ศาสตร์ชะลอวัยกับการป้องกันเซลล์แก่

*ศาสตร์ชะลอวัยกับการป้องกัน ‘เซลล์แก่’*

ศาสตราจารย์นายแพทย์วิจิตร บุณยะโหตระ ผู้เขียนหนังสือ “ศาสตร์ชะลอวัย” (สำนักพิมพ์สถาพรบุ๊คส์, พ.ศ. 2553) กล่าวว่า ในปัจจุบันถึงแม้ผู้คนจะมีอายุยืนขึ้น จำนวนประชากรผู้สูงวัยเพิ่มขึ้น แต่ปรากฏว่าโรคที่เกิดกับผู้สูงวัยไม่ได้ลดลง แต่กลับเพิ่มสูงขึ้น ปัญหาที่คนเรา “แก่เร็ว” “ตายเร็ว” นั้นเกิดจากการที่ผู้นั้นดูแลสุขภาพอย่างไม่ถูกต้อง ทำให้เซลล์ของผู้นั้นกลายเป็น “เซลล์แก่” (Senescent cells) ที่เสื่อมเร็วและเป็นเซลล์ที่ไม่สามารถสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทนได้เมื่อ ตายไป

อีกทั้งยังเป็นบ่อเกิดของโรคเสื่อมอีกมากมาย เช่น โรคเบาหวาน โรคไต โรคหัวใจ โรคสมองเสื่อม และโรคมะเร็ง เป็นต้น นายแพทย์วิจิตรยังบอกอีกว่า เดิมทีที่เรามักเข้าใจกันว่า โรคชราเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาตินั้น ดูท่าจะไม่เป็นความจริงเสียแล้ว เพราะศาสตร์สมัยใหม่ได้พิสูจน์ชัดเจนแล้วว่า การป้องกันเซลล์แก่นั้น ทำได้และโรคชราเป็นโรคที่ป้องกันได้ ถ้าผู้นั้นมีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับศาสตร์ชะลอวัย (Anti-Aging)

อนึ่ง การจะเป็นผู้สูงวัยยุคใหม่แห่งศตวรรษที่ 21 อย่างมีศักดิ์ศรีและสง่างามได้นั้น คือ การเป็นคนที่รอบรู้ ทันยุคทันสมัย เป็นคนที่ดูดี มีความสุข แข็งแรง ดูอ่อนวัย มีสมาธิ มีความจำดี ช่วยตัวเองได้ มีความสามารถในการเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ และมีความสามารถในการทำงานสูงแม้จะเลยวัยเกษียณไปนานมากแค่ไหนแล้วก็ตาม นั่นเอง

ผู้คนทั่วไปอาจจะยังไม่ค่อยได้รับทราบกันว่า สมาคมเวชศาสตร์ชะลอวัยของสหรัฐอเมริกาได้ประเมินไว้แล้วว่า ความ รู้ด้านเวชศาสตร์ชะลอวัยแขนงต่างๆ จะเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 250 เท่าของปัจจุบัน ในอีกยี่สิบปีข้างหน้า และอายุเฉลี่ยของคนเราน่าจะเพิ่มเป็น 150 ปีได้ในปี ค.ศ. 2030 เพราะ แม้แต่ความรู้ทางการแพทย์เท่าที่มีอยู่ในปัจจุบัน ยังทำให้อายุขัยของคนเราเพิ่มขึ้นเป็น 100 ปี หรือ 120 ปีได้ไม่ยาก ขณะที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านนี้จำนวนหนึ่ง เชื่อว่าเด็กที่เกิดในวันนี้มีโอกาสอายุยืนได้ถึง 150 ปีเลยทีเดียว

