เครื่องสำอางค์ชะลอความแก่

ความแก่เป็นสิ่งที่ทุกคนไม่ปรารถนา โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิง จะกลัวความแก่มากที่สุด วัยที่ กำลังจะพ้นวัยหนุ่มสาวมาเล็กน้อย เซลล์ต่าง ๆ ของผิวหนัง ตลอดจนต่อมต่าง ๆ ใต้ผิวหนังจะมี ประสิทธิภาพการทำงานลดลง เช่น ความยืดหยุ่นหรือความเต่งตึงของเซลล์จะลดลงทำให้รักษาความ ชุ่มชื้นไว้ได้น้อย จึงปรากฏรอยย่นและความหยาบกระด้างของผิวตามมา นอกจากนี้ต่อมไขมันใต้ผิว หนังก็จะขับไขผิวหนังได้น้อยลง ผิวจึงแลดูไม่ลื่นและนุ่มนวลเหมือนเช่นวัยรุ่น หรือวัยหนุ่มสาวสิ่งที่ มีอิทธิพลต่อการทำงานของเซลล์ผิวหนังที่สำคัญคือ ฮอร์โมนและวิตามิน ที่จะช่วยหล่อเลี้ยง และ เสริมสร้างการทำงานของเซลล์ ให้มีประสิทธิภาพ

ความแก่ (aging) ตามความหมายทางวิทยาศาสตร์ มีผู้อธิบายว่า เป็นปรากฏการณ์ที่สาร soluble collagen ซึ่งเป็นสารที่ปกติพบทั่วไป ในเซลล์ผิวหนัง ทำหน้าที่เป็นโครงสร้างอันหนึ่งที่ให้ความยืดหยุ่น แก่เซลล์ทำให้เซลล์สามารถอุ้มน้ำและความชื้นได้ดี เซลล์จึงมีความเต่งตึงและทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ soluble collagen จะถูกเปลี่ยนสภาพไปเป็น insoluble collagen และเกิดเป็นโปรตีนที่ทนต่อสารเคมี มากขึ้น ทำให้ความยืดหยุ่นของเซลล์เสียไป คุณสมบัติในการรักษาความชุ่มชื้นแก่เซลล์ผิวหนังจึงลดลง ตามลำดับ ทำให้เกิดริ้วรอยย่นบนใบหน้าหรือผิวหนังบริเวณอื่น ๆ ตามมา สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นตลอดเวลา ในสิ่งมีชีวิต และจะเกิดมากขึ้นเมื่ออายุเพิ่มขึ้น

นอกจากทฤษฎีของ soluble collagen แล้ว ปัจจัยสำคัญที่มีอิทธิพลต่อการทำงานของเซลล์ และต่อมต่าง ๆ ของผิวหนังได้แก่ ฮอร์โมนและวิตามิน ก็มีผลต่อความแก่ไม่น้อย เนื่องจากเป็นกลไก ธรรมชาติของร่างกายที่เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น คือ หลังวัยหนุ่มสาวระดับฮอร์โมนจะลดลงตามอายุ ทำให้ ควบคุมการทำงานของเซลล์และต่อมต่าง ๆ ได้น้อยลง ยิ่งถ้าขาดสารอาหารโดยเฉพาะวิตามินด้วยแล้ว จะยิ่งทำให้การทำงานของเซลล์ด้อยลงไปด้วย ซึ่งก็คือทำให้ดูแก่เร็วยิ่งขึ้นนั่นเอง

เมื่อทราบถึงสภาพและสาเหตุของความแก่แล้ว ควรตระหนักว่าความแก่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่มนุษย์ก็พยายามที่จะเอาชนะธรรมชาติโดยคิดว่า เมื่อหลีกเลี่ยงความแก่ไม่ได้ เพียงแต่สามารถชะลอ ความแก่ได้ก็เป็นสิ่งที่พึงปรารถนาแล้ว จึงมีผู้พยายามคิดค้นวิธีชะลอความแก่หลายวิธี ดังนี้

