เทคนิคการลดพุง
- Tab 1
- Tab 2
- Tab 3
- Tab 4
พุงหนุ่มหรือพุงสาว ชื่อว่าพุง ไม่มีใครอยากมี นอกจากน่าเกลียดแล้วยังเป็นสาเหตุโรคร้ายสารพัด ต้องระวังอย่าให้เกิดพุง
พุงหรือคำเรียกที่เป็นทางการว่า หน้าท้อง เป็นอวัยวะที่ไม่ได้โชว์กันบ่อย นอกจากยามที่ใส่บิกินนี่ตัวจิ๋ว
ภาพ ของหน้าท้องที่แบนราบดูเซ็กซี่ของหญิงสาว ดึงดูดสายตาได้ทุกเพศไม่เฉพาะ หนุ่ม ๆ เช่นเดียวกับกล้ามท้องสุดเร้าใจ ของชายหนุ่มก็ยอดนิยมไม่แพ้กัน
หน้าท้องที่สวยงามนั้น คนทำงานออฟฟิศหรือนักธุรกิจทั้งหลายไม่มีโอกาสเป็นเจ้าของมากนัก ส่วนใหญ่มักจะมีสภาพที่ล้ำหน้า หรือย้อยออกมาเกินหน้าเกินตา
ในรายที่รุนแรงก็ก้มมองไม่เห็นหัวแม่เท้าตนเอง บางคนปลอบใจตัวเองว่านี้คือสัญลักษณ์ของผู้ที่มีอันจะกินแต่ปัจจุบันมันคือ สัญญาณอันตรายของโรคร้าย
มีเกณฑ์ตรวจสอบรอบเอวของคุณว่าอยู่ในภาวะเสี่ยง แค่ไหน รอบเอวคุณผู้หญิงไม่ควรเกิน 33 นิ้วและไม่เกิน 36 นิ้วในผู้ชาย ทำไมหน้าท้องที่แบนราบ หรือคอดกิ่วในวัยหนุ่มสาวกลับมาเป็นสภาพแบบที่เราไม่ ชื่นชม ส่วนเกินที่เพิ่มขึ้นมานั้น รับรองว่าไม่ใช่กล้ามเนื้อแน่นอน แต่เป็นไขมันและไขมันล้วน ๆ
ไขมันหน้าท้องมีอยู่สองประเภทที่เราควรรู้จักเอาไว้ คุณลองเอามือหยิกหน้าท้องคุณดู คุณจับได้แต่ผิวหนัง หรือหนังติดมัน (เหมือนกับอาหารติดมันที่เราชอบกินทุก วัน)
ส่วนไขมันที่อยู่ติดผิวหนังและกล้ามเนื้อเราเรียกว่าไขมันใต้ผิวหนัง (Subcutaneous Fat) ส่วนนี้เป็นไขมันที่เรามองเห็นเป็นตัวปกปิด six pack ที่แสนงาม ของเรา ไขมันชนิดนี้อันตรายต่อสุขภาพของเราไม่มากนัก แต่อีกตัวสิน่ากลัว ไขมันในช่องท้อง(Visceral Fat)ไขมันตัวนี้ไม่ทำให้พุง เรายื่นออกมาน่าเกลียด แต่มันจะอยู่ระหว่างกล้ามเนื้อท้องกับอวัยวะภายในช่องท้องของเรา หากมีมากก็เหมือนเราเอาไขมันไป หุ้มอวัยวะภายในร่างกายของเรา มันน่ากลัวขนาดไหน
ความน่ากลัวของไขมันในช่องท้องนี้ มันสามารถทำให้อวัยวะต่าง ๆ ภายในร่างกายเกิดการอักเสบในระดับเซลล์ ซึ่งเป็นสาเหตุใหญ่ของโรคอันตรายต่าง ๆ อาทิ โรคหัวใจ เบาหวาน
ความดันโลหิตสูง เส้นโลหิตในสมองตีบหรือแตก