เหตุผลก็คือ หลังจากที่ร่างกายมนุษย์เจริญเติบโตเต็มที่ เมื่อครบอายุ 25 ปีแล้ว ร่างกายของคนเราจะค่อยๆ เสื่อมลงทุกปีๆ ในอัตราเพียง 1% ต่อปีเท่านั้น หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งได้ว่า ร่างกายของคนเราสามารถสร้างเซลล์สดใหม่ขึ้นมาแทนเซลล์ที่ตายไปได้ถึง 99% ในทุกๆ ปี ซึ่งเกือบจะพูดได้ว่า คนเราเกิดใหม่เป็นคนใหม่ได้ทุกปี หากผู้นั้นรู้จักดูแลร่างกายของตนให้อยู่ในสภาพที่สมดุลและสมบูรณ์อยู่เสมอ แต่ ปัญหาที่ทำให้คนเราแก่เร็วและตายเร็วกว่าที่ควรนั้นเกิดจากการที่เซลล์ของ เราหยุดสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทนเซลล์เก่าที่ตายไป เพราะเซลล์ของผู้นั้น “แก่เกินไป” คือนอกจากไม่มีพลังพอที่จะสร้างเซลล์สดใหม่ขึ้นมาได้แล้ว ยังเป็นบ่อเกิดของโรคเรื้อรังร้ายแรงต่างๆ อีกด้วย

“เซลล์แก่” คือเซลล์ที่ชำรุดจนหมดสภาพ หยุดสร้างเซลล์ใหม่ขึ้นมาทดแทนตัวเองเมื่อเซลล์ตายลง เซลล์แก่เกิดขึ้นจากสาเหตุดังต่อไปนี้ โดยปกติ เมื่อสารอาหารที่คนเรารับประทานเข้าไปจะถูกดูดซึมและนำไปเผาให้เกิดพลังงาน เรียกว่า ATP (Adenosine Triphosphate) ซึ่งเป็นพลังงานชีวิตที่ใช้ขับเคลื่อนเซลล์ของร่างกาย เปรียบเสมือนเป็นแบตเตอรี่ลอยอยู่ในเซลล์

ในแต่ละวัน ร่างกายของคนเราจะผลิต ATP ได้ปริมาณถึง 60 กิโลกรัม โดยที่การเผาไหม้เกิดขึ้นในโรงไฟฟ้าของเซลล์ที่เรียกว่า ไมโทคอนเดรีย (Mitochondria) ซึ่งมีจำนวนนับพันๆ โรงภายในเซลล์ หลังจากเผาไหม้อาหารแล้ว ร่างกายของคนเราจะเกิด “ขยะ” ขึ้นเรียกว่า อนุมูลอิสระ ซึ่งเป็นขยะพิษที่จะถูกส่งไปรีไซเคิลในโรงงานอื่นคือ ไลโซโซม (Lysosome) สารที่รีไซเคิลแล้วจะถูกนำไปซ่อมสร้างส่วนต่างๆ ของเซลล์ที่ชำรุด เช่น เยื่อหุ้มเซลล์ เป็นต้น

ด้วยเหตุนี้ หากมี “ขยะ” (อนุมูลอิสระ) มากเกินไปจนเซลล์กำจัดไม่ทัน จะมีขยะสะสมภายในเซลล์อย่างมาก ทำให้เซลล์ชำรุด เป็นเซลล์แก่หรือบวมเป่ง จนแตกออก นิวเคลียสของเซลล์ถูกทำลายและอาจเกิดผลกระทบต่อดีเอ็นเอทำให้เกิดโรคเสื่อม ต่างๆ ของวัยชราขึ้นมากมาย เนื่องจากคนวัยหกสิบปี จะมีไมโทคอนเดรียที่มีประสิทธิภาพเหลือเพียง 60% เท่านั้น

ในทัศนะของศาสตร์ชะลอวัย “ความชรา” จะมีอยู่ 3 ระยะด้วยกันคือ

(1) ระยะไม่มีอาการ (subclinical phase) (ในช่วงอายุระหว่าง 22-35 ปี) การทำงานของเซลล์ร่างกายจะเริ่มลดประสิทธิภาพลงตั้งแต่อายุ 22 ปีเป็นต้นไป ทำให้มีสารพิษสะสมอยู่ในร่างกายเพิ่มขึ้นทุกวัน ฮอร์โมนในร่างกายก็เริ่มลดลงตั้งแต่อายุ 22 ปี และลดลง 14% เมื่ออายุ 35 ปี ความเสื่อมสะสมเพิ่มขึ้นทุกวัน แต่ยังไม่แสดงอาการออกมา

