ศิลปะแห่งสนทนา
การสนทนาที่ไม่ก่อให้เกิดการเรียนรู้
ที่นำการสนทนามาเทียบเคียงกับการเรียนรู้ ก็เพราะมองว่าการเรียนรู้เป็น คุณลักษณะหลักที่สำคัญยิ่ง เพื่อชีวิตคือ องค์กรที่จัดองค์กรตัวเองอย่างเป็น เครือข่ายเพื่อการเรียนรู้
ถ้าเราเป็นคนละเอียดอ่อน และเมื่อมีโอกาสอยู่ในวงสนทนา ลองถอยตัวเอง ออกจากฐานะของผู้เข้าร่วม มาเป็น ผู้สังเกตการณ์ เมื่อสังเกตดูการสนทนาที่เกิดขึ้นทั่วๆ ไป ของคนทั่วไปในสังคมปัจจุบันนี้ และลองประมวลข้อสรุปออกมาสิว่า มันจะบอกอะไรกับเราบ้าง?
หนึ่ง ในวงสนทนานั้นจริงๆ แล้วไม่ค่อยมีใครฟังใคร ยิ่งถ้ากินเหล้าคุยกันด้วยแล้ว จะเกิดอาการต่างคนต่างพูดเลยด้วยซ้ำ และในกรณีที่ยังฟังกันบ้าง การฟังก็เพื่อ จะเก็บวลีหรือถ้อยคำที่เข้าทาง หรือที่สอดคล้องกับความคิดและมุมมองของตน และก็จะสอดแทรกเข้ามาพล่ามเรื่องที่ตนเองอยากจะพูดเลยทีเดียว อันนี้ก็เป็นเหตุผลนะครับว่า ทำไมงานสังคม จึงเป็นงานที่น่าเบื่อหน่าย ไม่มีใครเรียนรู้อะไรจากใคร ไม่มีความอิ่มเอมใจอันเกิดจากการสนทนาที่แท้จริง อย่างดีที่สุดก็ทำได้แค่อวดมั่งมีและอวดเก่งเท่านั้น และไม่มีอะไรมากกว่านี้
โบห์มเองก็พูดเรื่อง dialogue ระดับโลกที่องค์กรระดับโลก เช่นสหประชาชาติชอบใช้ โบห์มตั้งข้อสังเกตว่า สิ่งที่เกิดขึ้น ไม่ใช่ dialogue ในความหมายของโบห์ม หากเป็นการเจรจาต่อรองผลประโยชน์เล็กๆ น้อยๆ ในรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ โดยที่หลักการ มุมมอง โลกทัศน์ของทั้งสองฝ่าย ไม่ได้มีการปรับเปลี่ยนเรียนรู้เลย ปัญหาจึงมิอาจแก้ไขได้ เพราะตัว ปัญหาหลักคือมุมมอง และโลกทัศน์ที่แข็งตัว ยังดำรงอยู่อย่างถาวรโดยไม่แปรเปลี่ยน
เพราะฉะนั้น การสนทนาเพื่อขายความคิดเพื่อให้คนอื่นมาคล้อยตามความคิดของตน จึงไม่ใช่การสนทนาแบบโบห์ม การสนทนาแบบโบห์มผู้เข้าร่วม ต้องเปิดใจ พร้อมเปลี่ยนมุมมองและสมมติฐานอย่างกล้าหาญและหฤหรรษ์
การฟังอย่างมีคุณภาพ
การปล่อยให้เสียงและความเป็นตัวตนทั้งหมดของผู้อื่นเข้ามาในตนนั้นก็คือช่วงหลับ และตื่นขึ้นเพื่อจะรวบรวมประมวล สร้างความหมายให้กับสิ่งที่ฟัง เป็นช่วงตื่น ในการฟังจะมีช่วงหลับ-ตื่น นี้สลับกันไปอย่างมีศิลปะ
แต่ในการฟังบ่อยครั้งเราจะหลุดลอยไปในโลกของเราเอง ไม่ว่าจะเป็นโลกแห่งอารมณ์หรือความคิดก็ตาม บางที เครื่องแต่งกายของคู่สนทนาสักชิ้น อาจจะทำให้เราระลึกถึงความทรงจำบางอย่าง และเราก็ลอยละล่องไป ในความทรงจำนั้น บางทีถ้อยคำบางคน ทำให้เราเพลิดไปกับ ความคิดของเราเอง อย่างเป็นคุ้งเป็นแคว
เราจะหลุดออกมาจากโลกของเราเองได้อย่างไร เพื่อยินยอมและซึมซับโลกของผู้อื่นเข้ามา ทั้งเนื้อหาและรูปลักษณ์ ความคิด อารมณ์ความรู้สึก และความสั่นไหวภายในทั้งมวลของผู้พูด
ด้วยเหตุนี้ การฟังจึงเป็นทั้งศิลปะที่เป็นพื้นฐานและเป็นศิลปะชั้นสูง ที่เราอาจจะต้องฝึกฝนไปตลอดชีวิต เมื่อเทียบเคียงกับ การปฏิบัติในพุทธศาสนาแล้ว เราจะต้องฝึกสมาธิเพื่อผ่อนคลายความว้าวุ่นของอารมณ์ต่างๆ ในใจเราให้สงบลง และถ้าฝึกได้ดีจะถึงจุดที่ “ว่าง” จากอารมณ์รบกวนทั้งหลาย และอีกด้านหนึ่งต้องฝึกปัญญา คือ วิปัสสนา ที่เราจะว่างจาก ความคิดของเราเอง เพื่อรับความคิดของผู้อื่นเข้ามา
ความคิดนั้นไม่ใช่ข้อมูลที่ขาดเป็นห้วงๆ อย่างที่เป็นอิฐก่อสร้าง หรือเป็นตัวต่อที่ใช้สำหรับสร้างอะไรต่างๆ ของเด็ก ที่จะเอาไปต่อตรงไหนก็ได้ แต่ความคิดเป็นโครงข่ายที่มีแม่บทหรือกระบวนทัศน์กำกับอยู่ ในกระบวนทัศน์หนึ่งๆ ก็จะมีสมมติฐานเป็นตัวรองรับอยู่ ก็ในเมื่อเรายังไม่ได้รู้แจ้งแทง ตลอดในสัจธรรมนั้น (ถ้าการรู้แจ้งนี้มีจริง) ความคิด ความรู้ ความเข้าใจของเราทั้งหมด ก็ยังตั้งอยู่บนสมมติฐานต่างๆ หรือชุดของสมมติฐาน แต่โดยอัตโนมัติ เรามักจะไป ยึดถือเอาว่า สมมติฐานของเราเป็นสัจจะความจริง ถือเอาว่า ชุดของสมมติฐานของเราเป็นสามัญสำนึก ที่ทุกคนจะต้องรู้ และมันเป็นทั้งฐานของสัจธรรมทั้งมวล นี่แหละคืออุปสรรคตัวสำคัญของการฟัง มันทำให้เรามืดบอด ต่อทุกสิ่งทุกอย่าง ที่อยู่นอกเหนือชุดแห่งสมมติฐานของเรา
ฟังอย่างเป็นกระจกเงา แก้ปัญหาเมื่อสัมพันธ์กับคนที่มีอารมณ์ลบ
เป็นความอิ่มเอมใจอย่างหนึ่ง เมื่อได้รับทราบว่าขบวนการฝึกอบรมก่อให้เกิดผล ก็เนื่องด้วยใน โครงการหัวใจใหม่ ชีวิตใหม่ ซึ่งรักษาโรคหัวใจ อย่างเป็นองค์รวมนั้น เราได้ให้ความสำคัญกับการดูแลจัดการความเครียดมาเป็นอันดับหนึ่ง การนำเอาการฝึกสติ ในชีวิตประจำวัน เข้ามาเพิ่มคุณภาพให้ผู้เข้าร่วมได้บ่มเพาะอารมณ์บวก ดุจดังคนสวน ที่รดน้ำพรวนดิน อารมณ์บวกทั้งหลาย เช่นความรัก ความแจ่มใส ความมีพลังชีวิตเป็นต้น และให้พยายาม หลีกเลี่ยง อารมณ์ลบเช่น ความโกรธ ความหงุดหงิด และอื่นๆ