เป็นเรื่องเร่งด่วนอย่างยิ่งสำหรับคนที่รักสุขภาพและรักคนใกล้ตัวอยากอยู่ กับเขานาน ๆ การกำจัดไขมันในพุง(ลดพุง)ควรเป็นวาระสำคัญสำหรับคุณ
แต่อย่ามองหาสูตรลับสูตรสำเร็จแบบชั่วข้ามคืนในการลดพุง ลดความเสี่ยงจากสารพัดโรคร้าย หรือตกเป็นเหยื่อโฆษณาเสียเงิน ซื้ออุปกรณ์สารพัด ที่บอกว่าทำให้พุงเรายุบ ด้วยการทำเพียงไม่กี่ทีหรือไม่กี่ครั้งต่อวัน แล้วเอานางแบบหน้าท้องสุดสวยกับนายแบบกล้ามท้องเป็นมัดมาหลอกเรา
เป็นไปไม่ได้หรอกจ้า
มีการศึกษาถึงวิธีลดพุงโดย ใช้กลุ่มศึกษานับพันคน โดยแบ่งเป็นกลุ่มแรกเน้นควบคุมอาหารอย่างเดียว กลุ่มที่สองเพิ่มการออกกำลังกายเข้าไปด้วย ผลปรากฏว่ากลุ่มที่ควบคุมอาหารไปพร้อม ๆ กับการออกกำลังกาย สามารถลดไขมันหน้าท้องได้ดีกว่ากลุ่มแรก
การออกกำลังกายบางประเภทก็ไม่ใช่ปัจจัยหลักในการลดพุง บางคนวิ่งบนสายพานแบบหนักหน่วง หรือเล่นเวทยกน้ำหนัก ซิทอัพเป็นร้อยครั้ง หัวใจเราได้ประโยชน์ กล้ามเนื้อเพิ่มขึ้น แต่หน้าท้องก็ไม่เรียบเนียนดังใจต้องการ พุงอาจจะยุบไปหน่อย ได้ผลเล็กน้อย อะไรคือข้อผิดพลาดตกหล่น
การลดไขมันหน้าท้องทั้งไขมันใต้ผิวหนัง(Subcutaneous Fat) และไขมันในช่องท้อง (Visceral Fat) ต้องใช้ความตั้งใจจริง ขอให้ระลึกไว้เสมอว่า กว่าที่เราจะสะสมไขมันจนได้พุงใหญ่ขนาดนี้ เราต้องใช้เวลาไม่น้อย และเมื่อจะขจัดมันออกไปเราก็ต้องใช้เวลาพอสมควร ไม่ใช่ปล่อยให้มันใหญ่ ใช้เวลามาห้าปีแล้วจะจัดการมันออกไปในเวลา5 อาทิตย์คงเป็นไปได้ยาก ในสภาพพฤติกรรมการกินการออกกำลังกายแบบเดิม ๆ
เมื่อเข้าใจข้อแรกนี้ เราก็จะให้เวลาในการจัดการที่สมเหตุสมผลและไม่ใจร้อนต้องการผลลัพธ์เร็ว ๆ และไม่ทำให้เราถอดใจไปก่อนจะสัมฤทธิ์ผล
เทคนิคการลดพุง
"พุง" เป็นปัญหาใหญ่สำหรับคนทุกคน บางคนก็หนีพ้น บางคนก็หนีไม่พ้น (ส่วนใหญ่) และในปัจจุบันนี้ มีงานวิจัยที่ได้ออกมา สนับสนุนกัน อย่างมากมาย เกี่ยวกับคนที่มีพุง ก็คือ มีอัตราการเสี่ยงต่อการเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคไขมันอุดตันในเส้นเลือด โรคความดันโลหิต โรคไขข้อเสื่อมเร็ว ฯลฯ มากกว่าคนที่มีพุงน้อยๆ ดังนั้น จึงมีสถานประกอบการต่างๆ เกิดขึ้นมากมาย ที่แข่งขันกันโฆษณาว่า ไม่ต้องออกกำลังกายก็ลดพุงได้ ลดไขมันได้ ลดน้ำหนักตัวได้ รวมไปถึงลดจำนวนเงินในกระเป๋าของท่านให้น้อยลงก็ได้ด้วย บางคนก็ยอมเสียเงิน บางคนก็ได้แต่นั่งทำใจ ปล่อยให้อ้วนไปเรื่อยๆ บางคนเครียดไม่รู้จะทำอย่างไร บางคนก็หลบหนีหน้าเพื่อไม่ให้คนอื่นเห็น (ไม่มั่นใจตนเอง) บางคนก็มุ่งมั่นที่จะลดพุงโดยการทำทุกวิถีทาง ผิดๆ ถูกๆ ก็ทำไป จนบ่นออกมาว่า ออกกำลังกายตั้งเยอะแยะทำไมพุงไม่ลดลงเสียที บางคนถึงขั้นอดอาหาร พยายามข่มใจตัวเองไม่กินอาหารใดๆ จนกลายเป็น โรคขาดสารอาหาร และที่หนักไปกว่านั้น บางคนถึงกับ ล้วงคอเพื่อให้อาเจียนอาหารที่กินเข้าไปแล้วให้ออกมา ร่างกายจะได้ไม่มีรับพลังงาน เข้าไป จนกระทั่งกลายเป็นโรคจิต หรือที่เรียกกันว่า บูลิเมีย (Bulimia) และ อะนอเร็กเซีย (Anorexia)
หลักและวิธีการลดพุงที่ถูกวิธี ผู้อ่านต้องทำความเข้าใจก่อนว่า พุง หมายถึง ไขมันใต้ชั้นผิวหนัง ไม่เกี่ยวกับกล้ามเนื้อ ดังนั้น การที่จะลดไขมันให้น้อยลงไปได้ดีนั้น ต้องปฏิบัติ 3 ประการ
1. ควบคุมการรับประทานอาหารเพื่อไม่ให้ไขมันเข้าไปในร่างกายมากขึ้น
- พยายามงดอาหารประเภทไขมัน หนังสัตว์ มันฝรั่งทอด ของทอด ถั่ว แป้ง น้ำตาล ของหวาน ขนมปัง ผลไม้หวาน ไอศกรีม ฯลฯ
- พยายามอย่าทานอาหารมื้อเย็นแล้วรีบเข้านอน ควรทานอาหารก่อนนอนอย่างน้อย 3-4 ชั่วโมง
- ในแต่ละมื้ออย่าพยายามกินให้อิ่มมากจนเกินไป
2. ออกกำลังกายแบบแอโรบิก (Aerobic Exercise) เป็นประจำ
- ร่างกายจะมีการเผาผลาญไขมันเพิ่มมากยิ่งขึ้น ก็จะทำให้ไขมันในร่างกายลดลงเร็วยิ่งขึ้น
- ออกกำลังกายแบบแอโรบิก ได้แก่ การเดินเร็ว วิ่งเหยาะๆ ปั่นจักรยาน ว่ายน้ำช้าๆ หรือกิจกรรมใดก็ได้ที่ทำได้ต่อเนื่องนานติดต่อกันประมาณ 20 – 30 นาที แต่ต้องไม่รู้สึกเหนื่อยมากจนเกินไป
3. เสริมสร้างกล้ามเนื้อให้แข็งแรงขึ้น โดยเฉพาะกล้ามเนื้อหน้าท้องด้านหน้า ด้านข้าง
- เนื่องจากการฝึกกล้ามเนื้อให้แข็งแรง จะเป็นการเพิ่มกระบวนการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย (Metabolism) ให้เพิ่มมากขึ้น ก็จะยิ่งทำให้ร่างกายมีการเผาผลาญในขณะพักได้มากยิ่งขึ้น