(2) ระยะเปลี่ยนผ่าน (transitional phase) (ในช่วงอายุระหว่าง 35-45 ปี) เซลล์ต่างๆ จะเสื่อมลงมากขึ้นเรื่อยๆ และฮอร์โมนลดลงเรื่อยๆ จนลดลง 25% เมื่ออายุ 45 ปี ร่องรอยความชราเริ่มปรากฏให้เห็น เช่น ตามองไม่ชัด ผมหงอก ใบหน้ามีริ้วรอย เป็นต้น

(3) ระยะแสดงอาการ (clinical phase) (ในช่วงอายุ 45 ปีขึ้นไป) ฮอร์โมนต่างๆ ลดลงอย่างรวดเร็ว ตัวที่สำคัญได้แก่ DHEA (dehydroepiandrosterone), เมลาโทนิน, โกรทฮอร์โมน, ฮอร์โมนเพศ เป็นต้น อาการข้อเสื่อม ผิวหนังแห้งเหี่ยวย่น และโรคเสื่อมต่างๆ จะปรากฏออกมา

จะเห็นได้ว่า ช่วงอายุ 50 ปีเป็นต้นไป ของคนเราในมุมมองของศาสตร์ชะลอวัย มิใช่ช่วงเวลาแห่งการสะสมประสบการณ์ ความชำนาญและความมั่นคงทางเศรษฐกิจให้แก่ชีวิตเหมือนในช่วง 50 ปีแรกของชีวิตอีกต่อไปแล้ว แต่ควรจะเป็น ช่วงปรับแต่งชีวิต โดยการนำความรู้ ประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญที่สั่งสมไว้ในช่วง 50 ปีแรกของชีวิตมา บูรณาการ กับ สิ่งที่ได้เรียนรู้ใหม่หลังจากนี้ เพื่อมีชีวิตอย่างสร้างสรรค์ให้มากที่สุด และดำรงความสามารถในการสร้างผลงานออกมาอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นประโยชน์ต่อ สังคมและมนุษยชาติ ตราบจนสิ้นอายุขัยของผู้นั้น

การมีชีวิตที่ยืนยาวอีกสี่สิบปีขึ้นไปเป็นอย่างน้อย หลังจากเกษียณอายุ ในมุมมองของศาสตร์ชะลอวัย ถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะทำชีวิตของตนในช่วงที่เหลืออยู่ ให้เป็นช่วงชีวิตที่ ดีที่สุด โดยการใช้ชีวิตอย่างอิสระเพื่อตนเอง ทำในสิ่งที่ตนเองอยากทำและถนัด หรือทำในสิ่งที่ตนเองเคยใฝ่ฝันเมื่อวัยเด็กแต่ไม่มีโอกาส โดยใช้ช่วงเวลาสี่สิบปีนี้ให้เป็นโอกาสทองของชีวิต ในการสร้างความสมดุลให้แก่ชีวิตเพื่อให้มีสุขภาพดี มีความสุข และยิ่งถ้าผู้นั้นสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตตนเองด้วยความคาดหวังใหม่ๆ และวิสัยทัศน์ใหม่ๆ เพื่อส่วนรวมได้ก็ยิ่งวิเศษเข้าไปอีก

ศาสตร์ชะลอวัยยังบอกอีกว่า ช่วงอายุ 50 ปีเป็นต้นไป ควรจะเป็นช่วงเวลาของการได้เกิดใหม่ มีชีวิตใหม่ โดยเปลี่ยนวิถีชีวิตที่เคยทำร้ายตนเอง มาเป็นวิถีชีวิตที่สร้างสรรค์อย่างเต็มศักยภาพของมนุษย์ กลายเป็น คนที่มีร่างกายแข็งแรง จิตใจสงบ มั่นคงเข้มแข็ง เป็นช่วงชีวิตที่ทำให้ผู้นั้นมีชีวิตชีวาเหมือนเด็กวัยรุ่น สามารถสนุกสนานเบิกบานใจกับชีวิตประจำวันได้ทุกวัน รู้สึกอ่อนวัย คึกคัก และมีพลังชีวิตเต็มเปี่ยม ไม่ว่าตัวเองจะมีอายุเท่าใดก็ตาม