การอบรมเช่นนี้คนไข้โรคหัวใจซึ่งเป็นคนแบบเอ (โกรธง่าย ก้าวร้าว จะเอาอะไรต้องเอาให้ได้ มองเห็นคนอื่น เป็นต้นเหตุ ของปัญหา โดยมักจะไม่มองเห็น ข้อจำกัดของตนเอง) หลายต่อหลายคนได้ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมแบบ ๑๘๐ องศา คือ กลับลำบุคลิกภาพเลยทีเดียว พวกเขากลับไปขออภัยเพื่อน และญาติมิตรที่พวกเขา ระเบิดอารมณ์ใส่ โดยปราศจาก เหตุผลที่ดีพอ และพวกเขาก็สามารถ หยุดปฏิกิริยาแบบฉับพลันที่มีต่อคนอื่นๆ ในสถานการณ์ต่างๆ โดยอาจจะใช้ วิธีเก็บความรู้สึกเอาไว้ หรือเดินเลี่ยงออกมาจาก สถานการณ์อันล่อแหลม พวกเขาก็สามารถลดการแสดงอารมณ์โกรธ หรือหงุดหงิดในทันทีทันใดได้มาก บางคนสามารถไปไกลกว่านั้น โดยสามารถหยุดโกรธก่อนโกรธ และเอาความเข้าใจ เห็นอกเห็นใจ เข้ามาแทนที่ หลายคนเริ่มมองความคับแคบและข้อผิดพลาดของตนเอง ท่านหนึ่งที่ ทะเลาะกับภรรยา จนเกือบจะเลิกกันแล้ว กลับมาเห็นความงามของภรรยา และเนื่องจากสุขภาพก็ฟื้นฟูดีขึ้น ความสัมพันธ์แบบรักใคร่ ก็กลับคืนมาดังเดิม สรุปแล้วคนไข้หลายต่อหลายคน หลายต่อหลายรุ่นฟื้นคืนสุขภาพ ความเป็นปกติ ความแจ่มใส ปลอดโปร่ง ทั้งกายและใจกลับคืนมา
เมื่อเดือนเมษายน ๒๕๔๕ ผมได้รับเชิญฝึกอบรมเรื่อง ศิลปะการจัดการเรียนการสอน ให้อาจารย์ที่ มหาวิทยาลัย อุบลราชธานี ในการนำเสนอเรื่องการใช้ปัญญาอารมณ์ในศิลปะการสอนนั้น อาจารย์ท่านหนึ่งยกประเด็นขึ้นมาว่า เราอาจจะ จัดการกับอารมณ์โกรธ อารมณ์หงุดหงิดของตนเองได้ แต่ถ้าเราไปพบความโกรธ ความหงุดหงิด ของคนอื่น ขึ้นมาล่ะ เราจะทำอย่างไร โดยเฉพาะในกรณีที่เราไม่สามารถเดินหนีออกไปได้ แต่จะต้องเผชิญหน้ากัน เพื่อจัดการงาน ให้บรรลุวัตถุประสงค์ที่วางไว้
ทีมฝึกอบรมที่มาจากสถาบันขวัญเมืองและเสมสิกขาลัย ได้เสนอแนวทางแห่งการฟังอย่างเป็นกระจกเงา เพื่อเป็น การตอบสนองต่อสถานการณ์นั้น แทนที่จะมีปฏิกิริยาตอบกลับอย่างก้าวร้าว การฟังอย่างเป็นกระจกเงา ก็คือ การฟังแต่ละ ช่วงของ การพูดอย่างระเบิดอารมณ์ (หรือไม่ระเบิดอารมณ์) ของอีกฝ่ายหนึ่ง แล้วพูดกลับไปว่า เราได้ยินเขาพูดอย่างไร ในความเข้าใจของเรา โดยให้อีกฝ่ายหนึ่งสามารถแก้ไขได้ว่าเราสรุปความได้ถูกต้องหรือเปล่า เช่น
อีกฝ่ายหนึ่ง “คุณย้ายโต๊ะนี้ได้อย่างไรโดยไม่บอกกล่าวล่วงหน้า”
เรา “ผมได้ยินว่า ผมย้ายโต๊ะได้อย่างไร โดยไม่บอกคุณล่วงหน้า” ฯลฯ ไปตลอดการสนทนา
วิธีนี้ได้ผลเกือบจะทุกกรณี ทั้งนี้เพราะประการแรก อีกฝ่ายหนึ่งรู้สึกว่าคุณได้ฟังเขาหรือเธอเป็นอย่างดี โดยรับรู้ทุกถ้อย กระทงความก็เมื่อถึงเวลาที่คุณจะพูด เขาหรือเธอก็มีแนวโน้มที่จะรับฟังคุณเป็นอย่างดีเช่นกัน
ประการที่สอง ผู้พูดมีโอกาสได้รับฟังสิ่งที่ตนพูดโดยขบวนการฟังอย่างกระจกเงานั้น ทำให้เขาหรือเธอมีโอกาสตั้งสติ และรับรู้ว่าตนเองกำลังพูดอะไร ขบวนการเช่นนี้จะมีผลต่อการลดความรุนแรงของอารมณ์ของอีกฝ่ายได้มาก
ประการที่สาม ฝ่ายผู้ฟังก็จะได้ฟังจริงๆ ไม่ใช่ฟังอย่างด่วนสรุป ฟังอย่างรวบรัด และฟังอย่างสรุปใจความ เอาเองอย่างที่ผู้ฟังต้องการจะสรุปแบบลากความเข้าข้างตัวเอง ที่ยิ่งจะทำให้ปัญหาการสื่อสารยิ่งย่ำแย่ลงไปอีก
ประการที่สี่ การฟังอย่างนี้ที่ช่วยให้ทั้งสองฝ่ายเริ่มตั้งสติได้นั้น คุณภาพการฟังก็จะยิ่งลุ่มลึกยิ่งขึ้น ละเอียดอ่อนยิ่งขึ้น ทำให้มองก้าวไปถึงบริบท หรือ สภาพแวดล้อม ความเป็นไปของอีกฝ่ายหนึ่ง ข้อจำกัด หรือสถานการณ์ อันบีบคั้น ของอีกฝ่ายหนึ่ง ก็จะปรากฎขึ้นในการรับรู้ นอกจากนี้หากฝึกฝนตนเองอย่างแยบคายขึ้นเสมอๆ ก็จะปรับคลื่น อันละเอียดอ่อน กว่าคำพูดและภาษาท่าทางนั้นๆ อันนี้จึงนับเป็น สุดยอดของการฟัง คือ อาจจะทำให้ล่วงรู้ ถึงความปรารถนาและความคับข้องใจของอีกฝ่ายหนึ่ง
ในโลกที่เราให้คุณค่ากับหน้าตาและภาพลักษณ์ภายนอกมากกว่าคุณค่าด้านในนั้น เรามักจะหยิบฉวยเอาแต่ผิวๆ ของความเป็นจริง เรามักจะหยิบฉวยเอา แต่ความหมายของถ้อยคำอย่างแบนๆ โดยรวบเข้าไปใน ความจำได้ หมายรู้ในอดีตของเรา อันเป็นความทรงจำที่ตายซากขาดชีวิตชีวา เป็นอาการลงร่อง เป็นเครื่องจักร อันปราศจากวิญญาณ และเราก็ไม่ได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ความหมายใหม่ๆ แง่มุมใหม่ของถ้อยคำ ยังไม่รวมถึง การประกอบถ้อยคำ อย่างมี ความเป็น วรรณศิลป์ อันอาจก่อเกิดจินตนาการที่ทะลุทะลวงกำแพงที่ขวางกั้นความเข้าใจทั้งหลาย โดยยังไม่ได้พูดถึง คลื่นหัวใจที่อาจเชื่อมโยงกัน ได้อย่างง่ายๆ ในชั่วขณะที่ใจเปิดให้กันและกัน ตรงนั้นเองที่เราจะทราบถึง ความปรารถนา และความคับข้องใจที่เป็นกุญแจไปสู่ความเข้าใจส่วนในสุด
