่ว เมล็ดพืชเปลือกแข็งเช่น เกาลัด มะม่วงหิมพานต์ โกโก้ และพบในผักผลไม้หลายชนิด
คนที่เสี่ยงต่อภาวะขาดทองแดงคือ คนที่ชอบกินอาหารที่มีน้ำตาลฟรุกโตสสูงเช่น ผลไม้หวานจัด น้ำผึ้ง กินยาลดกรด หรือวิตามินซีปริมาณสูง
การเสริมเกลือแร่จำพวกสังกะสีวันละ ๑๕๐ มิลลิกรัมทุกวันเกินหนึ่งปี อาจทำให้เกิดภาวะขาดทองแดงได้
ผู้ป่วยที่ได้รับอาหารทางหลอดเลือด จะแสดงอาการขาดแร่ธาตุ โดยเฉพาะทองแดง และสังกะสีมีให้เห็นบ่อยครั้ง อาการที่พบคือโลหิตจาง เม็ดเลือดขาวลดจำนวนและกระดูกพรุน
การขาดทองแดงในเด็ก พบได้ในทารกที่ขาดอาหารรุนแรง ซึ่งจะทำให้แคระแกร็น ในเด็กที่คลอดก่อนกำหนดก็มีโอกาสขาด ทองแดง เนื่องจากทองแดงจากแม่จะไม่ ส่งผ่านรกสู่ลูกจนกว่าจะใกล้ครบ กำหนดคลอด
เคยเกิดปัญหาการได้รับทองแดงเกินขนาด เนื่องจากประชาชนดื่มน้ำที่กักเก็บในถังเคลือบ ทองแดงพบอาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ และอาเจียน
มีโรคชนิดหนึ่ง ชื่อโรควิลสัน (Wilson Disease) ผู้ป่วยไม่สามารถ ขจัดทองแดงออกจากร่างกาย ทองแดงจะสะสมอยู่ที่ตา สมองตับและไต มีผลให้สภาพจิตผิดปรกติ (เรียกโรคจิตเภท)และเป็นโรคหัวใจ ต้องรักษาด้วยยาขจัดทองแดง และงดอาหารที่มีทองแดง
ขนาดที่เหมาะสมคือ ๑.๕-๓ มิลลิกรัมต่อวัน เดิมเชื่อว่าถ้ากินอาหารหลาก หลายถูกหลักโภชนาการคุณจะได้รับทองแดง ถึง ๒ มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งนับว่าเพียงพอ
แต่การศึกษาระยะหลังพบแนวโน้มว่า คนส่วนใหญ่อยู่ในภาวะได้รับทองแดง จากอาหารไม่เพียงพอ คือไม่ต่ำถึงขนาดแสดงอาการขาด แต่ต่ำกว่าที่ร่างกายจำเป็นต้องใช้ ซึ่งจะมีผลต่ออายุขัย คือตายเร็วกว่าที่ควรจะเป็น ทองแดงจึงเข้ามาสู่ความสนใจในแง่ เกลือแร่ชะลอชราด้วยเหตุนี้