แก่นความคิดของศาสตร์ชะลอวัยนั้นอยู่ที่กระบวนทัศน์ใหม่ที่ เชื่อว่าคนเราสามารถกำหนดชีวิตใหม่ได้ โดยการตั้งโปรแกรมใหม่ให้แก่ตนเองว่า เราจะไม่แก่ ไม่เจ็บป่วย ไม่ตายง่ายๆ และใช้ชีวิตไปตามจินตภาพใหม่นี้ โดย การเปลี่ยนความเชื่อเก่าที่มองว่า ร่างกายย่อมเสื่อม และตายไปตามธรรมชาติของมัน ไปเป็นความเชื่อใหม่ ที่มองว่า ร่างกายสร้างเซลล์ใหม่และชีวิตใหม่ทุกวัน จึงต้องมีการปรับปรุง ต้อนรับชีวิตใหม่ทุกวัน และมีความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ที่ดีงามเกิดขึ้นทุกวันอย่างต่อเนื่องไม่สิ้นสุด เพื่อทำให้ตัวเองกระฉับกระเฉงแข็งแรง ไม่แก่และมีอายุยืนยาว

ศาสตร์ชะลอวัยยังมองอีกว่า ในตัวมนุษย์เรามี พลังมหัศจรรย์ ซึ่ง มีศักยภาพสูงมากในการบำรุง ส่งเสริมอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย ให้ทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดอยู่ตลอดเวลา และเป็นพลังมหัศจรรย์ที่จะซ่อมแซม ดูแลรักษาให้อวัยวะเหล่านั้นอยู่ในสภาพที่ดีอยู่เสมอ โดยไม่ต้องพึ่งหมอ พึ่งยา ทั้งนี้ก็เพราะว่า ร่างกายมนุษย์มีคุณสมบัติพิเศษที่สามารถสกัดดึงดูดเอาสิ่งสุดยอดจากอาหารที่ คนเราทานเข้าไปมาเปลี่ยนเป็นพลังงานคุณภาพสูง (super-energy) ที่เรียกว่าพลังชีวิต (vital power) เพื่อป้องกันไม่ให้ร่างกายเสื่อม ทำให้อัตราการเสื่อมของร่างกายมนุษย์มีต่ำมากเพียง 1% ต่อปีเท่านั้นเอง

ดังนั้น การดูแลตนเองไม่ให้เสื่อมหรือแก่เร็ว จึงสามารถทำได้ด้วยการเลือกทานอาหารที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง กับการดูแลจิตใจให้ดีที่สุด ผสานกับการฝึกลมปราณหรือพลังปราณ เพื่อกระตุ้นพลังชีวิตที่เป็นพลังมหัศจรรย์ภายในตัวเราให้ทำหน้าที่ของมัน อย่างสมบูรณ์เต็มร้อยอยู่เสมอ

 *ศาสตร์ชะลอวัยกับความสำคัญของอาหารเสริม*

ความมุ่งมั่นที่จะมีชีวิตที่แข็งแรงสมบูรณ์เต็มร้อยอยู่เสมอ เป็นพลังกระตุ้นที่สำคัญมากสำหรับการชะลอวัย เพราะไม่มีชีวเคมีใดในร่างกายที่อยู่เหนืออิทธิพล ของจิตใจ ตรงกันข้าม จิตใจที่หดหู่ ห่อเหี่ยวต่างหากที่ทำให้เกิดปฏิกิริยาเชิงลบต่อร่างกายซึ่งก่อให้เกิดโรค จนอาจกล่าวได้ว่า ร่างกายของคนเราถูกควบคุมได้ด้วยจิตใจ หรือไม่มีสิ่งใดมีพลังเหนือร่างกายยิ่งกว่าจิตใจ