การฟังอย่างเป็นกระจกเงานี้ ไม่ได้มีไว้ใช้เฉพาะกรณีคนห่างตัวเท่านั้น แม้แต่ในความสัมพันธ์ของคู่รัก และ เพื่อสนิท ที่มีปัญหาความขัดแย้งหรือความร้าวฉาน ตลอดจนแม้กรณีที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ที่เริ่มจะห่างเหินด้วยเรื่องจุกจิกเล็กๆ น้อยๆ ให้กระชับมั่นยิ่งขึ้น การฟังอย่างเป็นกระจกเงานี้ก็จะช่วยได้มาก
การบริโภคนิยมกับการสนทนา
การไถ่ถอนจากอำนาจของบริโภคนิยมมิใช่ทำกันได้ง่ายๆ แม้ว่าเราจะเข้าใจโดยพุทธิปัญญา ถึงคุณและโทษ ของการดำรง ชีวิต อยู่ในวิถี แห่งการบริโภค แต่เราก็ไม่สามารถละเลิกการบริโภคต่างๆ นั้น และไม่สามารถสร้างสรรค์ชีวิต อันปลอดพ้น จากการบริโภคมาได้ อันที่จริงบริโภคนิยม เป็นอาการเสพติด ชนิดหนึ่ง ที่เป็นแบบทั้งชีวิต ในทุกแง่มุมของชีวิต เพราะฉะนั้น อีกก้าวหนึ่ง ของการนำไปสู่ การเสพติดยาของเยาวชนที่อยู่ในโลกของบริโภคนิยมอย่างเต็มตัว จึงเป็นไปได้โดยง่ายดาย
นักคิดที่เข้าใจเบื้องลึกเบื้องตื้นของปรากฎการณ์เช่นนี้เป็นอย่างดีคือไอวาน อิลลิช ที่เขาได้เห็นถึงการถอดถอนอำนาจ ของปัจเจกบุคคลที่จะดำรงชีวิต อย่างผู้กระทำการ และหาญกล้าให้การศึกษาตนเอง เรียนรู้ทำความเข้าใจสิ่งต่างๆ ด้วยตนเอง เขาพูดถึงระบบผู้เชี่ยวชาญ ที่ผู้เชี่ยวชาญได้คิด ตัดสินใจ ออกแบบสังคม และความเป็นไปในชีวิตผู้คน เขาพูดถึงการที่สังคม ได้มอบอำนาจหรือถูกฉกฉวยอำนาจไปให้กับระบบโรงเรียน ในที่นี้ไม่ได้หมายเฉพาะถึง โรงเรียน ที่เยาวชนเข้าไปรับการศึกษาเท่านั้น หากหมายถึงระบบโรงเรียนในทุกแง่มุม ของชีวิตมนุษย์ที่สามัญชน ถูกริดรอน อำนาจในการคิด ตัดสินใจและออกแบบชีวิต หากเขาจะต้องทำตามสิ่งที่ผู้เชี่ยวชาญในด้านต่างๆ เห็นว่าดีงาม ปริมณฑลของชีวิต ด้านต่างๆ ก็มีเช่น เศรษฐกิจ สาธารณสุข พาณิชยกรรม การศึกษา การพักผ่อน การบันเทิง สื่อสารมวลชนและอื่นๆ อีกไม่รู้จบ
แต่ลักษณะร่วมกันที่เกิดขึ้นในทุกๆ ปริมณฑลของชีวิตก็คือ มนุษย์เปลี่ยนสภาพจากผู้คิด ตัดสินใจ ออกแบบและกระทำการ มาเป็นผู้เสพอย่างเฉื่อยชา อิลลิชได้ยกตัวอย่างเรื่องของดนตรี ที่เดิมในหมู่บ้านที่สืบทอดกันมาเป็นประเพณีทั่วไป ทั้งในโลกตะวันตกและโลกตะวันออก การมีวงดนตรีสองสามวงในหมู่บ้านหนึ่งๆ นั้นเป็นเรื่องปกติธรรมดา การใช้ดนตรี และเพลง โดยชาวบ้านเล่น และร้องกันเองในกิจกรรมต่างๆ เป็นเรื่องปกติธรรมดาของชีวิต และเมื่อมีวิทยุมี เทปเพลง เข้ามา สิ่งเหล่านี้ก็หายไปทีละเล็กทีละน้อย จนสูญสิ้นไป เมื่อมนุษย์ไม่ได้กระทำก็ไม่เกิดขึ้น การประดิษฐ์คิดค้น พลิกแพลง ก็ไม่เกิดขึ้น เรื่องอื่นๆ ในปริมณฑลอื่นๆ ก็เกิดขึ้นมาในทำนองเดียวกัน
เรี่องของการสนทนาก็เกิดขึ้นในทำนองเดียวกัน ดังเพื่อนของคนหนึ่งคือ แกรนด์ โอลสัน ผู้ได้เคยมาเป็น พีซคอในเมืองไทยเมื่อประมาณสิบปีมาแล้ว ณ เมืองสุพรรณบุรี ก็สามารถเป็นหนึ่งในประจักษ์พยานกับสิ่งที่เกิดขึ้น
เมื่อเขามาอยู่ในฐานะของอาสาสมัครสันติภาพที่เมืองสุพรรณบุรีนั้น บ้านพ่อแม่คนไทยที่เขามาอยู่ด้วยเป็นชานเมือง ที่ไฟฟ้ายังเข้าไม่ถึง ไม่มีโทรทัศน์ เมื่อทานข้าวเย็นเสร็จ สมาชิกในครอบครัวขยายนั้น ก็นั่งล้อมวงพูดคุยกันด้วย ตะเกียงน้ำมันก๊าซ และในวงสนทนานี้เองที่ทำให้เขารู้จักสังคมไทย ความโอบอ้อมอารี ความอุดหนุนเกื้อกูลกัน ในสภาพสังคมชนบท และมิติของพุทธธรรมที่กลมกลืนลงสู่วิถีปฎิบัติในชีวิตประจำวัน สิ่งนี้ในสังคม สหรัฐอเมริกา หมดไปแล้ว การสนทนาที่แท้จะหากได้ยาก ต้องดั้นด้นหาเพื่อนที่อาจจะคุยกันได้อย่างถูกใจ แต่ไม่ได้มีอยู่เป็น ส่วนหนึ่ง ของชีวิตประจำวัน เมื่อแกรนต์กลับมาเยี่ยมเมืองไทยต่อมาเป็นลำดับ สองสามปีครั้ง เขาก็ได้เห็นความเปลี่ยนแปลง เช่นเดียวกับที่เป็นไปในสังคมอเมริกา โทรทัศน์ได้เข้ามาจับจองใจกลางบ้าน และการสนทนาอย่างเดิม ก็หายไปจาก ครอบครัว ทุกคนก็เริ่มยุ่งยากกับกิจการต่างๆ จนแทนไม่มีเวลาให้กับการสนทนาที่แท้อีกต่อไป
เมื่อมองในแง่มุมมอง ภาษาและวัฒนธรรม ตลอดจนภูมิปัญญา การสนทนาจะเป็นเวทีที่ก่อเกิด เมื่อเวทีการสนทนา หายสูญไป หรือกระพร่องกระแพร่ง ประชาชนคนสามัญก็ขาดการเข้าร่วมในการก่อเกิดแปรเปลี่ยนและวิวัฒนาภาษา วัฒนธรรม ภูมิปัญญาอีกต่อไป หากกลายเป็นผู้กระทำอย่างสิ้นเชิง จึงเป็นเหยื่อที่ถูกกระตุ้นได้ง่ายจากสื่อโฆษณา และความคิดก็ถูกครอบงำด้วยบรรษัทข้ามชาติ อันผูกติดอยู่กับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ ซึ่งยังมีมิติ อยู่ในกรอบของ กระบวนทัศน์เก่า อันเป็นมุมมองซึ่งขัดแย้งกับหลักการพื้นฐานของชีวิต และวิวัฒนาการของชีวิตโดยสิ้นเชิง