ทั้งนี้ การจะทำให้พุงลดลงอย่างเห็นได้ชัด จะต้องอาศัยระยะเวลาในการปฏิบัติ อย่ารีบร้อนที่จะให้ลดลงเร็วเกินไป อาจต้องใช้เวลาประมาณ 2 -3 เดือนหรือมากกว่านั้น ไม่ใช่ 1-2 อาทิตย์แล้วพุงจะหายไป หรืออดอาหารเพียงอย่างเดียวจะทำให้พุงหายไปได้
ปัจจัยที่สำคัญที่สุดที่จะทำให้เป้าหมายคือพุงหายไปนั้น คือ ความมีวินัย มุ่งมั่น ตั้งใจ แน่วแน่ และซื่อสัตย์ต่อตนเอง แล้วจะทำให้พุงของท่านหายไป
ท่าที่ 1 ลดหน้าท้องระหว่างพักผ่อน
ระหว่างนอนดูทีวี ให้นอนราบ วางขาทั้งสองข้างไว้บนเก้าอี้ เกร็งหน้าท้องพร้อมยกศีรษะ ไหล่ และหลังขึ้นมาจากพื้น นับ 1-5 แล้วค่อยๆ ปล่อยตัวนอนราบตามเดิม ทำซ้ำ 10-12 ครั้ง
ท่าที่ 2 ท่ายกสะโพกสูง
นอนราบกับพื้น แขนวางแนบข้างลำตัว ชันขาขึ้นให้หัวเข่าทั้งสองตั้งฉากข้างกับพื้น จากนั้นเกร็งหน้าท้องแล้วค่อยๆ ยกสะโพกให้สูงขึ้นจากพื้นประมาณ 2-3 นิ้ว ค้างไว้ 5 วินาที ทำซ้ำสัก 10-12 ครั้ง
ท่าที่ 3 ลดหน้าท้องแบบทแยงมุม
เริ่มต้นด้วยกานนอนหงายเช่นเคย ใช้แขนรองไว้ใต้ต้นคอเพื่อป้องกันการบาดเจ็บที่กล้ามเนื้อคอ ชันขาทั้งสองข้างขึ้น วางข้อเท้าขวาไว้บนเข่าซ้าย ค่อยๆ เกร็งหน้าท้องพร้อมกับยกลำตัวขึ้น บิดลำตัวให้ข้อศอกขวาหันไปหาหัวเข่าซ้าย ค้างไว้ 5 วินาที ทำซ้ำ 10-12 ครั้ง จากนั้นให้เปลี่ยนข้าง
ท่าที่ 4 ท่าสลับซ้ายขา
นอนหงายชันเข่า สูดหายใจเข้าลึกๆ พร้อมกับยกลำตัวท่อนบนขึ้นจากพื้น โดยวางมือลงบนขมับหรือบนต้นขา กับคอ โน้มตัวไปข้างหน้าให้มากที่สุด เกร็งหน้าท้องไว้แล้วบิดตัวไปทางซ้าย 1 ครั้ง ขวา 1 ครับสลับกัน จากนั้นค่อยๆ ทิ้งตัวลงนอนราบตามเดิม ควรทำ 10-15 ครั้ง เป็น 1 เซต
ท่าที่ 5 ท่านอนคว่ำ
นอนคว่ำหน้าลงกับพื้น วางข้อศอกให้ตั้งฉากกับลำตัว จากนั้นค่อยๆ เกร็งหน้าท้องพร้อมกับยกลำตัวขึ้น โดยใช้ปลายเท้ายันพื้นไว้คล้ายกับท่าวิดพื้น แต่ต่างกันตรงที่ให้คุณใช้ข้อศอกค้ำลำตัวไว้แทน เกร็งหน้าท้องค้างไว้ 5-10 วินาที แล้วลดลำตัวลง ทำซ้ำ 10-12 ครั้ง
ท่าที่ 6 ท่าชูขาสูง
นอนหงายสบายๆ วางแขนข้างตัว ค่อยๆ ยกขาทั้ง 2 ข้างชูขึ้นไปบนอากาศพร้อมกับเกร็งหน้าท้องไว้ ค้างไว้ 5 วินาที จากนั้นก็ทำใหม่แต่เพิ่มเวลาให้นานขึ้นเป็น 10 วินาที ทำไปเรื่อยๆ โดยเพิ่มเวลาขึ้นครั้งละ 5 วินาที
ท่าที่ 7 ท่าไขว้ข้อเท้า