จะเห็นได้ว่า การขาดความกระตือรือร้นต่อชีวิตต่างหากที่ทำให้พลังชีวิตที่ค้ำจุนร่างกาย ของเราค่อยๆ รั่วไหลออกดุจการรั่วของแบตเตอรี่ เพราะฉะนั้น ศาสตร์ ชะลอวัย จึงให้ความสำคัญกับการออกกำลังด้วยการฝึกลมปราณซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวด้วย ความตั้งใจอย่างมีสมาธิ และเป็นการเคลื่อนไหวอย่างช้าๆ ต่อเนื่อง ซึ่ง นอกจากจะเพิ่มพลังชีวิตให้แก่กล้ามเนื้อแล้ว อวัยวะทั่วร่างกายทุกระบบ รวมทั้งต่อมไร้ท่อ ระบบภูมิคุ้มกันก็จะถูกกระตุ้นให้ทำหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นด้วย

ในทัศนะของศาสตร์ชะลอวัย ความแก่จึงเป็นแค่เงื่อนไขทางสังคมที่ร่างกายทำไปตามเงื่อนไขที่กำหนด หากผู้นั้นสิ้นหวังต่อความแก่ ก็จะยิ่งทำให้ผู้นั้นแก่เร็วขึ้น เพราะตัวเองดำเนินชีวิตไปตามเงื่อนไขนั้น แต่ถ้าหากผู้นั้นมีความตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะไม่แก่ หรือตั้งใจจะมีชีวิตอยู่อย่างกระตือรือร้น และมีจุดหมายว่าตัวเองจะต้องแข็งแรง และกระชุ่มกระชวยทุกวัน ร่างกายก็จะตอบสนองความต้องการของจิตใจได้อย่างมหัศจรรย์

เพราะคนเราสามารถใช้ความคิดในเชิงบวก มาเป็นพลังกระตุ้นที่ป้อนข้อมูลข่าวสารให้แก่เซลล์ในร่างกาย ด้วยการบ่มเพาะความเชื่อว่า ร่างกายของเราจะใหม่ขึ้นทุกขณะ ร่างกายก็จะตอบสนองในสิ่งที่เราตั้งใจมุ่งมั่นไว้ เนื่องจากในทางชีววิทยาเซลล์ร่างกายของคนเรา สามารถมีชีวิตยืนยาวถึง 120 ปีได้อย่างสบาย ถ้าหากปราศจากอิทธิพลด้านลบทั้งจากภายใน และภายนอกมาทำให้ร่างกายของผู้นั้นเสื่อมเร็วก่อนกำหนด

นอกจาก การออกกำลังด้วยการฝึกลมปราณ กับ การมีจิตใจที่มุ่งมั่นที่จะชะลอวัย แล้ว การทานอาหารเสริม ก็เป็นอีกหนึ่งเสาหลักที่สำคัญของ ศาสตร์ชะลอวัยด้วย โดยที่ ความสำคัญของอาหารเสริม มาจากผลสรุปเชิงตรรกะของทฤษฎีอนุมูลอิสระ กับทฤษฎีการลดลงของฮอร์โมน อันเป็นสองทฤษฎีหลักที่อธิบายสาเหตุแห่งความเสื่อมชราของร่างกายมนุษย์นั่น เอง

อาหารเสริมคืออาหารบริสุทธิ์เข้มข้นที่ไม่มีสารพิษปนเปื้อน ไม่มีสารอื่นแปลกปลอม เป็นสารจำเป็นชนิดบริสุทธิ์เดี่ยวๆ หรือเป็นกลุ่มที่ร่างกายต้องการเพื่อบำรุงป้องกันโรค และชะลอวัย ปัจจุบันอาหารเสริมได้กลายเป็นสิ่งจำเป็นในชีวิตประจำวันสำหรับผู้ที่ต้องการชะลอวัย และต้องการลดความเสี่ยงจากการเป็นโรคมะเร็ง ทั้งนี้ก็เพราะว่า คนในยุคปัจจุบันนี้ บริโภคแป้งและไขมันมากจนน้ำตาลที่เกิดจากอาหารสองประเภทนี้เป็นพิษต่อร่างกาย เราจึงต้องพึ่งอาหารเสริมมาลดความเป็นพิษของน้ำตาล