ถ้าพูดแบบภาษาของพวกโพสต์โมเดิน ก็หมายการถูกแย่งชิงวาทกรรม เมื่อปราศจากวาทกรรม ประชาชนสามัญ ก็ยากไร้โดย สิ้นเชิง ในอำนาจของการปรับเปลี่ยนตนเองและสังคม
ดังนั้น เราจึงต้องสร้างช่องว่างให้กับพื้นที่ที่เสียในทศวรรษที่ผ่านมา อัตเน่ รีดเดอร์ นิตยสารทางเลือกเล่มหนึ่ง ในสหรัฐอเมริกาได้พูดถึง “การปฏิวัติในห้องนั่งเล่น” ดังปาจารยสารฉบับหัวกะทิที่ผมเป็นบรรณาธิการอยู่ในเวลานั้น ก็เอาความคิดนี้มาเล่นต่อ สาระสำคัญก็คือ เราควรจะลดความสำคัญของโทรทัศน์ลงไป โดยการจำกัดเวลาดู ย้ายที่ออก ไปจากใจกลางบ้าน คืนห้องนั่งเล่น ให้กับการสนทนาและนอกจากจะสนทนากับสมาชิกในบ้านแล้ว ก็เชิญเพื่อนๆ เข้ามาสนทนาด้วย จัดกรอบโครงของเวลาใหม่ ให้มีเวลาสนทนายาวนานกว่าสามชั่วโมงขึ้นไป เวลาอุดมคติของโบห์มคือ ๕-๖ ชั่วโมง ผมนึกถึงกลุ่มปัญญาชนอังกฤษอย่างบรูมเบอรี่ที่มีเวอร์จิเนีย วูลฟ์ ยอช เบอนาด ชอร์ เป็นต้น พวกเขาอยู่ด้าน กันทั้งบ่าย จนจรดดึกดื่น อยู่ด้วยกัน พูดคุยเดินเล่น ฯลฯ การก่อเกิด ภาษา วัฒนธรรม และภูมิปัญญาจึงจะเป็นไปได้
ปาจารยสารหัวกะทิอีกฉบับหนึ่ง คณะบรรณาธิการตัดสินใจร่วมกันจั่วหัวว่า “ความสุขไม่ต้องซื้อหา” เรามักพากันหลงลืมไป และพากันไปยึดติดสื่อกันงอมแงม เพราะที่จริงแล้วสื่อก็รายงานเรื่องราวของมนุษย์นั้นเอง และเรื่องราวของมนุษย์อาจนำมาบอกเล่ากันโดยตรงโดยไม่ต้องผ่านสื่อแต่อย่างใด โดยเรื่องในทำนองเดียวกันนี้ ผมคิดเรื่องที่หันเหมุมมองเรื่องหนึ่งโดยตั้งคำถามทักทายว่า แทนที่เราจะเขียนนิยายขึ้นมาจากเรื่องราวของผู้คน ทำไมเราจึงจะไม่คิดว่า แท้ที่จริงแล้ว ชีวิตของเราเองก็คือนิยายที่ยิ่งใหญ่ และการดำรงชีวิตของเราอย่างเต็มเปี่ยม ก็คือการขีดเขียนนิยายดีๆ ออกมาเล่มหนึ่งโดยไม่ต้องขีดเขียนบันทึกอย่างไรเล่า
ในมุมมองของวิญญาณวาท เราไปติดอยู่ในโลกของตัวแทนและภาพลักษณ์ แต่เราไม่ได้สัมผัสความจริงคือตถาตา ไม่ว่าด้วยการเห็น การฟัง ได้กลิ่น ชิมรส สัมผัส แต่เราอยู่กับภาพลักษณ์ของประสบการณ์ทางอายตนะเหล่านี้ ผ่านสื่อต่างๆ เราอยู่กับร่องเดิมของแผ่นเสียงที่ตกร่อง ด้วยเหตุนี้เราจึงหิวโหย แต่สิ่งที่เราบริโภคเป็นเพียงภาพลักษณ์ของความเป็นจริง ซึ่งไม่สามารถให้ความอิ่มเอมอันใดได้ เราจึงกระหายหิวและต้องบริโภคอย่างไม่รู้จักจบสิ้น แต่ไม่สามารถ ดับความ กระหายหิว ได้ ภาพที่แสดงให้เห็นอาการดังกล่าวได้ชัดเจนคือเปรต ที่มีปากเท่ารูเข็มและมีท้องใหญ่โตมโหฬาร
อีกประการหนึ่งที่สำคัญที่เป็นไวยากรณ์หลักของชีวิตนั้นก็คือ “ชีวิตคือการเรียนรู้” และเนื่องด้วยว่า ชีวิตนั้นมีธรรมชาติ เป็นเครือข่าย เมื่อเป็นเช่นนี้ ชีวิตก็คือ “เครือข่ายแห่งการเรียนรู้” การเรียนรู้จะเกิดขึ้นได้ เริ่มจากการตั้งสมมติฐาน แล้วจึงลงมือปฏิบัติตามสมมติฐานนั้น และนำผลกลับมาพูดคุย กลั่นกรองประสบการณ์และหาความหมายกันในเครือข่าย ซึ่งมีการสนทนาเป็นกุญแจดอกสำคัญ
การสนทนาเชิงวิวัฒน์ในกระบวนทัศน์ใหม่
การสื่อสาร
โลกมนุษย์ได้ก้าวหน้าไปมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งอุปกรณ์สื่อสารต่างๆ ดังเราคิดว่า โลกาภิวัตน์ ได้รวมโลกเข้าเป็น หนึ่งเดียวไปแล้ว แต่มนุษย์ก็ยังมีปัญหาการสื่อสาร คนที่มีความคิด อุดมการณ์ ความเชื่อ ศาสนา วัฒนธรรม และอื่นๆ ที่แตกต่างกัน ยังคุยกันไม่รู้เรื่อง ในประเทศที่เจริญมากๆ ทางเทคโนโลยี ความขัดแย้งและความรุนแรง ในความสัมพันธ ์ส่วนบุคคล กับไม่ลดลง ปัญหาการหย่าร้างเป็นปัญหาใหญ่ในสังคมตะวันตก ความสัมพันธ์ใกล้ชิด กลายเป็น ศิลปศาสตร์ ที่ขาดหายไปในโลกที่มีเทคโนโลยีการสื่อสารพัฒนาถึงขีดสุด
ปัญหาอย่างหนึ่งทึ่อยากจะตั้งข้อสังเกตไว้ให้ใคร่ครวญดูก็คือ เป็นไปได้ไหมว่าเราเข้าใจพื้นฐานของการสื่อสารผิดไป หรือคลาดเคลื่อนไป เทคโนโลยีที่เติบโตขึ้นมาก็ไปรับใช้วิถีแห่งการสื่อสารผิดๆ นั้น ไม่ทำให้มนุษย์เข้าใจกัน ได้มากขึ้น ไปกว่าเดิม เทคโนโลยีที่สูงล้ำก็เลยไม่ได้มีส่วนช่วยลดทอนความขัดแย้งและความรุนแรง
คิดว่าความคิดหลักของการสื่อสารของโลกยุคโลกาภิวัตน์ก็คือ หนึ่งเราควรมีภาษาและวัฒนธรรมหนึ่งเดียว ที่คนจะเข้าใจกัน เหมือนกันไปหมดทั่วโลก และสองข้อมูลคือความรู้ ยิ่งข้อมูลเผยแพร่ออกไปทาง อินเตอร์เนต ให้รับรู้กันได้มากๆ คนก็จะมีความรู้มากยิ่งขึ้น คนมีความรู้มากยิ่งขึ้นโลกก็จะมีความสงบสันติยิ่งขึ้น อันนี้ก็อยากลอง ให้ใคร่ครวญดูว่า เป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ? หรือมันควรจะเป็นเช่นไรกันแน่?