1. การใช้สาร soluble collagen เพื่อทดแทนส่วนที่แปรสภาพไป ทำให้เซลล์ยังคงความยืดหยุ่น และทำหน้าที่อุ้มน้ำไว้ได้โดยไม่เหี่ยวแห้ง อาศัยกลไกในการชะลอความแก่ของsoluble collagen ที่ผสมในเครื่องสำอาง คือ เมื่อสารถูกปลดปล่อยจากผลิตภัณฑ์ จะดูดซึมผ่านผิวหนังไปกระตุ้นให้ ร่างกายสร้างเส้นใยคอลลาเจน (collagen fibril) มากขึ้น สารนี้จะจับกับน้ำภายในเซลล์ทำให้ไม่สูญ เสียความชื้นไปเร็วกว่าปกติ เป็นการป้องกัน การแห้งและการเกิดริ้วรอยก่อนวัย และรักษาความยืดหยุ่น ให้ผิวหนัง ความสามารถในการจับกับน้ำของ soluble collagen ขึ้นอยู่กับค่า pH

2. การใช้ฮอร์โมนสำหรับทาเฉพาะที่ โดยอาศัยการดูดซึมทางผิวหนัง และออกฤทธิ์เฉพาะที่ในการ ควบคุมการทำงานของเซลล์ผิวหนัง และทำให้เซลล์ผิวหนังโตและเต่งตึง คลายความย่นลง ฮอร์โมน ที่ใช้แบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ

2.1 กลุ่มเอสโตรเจน (estrogens) ฮอร์โมนที่นำมาใช้ในเครื่องสำอาง ได้แก่ estradiol, estrone, stilboestrol และเอสโตรเจนสังเคราะห์อื่น ๆ การใช้เอสโตรเจนติดต่อกันนาน ๆ พบว่ามี การสร้างหนังกำพร้าด้านบนขึ้นใหม่ ปริมาณน้ำในผิวหนังเพิ่มขึ้น รอยย่นลดลงซึ่งจะเห็นผลได้ชัดเจน ในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่ยืนยันถึงประสิทธิภาพในการชะลอความแก่ของ เอสโตรเจนยังมีน้อย บางข้อมูลขัดแย้งกัน ต้องอาศัยข้อมูลทางการทดลองให้มากกว่านี้เพื่อหาบทสรุป ที่แท้จริง แหล่งที่มาของฮอร์โมนเหล่านี้อาจได้จากการสังเคราะห์หรือได้จากสัตว์ เช่น ปัสสาวะของม้าที่ ตั้งครรภ์หรือได้จากพืช เช่น พืชจำพวกกลอย

2.2 กลุ่มโปรเจสติน (progestins) ฮอร์โมนในกลุ่มนี้ใช้ในเครื่องสำอางชะลอความแก่คือ pregnenolone และ benzyl ether derivatives, acetate ester, propionate ester และ myristate ester การทา pregnenolone หรืออนุพันธ์สามารถกระตุ้นการเจริญของหนังกำพร้าและ การออกขยาย (proliferate) ของเซลล์ นอกจากนี้ยังมีโปรเจสตินสังเคราะห์ คือ ethisterone ซึ่งใช้ กระตุ้นการเจริญของหนังกำพร้าและป้องกันการขาดน้ำของผิวหนัง

ฮอร์โมนในกลุ่มโปรเจสตินยังอาจใช้ร่วมกับกลุ่มเอสโตรเจน เพื่อกระตุ้นการหลั่งน้ำมัน ธรรมชาติจากต่อมไขมันในผิวหนังของผู้สูงอายุที่ผิวแห้งมาก ทั้งนี้เพราะเอสโตรเจนสามารถลดปริมาณ น้ำมันที่ผิวหนัง ส่วนโปรเจสเตอโรนสามารถเพิ่มการหลั่งของไขผิวหนัง ผลิตภัณฑ์ที่ผสมสารทั้งสอง อย่างนี้จะให้ปริมาณไขผิวหนังที่เหมาะสม