นอกจากนี้ อาหารบนโต๊ะอาหารของคนยุคนี้ ยังเต็มไปด้วยสารปนเปื้อนที่เกิดจากความมักง่ายของผู้ผลิต เช่น ผงชูรส สารกันบูด สารฟอร์มาลิน ยาฆ่าหญ้ากรัมม็อกโซน ดีดีทีในผัก สารเร่งเนื้อแดงไนโตรซามิน สารปนเปื้อนเหล่านี้ซึ่งคนสมัยนี้หลีกเลี่ยงได้ยาก หากรูปแบบอาหารและตลาดอาหารยังเป็นอยู่แบบนี้ จะสะสมในร่างกายทำให้ตับทำงานหนัก เราจึงต้องพึ่งอาหารเสริมมาช่วยบำรุงตับและขับพิษ เพราะ เราแทบไม่มีทางเลี่ยงสารปนเปื้อนเหล่านี้ไปได้เลย จะมากหรือน้อยเท่านั้นเอง ผงชูรส น้ำอัดลม เกลือ อาหารที่เค็มจัด และยาบางชนิดก็ส่งผล ให้ไตของเราทำงานหนักจนอาจไตวายได้ เราจึงต้องพึ่งอาหารเสริมมาช่วยบำรุงไต

โดยปกติแล้ว อาหารที่มีสารก่อมะเร็งปนเปื้อน มักจะเป็นอาหารที่อร่อยมาก เพราะเป็นอาหารพวกทอด ปิ้ง ย่าง จึงเป็นเรื่องยากมากที่คนเราจะงดกินอาหาร ที่มีสารก่อมะเร็งโดยสิ้นเชิง เราจึงต้องพึ่งอาหารเสริมเพื่อลดความเสี่ยงจากมะเร็ง ทำลายสารก่อมะเร็ง ทำให้เซลล์ร่างกายคงทนไม่ผ่าเหล่าผิดเพี้ยนเป็นเซลล์มะเร็ง

ปัจจุบัน ผู้คนป่วยเป็นโรคหลอดเลือดแข็ง หรือตีบตันกันเป็นจำนวนมาก และมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ ทั่วโลก โดยที่ผู้นั้นจะมีอาการปวดศีรษะ ความดันสูง หน้ามืด อ่อนเพลีย แขนขาไม่มีแรง เราจึงต้องพึ่งอาหารเสริมที่มีผลลดการอุดตัน ลดไขมัน บำรุงผนังหลอดเลือดเพื่อป้องกันอาการตีบตันของหลอดเลือดแบบครอบคลุมไว้ก่อน

การที่คนเราจะมีสุขภาพแข็งแรงได้ จะต้องมีพลังบำบัดจากระบบภูมิชีวิต หรือระบบภูมิคุ้มกันที่แข็งแรง ด้วยเหตุนี้ เรา จึงต้องพึ่งอาหารเสริม มาช่วยบำรุงระบบภูมิคุ้มกันของเรา ทำการบำรุงเลือด (แก้อาการตัวซีด) ทำการบำรุงประสาท (แก้อาการกล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียก) ทำการบำรุงตับ (แก้อาการตัวเหลือง) ทำการบำรุงไต (แก้อาการตัวดำคล้ำ) และทำการบำรุงเม็ดเลือดขาว (แก้การอักเสบของเซลล์) อย่างเป็นองค์รวม

ในมุมมองของศาสตร์ชะลอวัย คนเราทั้งหญิงและชาย เมื่ออายุมากขึ้นก็ต้องประสบกับความผิดปกติของร่างกายที่เป็นปกติ คือ เป็นอาการเสื่อมของร่างกายที่ต้องเกิดขึ้นกับทุกคน ต่างกันแค่ช้าหรือเร็ว รุนแรงหรือเบา สุดแท้แต่ความแข็งแกร่งในระดับเซลล์ร่างกายของแต่ละคนเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ การกินอาหารเสริมที่สามารถช่วยบรรเทา หรือชะลอการเสื่อมในระดับเซลล์ของร่างกายได้ จึงเป็นสิ่งที่พึงกระทำเป็นอย่างยิ่ง