อีกความคิดหนึ่งของผมเอง ที่เกิดจากประสบการณ์ในชีวิตและการอ่าน ก็ขอตั้งข้อสังเกตว่าโลกในทุกวันนี้ เรากำลังออกห่าง ไปจากการสนทนาทั้งในบ้าน โรงเรียนและที่ทำงาน การพูดคุยกันเป็นไปตามบทบาทที่ตายตัว แต่ไม่ได้มีการพูดคุยกัน ในฐานะของความเป็นมนุษย์ ที่จะแบ่งปันเรียนรู้ร่วมกัน ในบ้านเราพากันนั่งอยู่หน้าโทรทัศน์ โลกแห่งการงาน ก็ทำให้เราเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว เราก็กลายเป็นผู้รับการบันเทิงจากโทรทัศน์ อย่างเป็นผู้ถูกกระทำเท่านั้น บางบ้าน แม้เวลา กินข้าวก็นั่งดูโทรทัศน์กันไปด้วย การพูดคุยกันที่เคยมีในสังคมแบบเดิมจึงขาดหายไป ความสัมพันธ์ระหว่าง ครูกับศิษย์ในโรงเรียนกระแสหลักส่วนมาก ครูก็จะมีบทบาทตายตัวคือผู้สอน คือผู้ถ่ายทอดข้อมูล ที่เราเข้าใจกันว่า เป็นความรู้ การพูดคุยกันจริงๆ ระหว่างครูกับศิษย์ในฐานะของมนุษย์ด้วยกันจึงไม่เกิด หากจะมีบ้างก็คงเป็น ข้อยกเว้นของครูบางคน ที่เข้าใจและพยายามทำตัวแหวกระบบออกมา ที่ทำงานก็เช่นกัน การพูดคุยดำเนินไปใน บรรยากาศของโครงสร้างอำนาจที่ชัดเจนว่าใครเป็นคนตัดสินใจ ใครเป็นคนอนุญาตให้ใครพูดได้ และจะพูดได้เมื่อไร บทบาทตามโครงสร้างอำนาจก็ชัดเจนจนไม่เหลือที่ไว้ให้กับการพูดคุยระหว่างมนุษย์ด้วยกัน
วิถีชีวิตแบบบริโภคนิยม ก็ทำให้โอกาสที่จะเกิดการสนทนาอย่างแท้จริงเกิดขึ้นได้ยากยิ่งขึ้น เพราะมนุษย์คุ้นเคย กับการเสพ การบริโภคในฐานะของผู้รับ ไม่ใช่ในฐานะของผู้กระทำ การเรียนก็กลายเป็นการเสพข้อมูลความรู้ การทำงาน ก็มีมิติของการกระทำอยู่ในกรอบที่คับแคบ หากไม่ใช่งานที่ซ้ำซากจำเจ ก็เป็นงานที่ไม่อาจมีอำนาจตัดสินใจอะไรได้ งานที่สร้างสรรค์และกระทำการจึงเป็นงานของคนส่วนน้อย ที่อยู่สูงขึ้นไป บนยอดปิรามิด เมื่อเป็นเช่นนี้ วัฒนธรรม การบริโภค ก็มีส่วนเสริมให้ความสยบยอมต่อสภาพสังคมที่เป็นอยู่เป็นไปได้ง่ายดายยิ่งขึ้น พร้อมกับโอกาศ ของการสนทนา หายไปด้วยการเบียดบังของการพักผ่อน และการบันเทิงแบบเสพ ที่ผู้รับไม่ได้กระทำการ หรือคิดอ่านเรียนรู้ขวนขวาย หาความหมายอันใด
เมื่อเป็นเช่นนี้ เราจะหาทางออกจากวังวนของปัญหานี้ได้อย่างไร?
การสนทนาแบบเดวิด โบห์ม
เดวิด โบห์ม บอกว่ากรณีที่คนสองคนพูดคุยกันเมื่อนาย ก.พูด นาย ข.ฟัง แล้วนาย ข.ก็จะพูดกลับมาเป็น ปฏิกิริยา หรือ การตอบสิ่งที่นาย ก.พูด เมื่อนาย ก. ฟังนาย ก. ก็จะรู้ว่า สิ่งที่นาย ข. ฟังตนนั้นไม่ได้เข้าใจตรงกันเสียทีเดียว มีความ ใกล้เคียง แต่ก็แตกต่าง แล้วนาย ก. ก็ตอบโต้กลับไปอีก นาย ข. ก็เห็นอะไรคล้ายกับที่นาย ก. เห็น คือเห็นความคิด ความเข้าใจของตนเอง และเห็นความคิดของนาย ก. ที่แตกต่างออกไป เนื้อที่ที่ผิดแผกแตกต่างออกไปนั้น ทำให้เกิด การสร้างสรรค์ขึ้นในการสนทนาคือทำให้เกิดความคิดใหม่ขึ้น
แต่การสนทนาที่จะให้เกิดสิ่งใหม่ได้นั้น ผู้สนทนาจะต้องฟังซึ่งกันและกัน อย่างปราศจากอคติ และไม่พยายาม จะมีอิทธิพล เหนือกันและกันด้วย แต่ละฝ่ายจะต้องให้ความสำคัญกับสัจจะและความบรรสานสอดคล้องเป็นอย่างแรก เหนือสิ่งอื่นใด ทั้งสิ้น โดยพร้อมจะทิ้งความคิดเก่าและความตั้งใจเก่า โดยพร้อมจะไปยังอะไรที่แตกต่างออกไป แต่ถ้าหากทั้งสอง ต่างก็ ต้องการสื่อความคิดหรือมุมมองของตนเท่านั้น การสนทนาแบบโบห์มก็เกิดขึ้นไม่ได้ เพราะแต่ละคน จะฟังคนอื่น ผ่านม่านความคิดของตนเอง ที่มักจะพยายามคงรักษาความคิดของตนเอาไว้ โดยพยายามจะปกป้องความคิดของตนด้วย ทั้งนี้ไม่ว่าความคิดของพวกเขาจะบรรสานสอดคล้องกันภายในระบบคิดของพวกเขาหรือไม่ก็ตาม
ที่จริงการสนทนาแบบโบห์มนั้น มีความจำเป็นสำคัญ กิจกรรมหลายๆ ด้านของชีวิต ถ้าผู้คนจะต้องร่วมมือกัน พวกเขาจะ ต้องสามารถสร้างอะไรร่วมกัน ขึ้นมาได้ โดยผ่านการพูดคุยและการกระทำร่วมกัน มากกว่าจะเป็นการส่งผ่านความคิดข้อมูล ที่คนสื่อสารมีอำนาจเหนือผู้อื่นและผู้อื่น เป็นผู้รับอย่างเป็น ผู้ถูกกระทำโดยไม่มีส่วนร่วมคิดด้วยแต่อย่างใด
ศิลปินก็เหมือนกัน ศิลปินไม่ได้คิดครั้งเดียวแล้วก็สำแดงความคิดออกมากับวัสดุอุปกรณ์ที่ตนเองใช้ แต่ศิลปินจะพูดคุย เหมือนกัน คือพูดคุยกับวัสดุที่เขาใช้ ตลอดจนกับผลงานที่เสร็จแต่ละชิ้น ผลที่ออกมาไม่ตรงกับความคิดเดิมทีเดียวนัก คือความแตกต่างให้เกิดความคิดใหม่ เป็นขบวนการสร้างสรรค์ที่เกิดขึ้น ตลอดเวลาในการทำงาน
นักวิทยาศาสตร์ก็พูดคุยกับธรรมชาติในทำนองเดียวกันนี้ เมื่อนักวิทยาศาสตร์มีความคิด ก็นำไปทดสอบกับการสังเกต และเมื่อพบว่า (จะเกิดขึ้นอย่างเป็นปกติธรรมดา) สิ่งที่ได้สังเกตจะเพียงละม้ายคล้ายคลึงกับความคิดที่เขามีอยู่ในใจเท่านั้น และไม่เหมือนกันเลยทีเดียว ดังนั้นความคิดใคร่ครวญในความละม้ายคล้ายคลึงและความแตกต่าง เขาก็จะได้ความคิดใหม่ และก็เอาความคิดใหม่ไปเป็นตัวตั้งในการสังเกตการณ์อีก ก็จะมีการโผล่ปรากฏของสิ่งใหม่เสมอ อันนี้ก็มีการนำไปใช้ในวิถีชีวิตในทางปฏิบัติ ซึ่งก็ได้ก่อให้เกิดโครงสร้างใหม่ๆ ทางความคิด ความรู้ของมนุษย์