3. การใช้สารวิตามินเข้าไปเสริมการทำงานของเซลล์ผิวหนัง วิตามินเพิ่งเข้ามามีบทบาทในการ เป็นสารชะลอความแก่ในเครื่องสำอางเมื่อไม่นานมานี้ จากการศึกษาทดลองพบว่าการทาวิตามินบางชนิดมี ผลในการป้องกันหรือชะลอการเปลี่ยนแปลงของผิวผู้สูงอายุ เช่น ผิวแห้งหยาบ ผิวเป็นเกล็ดและริ้วรอย เหี่ยวย่น โดยการปกป้องผิว ให้ความชุ่มชื้นและเร่งการซ่อมแซมผิวหนังที่ถูกทำลาย วิตามินเหล่านี้ได้แก่ วิตามินอี วิตามินเอ วิตามินซี panthenol และอนุพันธ์ซึ่งสามารถซึมผ่านผิวหนังได้ เมื่อใช้ในปริมาณที่ พอเหมาะจะปลอดภัยและปราศจากผลข้างเคียง

3.1 วิตามินอี เป็นสารที่มีบทบาทสำคัญในการรักษาขบวนการเมตาบอลิซึมทางร่างกาย ให้เป็นปกติ ป้องกันเนื้อเยื่อและผิวหนังจากการถูกทำลายโดยขบวนการตามปกติของร่างกาย การใช้ วิตามินอีในเครื่องสำอางส่วนใหญ่มุ่งเน้นการเป็นสารให้ความชุ่มชื้น จากการศึกษาในระยะหลังได้พบ ประโยชน์อีกหลายประการของวิตามินอี เช่น ความสามารถในการป้องกันผิวหนังจากแสงอัลตราไวโอเลต ความสามารถในการเป็นสารต้านออกซิเดชั่น ความสามารถต้านการอักเสบ เป็นต้น ซึ่งคุณสมบัติเหล่านี้ เป็นผลให้วิตามินอีสามารถรักษาผิวให้อยู่ในสภาพที่ดีและชะลอความแก่ของผิวหนังได้

3.2 วิตามินเอ เป็นสารที่มีบทบาทสำคัญในการกระตุ้นและควบคุมการเจริญของเซลล์ หนังกำพร้า กระดูก ฟัน ผม และต่อมต่าง ๆ ใต้ผิวหนัง มีการนำวิตามินเอมารักษาโรคผิวหนัง หลายชนิดรวมถึงการรักษาสิว ในระยะหลังความสำคัญของวิตามินเอมีมาก มีงานวิจัยที่เชื่อถือได้จำนวน มากยืนยันถึงความสามารถในการชะลอความแก่ของผิวหนังที่เกิดจากการถูกแสงแดด วิตามินเอที่มีการ ศึกษาผลในการป้องกันและรักษาความแก่ของผิวหนังคือ วิตามินเอปาลมิเตท (vitamin A palmitate หรือ retinyl palmitate) และ tretinoin