ตัวแทนของอาหารเสริมที่ศาสตร์ชะลอวัยเห็นว่า ควรทานเป็นประจำทุกวันนั้นได้แก่ คอลลาเจน วิตามินซี น้ำมันปลาโอเมก้า 3 หลินจือ โคคิวเทน นมผึ้ง สารสกัดจากเมล็ดองุ่น กรดแอลฟาไลโปอิค วิตามินอี เบต้าแคโรทีน เป็นต้น

หัวใจของการดูแลสุขภาพและการชะลอวัยนั้น อยู่ที่การดูแล 5 ระบบหลักของร่างกายให้แข็งแรง ระบบทั้ง 5 นี้ได้แก่

(1) ระบบภูมิคุ้มกัน

(2) ระบบหัวใจ และหลอดเลือด

(3) ระบบประสาท

(4) ระบบต่อมไร้ท่อ

(5) ระบบเผาผลาญอาหาร

การกินอาหารเสริม ก็เพื่อทำให้ระบบทั้ง 5 นี้แข็งแรงนั่นเอง เพราะหาก 5 ระบบนี้ผิดปกติ ประสิทธิภาพลดลง หรือเสียหาย ย่อมส่งผลให้เกิดกลุ่มอาการผิดปกติแก่ร่างกาย โดยเริ่มจากทำให้ผู้นั้นเกิดอาการอ่อนเพลียเรื้อรัง ซึ่งต่อมาจะรุนแรงขึ้นจนเกิดเป็นโรคเรื้อรังร้ายแรงขึ้นมาได้

ณ ที่นี้ จึงขอสรุปรวบยอดอีกครั้งว่า ทำไมเราต้องทานอาหารเสริมเพื่อชะลอวัย เหตุผลที่คนเราต้องกินอาหารเสริมเพื่อชะลอวัยมีอยู่ด้วยกัน 6 ประการ ดังต่อไปนี้

(1) เพื่อเพิ่มพลังบำบัดแก่ร่างกาย

อาหารเสริมจะช่วยเสริมประสิทธิภาพของเม็ดเลือดขาวในการจัดการกับเชื้อโรคได้ดียิ่งขึ้น

(2) เพื่อรับสารอาหารที่เป็นสารอายุวัฒนะ

ในอาหารเสริมมีสารบริสุทธิ์เข้มข้นที่ส่งผลต่อการมีอายุวัฒนะ หรือสภาวะที่ร่างกายปราศจากโรคเรื้อรัง และมีอายุยืนอย่างมีความสุข

(3) เพื่อลดเหตุแห่งโรค หรือสาเหตุแห่งความเสื่อม หรือความผิดปกติต่างๆ ของร่างกาย

โดยการลดเหตุแห่งโรคหรือความเสื่อมนี้ เป็นการกระทำในระดับเซลล์ร่างกาย โดยที่อาหารเสริมจะช่วยป้องกันการอักเสบของเซลล์ร่างกาย อันเป็นต้นตอที่แท้จริงของความผิดปกติต่างๆ ของร่างกาย

(4) เพื่อบำรุงร่างกาย ป้องกันโรคและฟื้นฟูสมรรถนะของร่างกาย

อาหารเสริมจะช่วยเพิ่มพลังงาน หรือพลังชีวิตให้แก่ร่างกายในระดับเซลล์

(5) เพื่อฟื้นฟูระบบหลักทั้ง 5 ในร่างกาย

(6) เพื่อดูแลสุขภาพในแบบองค์รวม

โดยใช้อาหารเสริมเป็นอีกหนึ่งในตัวช่วยการชะลอวัย นอกเหนือไปจากการออกกำลังกายด้วยการฝึกลมปราณ และการทำสมาธิ

...ศาสตร์ชะลอวัยจะต้องเป็นศาสตร์องค์รวมที่ก้าวข้าม และหลอมรวมการแพทย์แผนตะวันตก นี่เป็นทิศทางหรือเข็มทิศสุขภาพที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้