ทีนี้ต่อเรื่องนี้ จะมีความละเอียดอ่อนซับซ้อนอยู่ประการหนึ่ง คือในการพูดคุยกันนั้น คนหนึ่งมักจะคิดว่า ตนได้ฟังคนอื่น อย่างดีแล้วโดยปราศจากอคติใดๆ แต่คนอื่นกลับไม่ฟังตนเพราะมีอคติอยู่ ทั้งนี้จึงเป็น การง่ายที่เรา แต่ละคนจะเห็นว่า คนอื่น “ถูกขัด” อยู่ด้วยอะไรบางอย่าง โดยไม่รู้ตัว พวกเขาพยายามหลีกเลี่ยง การเผชิญหน้ากับความขัดแย้ง ในความคิดของ ตนเอง ในเรื่องที่พวกเขามักจะให้ค่าอย่างสูง
ธรรมชาติของอาการ “ถูกขัด” นั้น เป็นอะไรที่ไร้ความละเอียดอ่อนหรือ “มึนงงไม่รู้สึกตัว” (เป็นอาการของยาชา ยาสลบ) ทำให้ไม่รับรู้ในความขัดแย้งใน ตัวเองของตน เพราะฉะนั้นสิ่งที่สำคัญก็คือทำอย่างไรเราจะรู้ตัวถึงอาการที่ “ติดขัด” เหล่านี้ ถ้าหากผู้นั้นตื่นตัวและใส่ใจ ก็อาจจะมองเห็นว่า เมื่อมีการยกประเด็นคำถามบางประการ ก็จะมีความรู้สึกกลัว ที่ผลักไสเขา ออกไปจากการพิจารณาปัญหาอันนั้น และจะมีแรงดึงดูดบางประการที่จะหันเห เขาไปสู่ประเด็นปัญหาอื่นๆ ที่ทำให้เขามี ความสุขสนุกสนาน ดังนั้นคนเราก็จะหนีออกไปจากสิ่งที่รบกวน จิตใจของเรา อยู่เรื่อยไป ผลที่เกิดขึ้นก็คือ เขาพยายาม ปกป้องความคิดของเขาเองอย่างแยบคาย ในขณะที่เขาควรจะได้รับฟังคนอื่นพูดอย่างจริงจัง
เมื่อเรามาสนทนากัน เราควรตื่นตัวกับความกลัวที่แยบยล และการดึงดูดที่จะทำให้เราเขวไปเรื่องอื่นที่ได้ “ขัด” เราจากความสามารถ ที่จะรับฟังได้อย่าง อิสระ แต่ถ้าแต่ละคน สามารถใส่ใจได้เต็มเปี่ยมกับ “สิ่งที่ขัด” เราในการสนทนา ในขณะเดียวกันที่สามารถรับฟังเนื้อหาของการสนทนาไปได้ด้วย เมื่อนั้น เราจะสามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ระหว่างพวกเรา บางสิ่งบางอย่างที่มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดที่จะช่วยยุติปัญหาในปัจจุบัน อันแก้ไขไม่ได้ทั้งที่เป็น ของปัจเจกบุคคลและสังคม
การสนทนากับสมมติฐาน
คำว่า Dialogue ซึ่งเป็นคำที่โบห์มนำมาใช้นั้นมาจากภาษากรีกว่า dialogos ที่ logos แปลว่า “ถ้อยคำ” และ dia แปลว่าผ่าน ไม่ใช่แปลว่า “สอง” หมายถึงถ้อยคำหรือความหมายที่ไหลผ่านกลุ่มคนเป็นสายธารแห่งความหมาย ที่ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ ไม่ใช่ discussion ที่แปลว่าแยกสิ่งต่างๆ ออกมา discussion ก็มักจะเป็นการโต้แย้ง เอาชนะคะคานกันมากกว่า หมอประสาน ต่างใจ เคยตีความคำว่า dia เท่ากับ “ผ่า” หรือ “ฝ่า” ถ้อยคำ ไปให้พ้นข้อจำกัด ของถ้อยคำ อันนี้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการจะลงลึกกันขนาดไหน
หนังสือเรื่องวิญญาณวาทที่อาจารย์สุลักษณ์แปลมาจากหนังสือของท่านนัท ฮัน ซึ่งเวลานี้เป็น พระอาจารย์เซ็น ที่สามารถใช้ ภาษาอย่างกวี สื่อสารกับคนทั่วโลกได้มากที่สุด วิญญาณวาทพูดถึงการรับรู้สามแบบ แบบที่หนึ่งคือการับรู้แบบตัวแทน ดังเช่นตั้งชื่ออะไรขึ้นมา เช่นต้นไม้ ก้อนเมฆ สัตว์ พืช เป็นต้น แบบที่สองคือภาพลักษณ์ ก็คืออะไรที่อธิบาย คุณลักษณะ ของตัวแทนนั้นๆ การรับรู้ทั้งสองแบบแรกเป็นความรู้ แต่ก็เป็นความรู้อย่างมีข้อจำกัด ประการแรก ก็ติดข่ายอยู่ใน ทัศนะแห่งอัตตา คือมีเรากำหนดว่าโต๊ะเป็นโต๊ะนั้น เราได้กำหนดไป อย่างอัตโนมัติด้วยว่า สิ่งอื่นๆ นอกจากนี้ไม่ใช่โต๊ะ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริง สิ่งที่เป็นโต๊ะกับสิ่งที่ไม่ใช่ก็โยงใยกันและสอดแทรกในกันและกัน ซึ่งทัศนะอย่างหลัง จึงเป็น การรับรู้แบบที่สาม คือการรับรู้อย่างเป็นเช่นนั้นเอง ที่เรียกว่าตถตา ประการที่สอง ภาพลักษณ์ก็เป็นส่วนขยาย ของอัตตา อธิบายคุณลักษณะของอัตตาในด้านต่างๆ ที่เป็นความเป็นจริงอย่างเสี้ยวส่วนที่หยิบฉวยขึ้นมา ทึกทักขึ้นมาว่า เป็นคุณลักษณะ ของสิ่งนั้นๆ เมื่อความเปลี่ยนแปลงเคลื่อนตัวเข้ามาตามกาลเวลา คุณลักษณะนั้นๆ ก็แปรเปลี่ยนไปด้วย มิอาจจะตั้งมั่นอยู่ได้
การจะเข้าถึงตถตาในสรรพสิ่งได้นั้น เราต้องเอาสติเข้ามากำกับการรับรู้ต่างๆ ในชีวิตประจำวัน โดยตัวอย่างของ การเอาสติ เข้ากำกับการมอง การฟัง เป็นต้น โดยมองให้ลึกซึ้ง ฟังอย่างลึกซึ้ง แทนที่จะไปยึดติด ที่ความจริง ระดับตัวแทนและภาพลักษณ์
โบห์มให้เราตระหนักว่า ความคิดของเราที่เรามักจะคิดว่าเป็นสัจจะนั้น แท้ที่จริงแล้วเป็นแค่สมมติฐานเท่านั้น นอกจากนี้ เราจึงไปยึด ความคิดขึ้นมา เป็นของเรา เป็นตัวเรา คือเป็นตัวกูของกู ที่ท่านพุทธทาสพูดถึงนั้นเอง เราจึงเห็นว่า คนอื่นเห็นผิดมองผิด การเปิดใจเรียนรู้จึงไม่อาจเกิดขึ้นได้
โบห์มบอกว่าภาษาและวัฒนธรรมนั้นเข้ามามีส่วนกำหนดความคิดอ่านของเรามากกว่า ๙๐% เราไม่ได้มี ความคิดอ่าน เป็นของตนเองสักเท่าใด แต่กำหนดโดยสังคมที่กำเกิดภาษาและวัฒนธรรมมาใช้ร่วมกัน เรามักจะคิดว่า สิ่งที่มากับ ภาษาและวัฒนธรรมนั้นเป็นสัจธรรม อันมั่นคงถาวรไม่มีอะไรจะมาหักล้างได้ ถ้าหากคิดเช่นนี้ การสนทนาแบบของโบห์ม ก็เกิดขึ้นไม่ได้