นอนราบกับพื้นเช่นเดิม วางแขนสบายๆ ข้างลำตัว ค่อยๆ งอข้อศอกให้แขนรับน้ำหนักตัวแล้วยกแผ่นหลังขึ้นให้สูงที่สุด จนรู้สึกเกร็งที่หลังและหน้าท้อง จากนั้นไขว้เท้าซ้ายกับเท้าขวาค้างไว้ 10-15 วินาที แล้วนอนราบตามเติม จากนั้นทำซ้ำใหม่โดยเปลี่ยนข้อเท้าที่ทับเป็นเท้าขวาแทน ประโยชน์อีกอย่างหนึ่งของท่านี้คือจะลดอาการปวดเมื่อยตามหลัง และลำตัวได้ดี
สาเหตุของพุงป่องไม่ใช่จากการรับประทานเพียงอย่างเดียว และคนพุงป่องก็ไม่ได้แปลว่าอ้วนด้วย แต่อาจเป็นเพียงอาการบวมน้ำเท่านั้น
1. การแพ้อาหาร
บางครั้งอาการท้องบวมอาจเกิดจากอาการระคายเคืองหรือการติดเชื้อของระบบย่อยอาหารในช่องท้อง หรืออาจรวมถึงการรับประทานยาบางชนิดที่ทำให้บวมน้ำและยังรวมไปถึงการมีรอบเดือนด้วย แต่ถ้ารู้สึกว่าหน้าท้องบวมขึ้นผิดปกติหลัง ทานอาหารบางชนิด ให้สันนิษฐานได้ว่าน่าจะมีอาการแพ้อาหารเข้าให้แล้ว จากสถิติพบว่าอาหารจำพวกแป้งและนมมีโอกาสทำให้เกิดอาการแพ้และบวมมากที่สุด
2. อาหารลดน้ำหนัก
คนที่ชอบหวังพึ่งอาหารลดน้ำหนักจำพวกโลว์-แฟ้ต หรือแฟ้ต-ฟรีมักจะมีปัญหาพุงป่อง เนื่องจากคิดว่ามันเป็นอาหารแคลอรี่ต่ำ จึงสามารถกินมากกว่าปกติ อาหารพวกนี้อาจมีพลังงานน้อยกว่าปกติ แต่มันก็ไม่ได้น้อยขนาดนั้น ทางที่ดีหันมารับประทานผักผลไม้ให้มากขึ้นจะดีกว่า รวมทั้งรับประทานอาหารที่มีเอนไซม์ช่วยย่อย อาทิ น้ำมะนาว น้ำส้มสายชูสกัดจากแอ๊ปเปิ้ล หรือผักสดต่าง ๆ
3. กินช้า ๆ แต่บ่อย ๆ
ค่อย ๆ เคี้ยวอาหารช้า ๆ เพื่อให้ประสาทรับรู้ค่อย ๆ รู้สึกอิ่ม และในแต่ละมื้ออย่ากินให้เยอะจนอิ่มแน่นท้อง ควรแบ่งมื้ออาหารออกเป็นมื้อย่อย ๆ แต่อย่ากินขนมจุบจิบจำพวกขนมนมเนยต่าง ๆ เลือกกินผลไม้หรือธัญพืช เมื่อหิวระหว่างมื้อจะดีกว่า
4. ขจัดสารพิษ
แอลกอฮอล์ คาเฟอีน และนิโคตินในบุหรี่มีผลร้ายต่อระบบเผาผลาญอาหารของร่างกาย ส่งผลให้ร่างกายบวมน้ำและยังก่อให้เกิดเซลลูไลท์อีกด้วย ดังนั้นเมื่อรู้เหตุดังนี้แล้วก็แค่ลดละเลิกการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และคาเฟอีนต่าง ๆ และเลิกสูบบุหรี่ไปซะด้วยเลยในเวลาเดียวกัน
5. หัดกินสักนิด