  • วิตามินเอปาลมิเตท เป็นเอสเทอร์ที่คงตัวที่สุดของวิตามินเอ มักใช้ในการรักษาผิว แห้งและผิวเสียเนื่องจากถูกความร้อนหรือมลพิษ เมื่อถูกดูดซึมเข้าไปในผิวหนังจะทำให้ความสามารถ ในการรักษาน้ำของผิวหนังดีขึ้น เป็นผลให้ผิวนุ่มเนียนและเต่งตึง อาจพบสารนี้ในผลิตภัณฑ์ที่ใช้ ทาหลังอาบแดดเนื่องจากมีคุณสมบัติในการปรับสภาพผิวให้เป็นปกติโดยการกระตุ้นการเจริญของ เซลล์และเมตาบอลิซึมของผิวหนัง
  • tretinoin ในรูปยาทามีการใช้กันอย่างกว้างขวางในการรักษาผิวแก่ก่อนวัยจากแสงแดด และได้รับการพิสูจน์ถึงประสิทธิผลและความปลอดภัยทางคลินิก ปัจจุบันยังไม่ทราบกลไกการออก ฤทธิ์ที่แน่นอน จากการศึกษาพบว่าผิวหนังที่ได้รับ tretinoin จะถูกกระตุ้นให้มีการแบ่งเซลล์ของชั้น หนังกำพร้าและ keratohylin granule มีการหลั่งสารคล้าย aminoglycans เข้าไปในช่องว่างระหว่าง เซลล์ ซึ่งสารเหล่านี้สามารถดึงน้ำไว้ได้ในปริมาณมากเป็นผลให้ผิวเรียบขึ้นและลดการทำงานของ เมลาโนไซท์ลงในชั้นหนังกำพร้ามีการกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน ช่วยในการซ่อมแซมหนังแท้โดยยับยั้ง เอนไซม์ collagenaseและเพิ่มการไหลเวียนของเลือด

3.3 วิตามินซี (L-ascorbic acid) มีความสำคัญในการเป็นปัจจัยร่วมของขบวนการทางชีวภาพ ในร่างกายและเป็นสารต้านออกซิ-เดชั่น ทำให้วิตามินซีเป็นที่น่าสนใจและคาดว่าจะมีผลในการชะลอ ความแก่ที่เกิดจากแสงแดดได้ อย่างไรก็ตาม งานวิจัยเกี่ยวกับการใช้วิตามินซีในเครื่องสำอางยังมีน้อย จึงยังไม่มีการยืนยันผลในเรื่องนี้ แต่พบว่าวิตามินซีมีประสิทธิภาพในการป้องกันผิวหนังจากการถูก ทำลายโดยแสงอัลตราไวโอเลตและสามารถเพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจน โดยวิตามินซีเป็นปัจจัยร่วม สำหรับ hydroxylating enzyme หลายชนิดในร่างกายที่จำเป็นต่อการสังเคราะห์และเปลี่ยนแปลง โปรคอลลาเจน (procollagen) ให้เป็นคอลลาเจน

3.4 Pantheno เป็นแอลกอฮอร์ของกรด pantothenic ซึ่งเป็นวิตามินตัวหนึ่งในกลุ่มวิตามินบี เป็นส่วนประกอบของผิวหนังและเส้นผม เมื่อทาบนผิวหนัง panthenol จะเปลี่ยนเป็นกรด pantothenic โดยทั่วไป ผิวหนังต้องการโคเอนไซม์เอ (coenzyme A) ซึ่งเป็นรูปที่ออกฤทธิ์ของกรด pantothenic เพื่อเป็นส่วนประกอบของผิวหนังและทำให้การทำหน้าที่ของเยื่อบุผิวเป็นปกติ panthenol สามารถให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวหนังเนื่องจากเป็นสารกันน้ำระเหยที่ดีและสามารถซึมผ่านผิวหนังได้ มักผสม panthenol ในเครื่องสำอางประเภทครีม โลชั่น หรือโทนิก (tonic) เพื่อรักษาผิวแห้งซึ่งเป็นอาการหนึ่ง ของความแก่ panthenol จะให้ความรู้สึกนุ่มเนียน เบาบางต่อผิวโดยปราศจากความมัน ความเหนียว เหนอะหรือระคายเคือง

หนังสืออ้างอิง

1. ฤดีกร วิวัฒนปฐพี, สารชะลอความแก่ในตำรับเครื่องสำอาง. หน้า 10-20.
2. อรัญญา มโนสร้อย. สารใหม่และวิทยาการใหม่ทางเครื่องสำอาง. พิมพ์ครั้งที่1. เชียงใหม่.
หน่วยผลิตเอกสารวิชาการและตำรา คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2534.


ปีติรัศมิ์ ดุสิตานนท์ วิจัยและพัฒนาเภสัชกรรม