โบห์มบอกว่าในขณะที่เราสนทนานั้น เราควรรู้ว่า ทุกความคิดเป็นเพียงสมมติฐาน ไม่มีอะไรเป็นสัจจะอันสมบูรณ์แบบ เมื่อเป็นเช่นนี้ ใจจึงเปิดออก ให้สายธารแห่งความหมายไหลเวียนไปได้ อันอาจเกิดการเรียนรู้ร่วมกัน ในระหว่าง การสนทนา ถ้าโยงวิญญาณวาท ของมหายานมาผสมผสานกับ dialogue ของเดวิด โบห์ม เราจะเป็นว่า การรับรู้ในระดับตัวแทน และภาพลักษณ์นั้นก็คือ การไปยึดติด กับสมมติฐาน มาเหมาเอาว่าเป็นสัจธรรม ถ้ามองให้ทะลุลงไปถึงตถตาคือความเป็นเช่นนั้นเอง เราก็จะรู้เท่าทันว่าสมมติฐานก็คือสมมติฐาน หากความเป็นจริง จะอยู่ลึกลงไปกว่าสมมติฐานที่ปรากฏ การสนทนาแบบโบห์มจึงเปิดโอกาสให้เรามองเห็น ความเป็นจริงมากขึ้น โดยเปิดโอกาสให้เราสัมผัสกับตถาตามากยิ่งขึ้น
องค์ประกอบสำคัญของการสนทนาแบบโบห์ม
โบห์มว่าจำนวนคนต้องมากพอที่ให้เกิดพลวัตของการสนทนา คือควรจะมากกว่า ๒๐ อาจจะถึง ๔๐ เลย ๔๐ คนยังนั่งล้อมวง ได้ โดยวงยังไม่ใหญ่จนเกินไป ถ้ารู้สึกว่าใหญ่เกินก็ให้นั่งซ้อนกันเป็นสองวง ที่นั่งล้อมวงหันหน้าเข้าหากัน หมายถึง การที่ทุกๆ คนเท่าเทียมกัน จริงๆ แล้วการสนทนาแบบโบห์มไม่มีผู้ดำเนินการ ก็อาจจะมีผู้ดำเนินการได้บ้าง เพื่อที่จะไม่มีผู้ดำเนินการได้ในที่สุด
การสนทนาแบบโบห์มเป็นการแสวงหาความรู้ร่วมกันโดยไม่มีกำหนดวาระ ไม่มีหัวข้อเรื่อง แรกๆ ก็อาจจะพูดคุยกัน เรื่องว่า จะพูดคุยกันอย่างไร พูดคุยอะไร ทำไม แล้วการสนทนาก็จะดำเนินไปได้เอง เรื่องส่วนตัวจะพูดบ้างก็ได้ เอาเฉพาะในส่วน ที่มันจะโยงใย เข้ามาเกี่ยวร้อยกับความเป็นส่วนรวม โบห์มว่าการสนทนาแบบของเขา ไม่ได้เป็นการเยียวยาทางจิตวิทยา หรือการพัฒนาตัวเอง แบบกลุ่มเผชิญหน้า (encounter group) แต่ถ้าการพูดคุยและการเรียนรู้ จะไปมีผลเยียวยาก็สุดแล้วแต่
โบห์มพูดถึงคำสองคำบ่อยๆ ในการว่าด้วยการสนทนาของเขา คือคำว่า tacit และ coherence คำหลังหมายถึง ความบรรสานสอดคล้อง อาจารย์นิธิเคยแซวอาจารย์สุลักษณ์ว่าใช้คำว่าประสานสอดคล้องไม่ได้หรือ ผมเองก็ยังชอบ ที่จะใช้บรรสานสอดคล้องโดยอัตโนมัติ โบห์มยกตัวอย่างแสงเลเซอร์ แสงเลเซอร์ ก็คือ ภาวะของแสง ที่มีการเรียงตัว อย่างเป็นระเบียบ อย่างบรรสานสอดคล้อง เลเซอร์จึงมี พลังมหาศาล จะเอาไปใช้ทำอะไรได้มากมายด้วยพลังอันนี้ แสงทั่วไปปกติ ที่เราเห็นเป็นไปอย่างสะเปะสะปะ ไม่บรรสานสอดคล้อง อย่างแสงเลเซอร์ กลุ่มสนทนาของโบห์ม ก็มีเป้าหมายอันหนึ่งของการเข้าถึงการบรรสานสอดคล้องอันนี้ เพื่อพลังสร้างสรรค์สูงสุด เพื่อปัญญาอย่างดีที่สุด ที่มนุษย์จะก่อเกิดร่วมกันได้ โดยเขาได้พูดถึง collective thought หรือความคิดที่คิดร่วมกันของกลุ่มคนเอาไว้ แยกเป็นประเด็นต่างหากออกไปด้วย
tacit หมายถึงอะไรที่เกิดขึ้นด้วยอย่างไม่สามารถเห็นได้ชัด เวลาสนทนาโบห์มว่า มันไม่ใช่ทั้งถ้อยคำที่พูดคุยกัน และไม่ใช่ ภาษาท่าทาง แต่มันอยู่ลึกลงไปอีกชั้นหนึ่ง โบห์มพูดไว้ด้วยว่า tacit เป็นปริมณฑล ที่ลี้ลับเป็นตัวก่อเกิดของขบวนการคิด ด้วย
เมื่ออ่านวิญญาณวาทที่อรรถาธิบายโดยท่านติช นัท ฮัน ก็นึกว่าอาจจะพ้องพานกับเรื่อง tacit ของโบห์มนี้ก็เป็นได้
วิญญาณวาทแตกวิญญาณที่อาจจะแปลว่าตัวรู้ หรือ consciousness ออกไปอีกจากหกของฝ่ายสูตรยานคือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไปอีกสองคือมนัสและอาลัยวิญญาณ ส่วนใจธรรมดาในชั้นต้นคือ consciousness หรือสำนึกรู้ปกติ เขาใช้คำว่า มโนวิญญาณ ลึกลงไปอีกสองขั้นคือมนัสและอาลัยวิญญาณ อันนี้ลี้ลับหรือ tacit
ท่านนัท ฮัน ว่าเมื่อเราฉายแสงแห่งสติทาบกับมโนวิญญาณตลอด ไม่ว่าจะรับเรื่องจาก ตา หู จมูก ลิ้น กาย หรือรับเรื่องจาก ธรรมารมณ์ก็ตาม หากฝึกแสงแห่งสตินั้นให้เข้มข้นด้วยความบรรสานสอดคล้องขึ้นเรื่อยๆ เราก็จะส่งไปเห็น การทำงานของมนัสและ อาลัยวิญญาณ อันเป็นที่มาของขบวนการก่อเกิดความเป็นไป ทั้งหลายแห่งจิตทั้งมวล
โบห์มว่า เราไม่ได้สนใจเฉพาะว่าเราคิดอะไรเท่านั้น แต่เราให้ความสำคัญกับขบวนการก่อเกิดความคิดด้วย ซึ่งลี้ลับแยกแก่ การเข้าถึง แต่เมื่อการสนทนาได้สรรค์สร้างความบรรสานสอดคล้องแห่ง collective thought ไปถึงจุดหนึ่งแล้ว ขบวนการแห่งการคิด จะโผล่ปรากฏให้เราเห็นได้เอง
ระยะเวลาของการสนทนาแต่ละครั้งต้องยาวนานพอให้คลี่คลายออกไปสู่ผลได้ดังกล่าว อย่างน้อยก็ ๓-๔ ชั่วโมง แต่โบห์มจะพูดที่ ๕-๖ ชั่วโมงต่อครั้ง ความถี่ก็ได้ตั้งแต่ทุกสัปดาห์ ทุกปักษ์ ทุกเดือน สองเดือนครั้ง เวลาต่อเนื่อง ก็พูดกันที่หนึ่งปี หรือสองปี เมื่อบรรลุวัตถุประสงค์ ของการได้เรียนรู้ร่วมกันแล้วก็เลิกลากันไป คงจะไปเริ่มกลุ่มใหม่ๆ อีกอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
ธรรมชาติของความคิดที่เป็นสมบัติร่วม