ในกระเพาะจะมีแบคทีเรียอาศัยอยู่เพื่อช่วยในการย่อยอาหาร แต่บางครั้งแบคทีเรียเหล่านี้ก็อาจถูกกำจัดไปจากสภาวะต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเจ็บป่วยหรือการรับประทานอาหารบางชนิด แนะนำให้รับประทานโยเกิร์ตรสธรรมชาติเป็นประจำเพื่อปรับสมดุลแบคทีเรียกลุ่มที่เป็นประโยชน์ จะช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นและช่วยให้หน้าท้องบวมน้อยลงด้วย
6. ดื่มน้ำให้มาก
อาการบวมน้ำนี้ ควรดื่มน้ำให้ได้อย่าง ต่ำ 8 แก้วต่อวัน แต่วิธีการดื่มนั้นอย่าดื่มหมดแก้วในคราวเดียวควรจิบ น้ำบ่อย ๆ เรื่อย ๆ เพราะการที่ดื่มน้ำแก้วใหญ่ในคราวเดียว จะทำให้กระเพาะปัสสาวะขยายใหญ่ ถ้าจะให้ดีลองเลือกดื่มชาสมุนไพร อาทิ ชาเป็ปเปอร์มินต์ หรือชาคาโมไมล์แทนน้ำเปล่า โดยเฉพาะการดื่มในช่วงหลังอาหาร จะช่วยให้อาหารที่รับประทานเข้าไป ย่อยได้ดีขึ้นด้วย
7. บริหารกล้ามเนื้อหัวใจ
ผู้หญิงหลายคนเชื่อว่าการซิตอัพทุกวันจะช่วยให้หน้าท้องแบนเรียบแต่จริง ๆ แล้วไม่ใช่เลย แม้ว่าการซิตอัพจะช่วยสร้างกล้ามท้อง แต่ถ้าร่างกายนั้นยังปกคลุมด้วยชั้นไขมัน หน้าท้องเรียบตึงก็จะไม่มีวันโผล่มาให้เห็นหรอก ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เป็นประจำอย่างน้อย 30 นาทีต่อวัน อย่างต่ำ 3 วันต่อสัปดาห์เพื่อให้ร่างกายได้เผาผลาญไขมันออกไป บวกกับการซิตอัพ คราวนี้รับรองสวยตึงแน่นอน
8. หายใจลึก ๆ
เมื่อหายใจเข้าออกแบบลึก ๆ จะช่วยให้ร่างกายจะคลายความตึงเครียดออกมา รวมทั้งยังช่วยในการเติมอ็อกชิเจนและพลังชีวิตให้ร่างกายด้วย ทุกครั้งที่หายใจให้พยายามหายใจให้ลึกเข้าไปยังท้อง อย่าหยุดเพียงแค่เก็บลมไว้ในช่องอกการหายใจเข้าออกจากท้องเป็นนิสัยจะช่วยกระชับให้กล้ามเนื้อหน้าท้องแข็งแรงมากยิ่งขึ้น
9. นวดกระชับหน้าท้อง
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าการนวด ช่วยได้ จริงๆ เนื่องจากการนวดท้องนั้น ช่วยไล่ลมที่กักเก็บไว้ในช่องท้องได้ และช่วยทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้นด้วย ณ วิธีการนวดก็ไม่ยาก เพียงวางฝ่ามือลงบนท้องแล้วนวดวนตามเข็มนาฬิกา ถ้าอยากเห็นผลลัพธ์เร็วขึ้น อาจใช้ครีมจำพวกกระชับกล้ามเนื้อหน้าท้องร่วมด้วย ก็ได้