โบห์มพูดถึงปัญหาต่างๆ ของโลกที่มีอยู่มากมาย นับวันก็แต่จะสลับซับซ้อนเพิ่มขึ้น และตัวปัญหา ก็เพิ่มทั้ง ปริมาณและ คุณภาพ บางทีมันอาจจะ ไม่ได้มีสาเหตุมาจากภายนอกก็ได้ บางทีมันอาจจะมีเค้าเงื่อนมาจาก เจ้าตัวความคิด ของมนุษย์เรานี้เอง
ดังเช่นเมื่อเกิดปัญหาหนึ่งขึ้นมา เราก็ไปคิดค้นวิธีแก้ไขอีกอย่างหนึ่งขึ้นมา วิธีใหม่นั้นนอกจากจะไม่ได้แก้ปัญหาเก่าแล้ว ยังสร้างปัญหาใหม่ ขึ้นมาอีก แล้วเราก็คิดหาวิธีแก้ปัญหาอย่างใหม่นั้นอีก ได้ปัญหาอย่างใหม่กว่าขึ้นมาอีก เป็นไปเช่นนี้ อย่างไม่รู้จบ หรือว่าที่จริงปัญหาที่แท้ ซ่อนเงื่อน อยู่ในขบวนความคิดนี้เอง
และก็น่าคิดว่าขบวนการคิดนี้เป็นปัจเจกสักเพียงใด เพราะตั้งแต่เกิดมา ที่มาของความคิดก็มาจากคนอื่นๆ ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นพ่อแม่ ครู หรือสังคม ความคิดของเราที่อาจจะคิดขึ้นมาบ้างก็เป็น ผลผลิตของความคิดร่วม ที่มีอยู่ใน ภาษาและวัฒนธรรม นั้นเอง ดังนั้นมันจึงเหมือนกับ อยู่ในมหาสมุทรแห่งความคิดที่เป็นของส่วนรวมของมนุษยชาติ และถ้าหากมันเป็นอย่างผิดทาง มันก็จะผิดทางกันไปหมด
มันเหมือนกับเชื้อไวรัส ยิ่งมีวิทยุ โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์มากยิ่งขึ้นเท่าไร เจ้าเชื้อไวรัสนี้ก็แพร่ไปได้กว้างไกลเพียงนั้น
เป็นไปได้ไหมว่าแหล่งที่มาของปัญหามันลึกซึ้งมาก อาจจะมีอะไรผิดพลาดที่ขบวนทั้งหมดของความคิด อันเป็นของส่วนรวม ที่เป็นของ พวกเราทั้งหมด โดยปกติแล้วความคิดส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นปัจเจก หากก่อเกิดในวัฒนธรรมทั้งมวล และ แผ่สยายปีกปกคลุมพวกเราอยู่ โครงสร้างอันลึกซึ้งของความคิด นี้แหละเป็น แหล่งที่มาและดำรงอยู่ตลอดเวลา ควบคู่กับ มนุษยชาติ
โบห์มมองไปว่า เป็นไปได้ไหมที่ปัญหานี้เกิดขึ้นมาระหว่างรอยต่อของวิวัฒนาการของมนุษย์เอง อันเป็นรอยต่อระหว่าง สมองเก่ากับสมองใหม่ รอยต่อที่ยังไม่ลงรอยดีนัก คือมันเกิดขึ้นที่สมองใหม่สามารถสร้างตัวแทนของการรับรู้ (representation) ขึ้นมา คือสร้างนามธรรมให้กับ การรับรู้ และเก็บเอาไว้เป็นความทรงจำ แต่ปัญหาก็ไม่ได้อยู่ที่ ความสามารถใหม่ที่ได้มา แต่เกิดกับการที่เราไม่สามารถ แยกแยะตัวแทน ของการรับรู้กับการรับรู้ และเรานำ ทั้งสองอย่างนี้มาผสมผสานเข้าเป็นชุดใหญ่แห่งตัวแทนของการรับรู้ขึ้นมา และอันนี้ก็เข้ามา เป็นรากฐานของความคิด ทั้งปวง
โดยทั่วไป เราไม่สามารถสังเกตเห็นการเชื่อมโยงระหว่างตัวแทนของการรับรู้กับการรับรู้ ความคิดนั้นดูเหมือนว่า จะขาดความสามารถ ที่จะมองเห็นว่าเกิดอะไรขึ้น ขบวนการนี้เป็นไปโดยไม่รู้ตัว เป็นไปอย่างซ่อนเงื่อนงำอยู่ภายใน และมองไม่เห็น เราจึงไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ลองจินตนาการเห็นข้อมูลมาจากอายตนะ (ประสาทรับรู้) ที่สมอง จัดระเบียบหาความหมายทางหนึ่ง และมีสายธานของข้อมูลมีทางหนึ่งมาจากความคิด และสองทางนี้ ผสมผสานกัน เข้าเป็นหนึ่ง เป็นผลรวมของตัวแทนแห่งการรับรู้ขึ้นมา ที่ผิดพลาดขึ้นมาไม่ใช่เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น แต่ปัญหาอยู่ที่เรา ไม่ได้ตระหนักรู้ว่ามันเกิดขึ้นต่างหาก
การเกิดขึ้นของตัวแทนการรับรู้นี้ ก่อขึ้นมาเป็นสมบัติร่วมของมนุษยชาติ กลายเป็นโลกๆ หนึ่งที่ส่วนใหญ่ พวกเรา จะมองมันว่า เป็นโลกของความเป็นจริง บางคนอาจจะใช้คำว่าสามัญสำนึกแทน “โลกที่เป็นจริง” ใบนี้ เราจะมองโลกๆ นี้ ที่มนุษย์สร้างขึ้น และเป็นสมบัติร่วมใบนี้ว่าเป็นโลกมายาก็ย่อมได้ มันคงเกี่ยวข้องกับความเป็นจริงอยู่ด้วยบ้าง แต่มันเป็นการตีความเพียงอย่างหนึ่ง ที่อาจตีความได้โดยไม่มีที่สิ้นสุด และก็เป็นการตีความที่มีความผิดพลาดอยู่มากมาย ดังจะเห็นได้จากปัญหาที่แก้ไม่ตก และขยายตัวใหญ่โต รุกลามอยู่ในทุกวันนี้ จนถึงขนาดที่มนุษย์อาจจะสูญพันธุ์ไปจากโลก
โลกแห่งความเป็นจริงหรือโลกมายาหรือสมบัติร่วมแห่งโลกตัวแทนการรับรู้ที่มนุษย์สร้างร่วมกันมานี้ให้นิยาม และตีความ ความเป็นตัวตน ของปัจเจกบุคคลไว้ด้วย ได้ให้เนื้อที่ปัจเจกไว้ โดยนิยามปัจเจกนั้น แท้ที่จริงก็ถูกกำหนด ด้วยโลกแห่งมายานี้เอง ซึ่งหมายความว่า ความเป็นตัวของตัวเองของมนุษย์ แท้จริงก็ดำเนินไปใน กรอบกำหนดของ โลกมายา ใบนี้ เนื้อที่ที่ดูเหมือนจะมีความเป็นปัจเจกมากมายนั้น แท้ที่จริงก็ยังหนีไม่พ้นกรอบของโลกมายาใบนี้ เป็นเหมือน สีสันสไตล์ที่ดูแตกต่างแต่แท้จริงแล้วก็ไม่แตกต่างแต่อย่างใดเลย
ถ้าการแก้ไขปัญาของโลกยังอยู่ที่การคิดโดยอาศัยตัวแทนของการรับรู้เช่นเดิม ก็จะไม่มีอะไรแปรเปลี่ยน ความคิดนั้น ก็ยังจะวนเวียนอยู่ ในปัญหาเหมือนเดิม แต่ถ้ารื้อไปถึงการรับรู้โดยแทนที่จะไปอาศัย ตัวแทนของความรับรู้ อย่างสำเร็จรูปอยู่อย่างนั้น เรากลับมองให้ลึกซึ้ง ผ่านพ้นความเป็นตัวแทนของการรับรู้ เข้าไปรับรู้โดยตรง และก่อรูปความคิดขึ้นมาใหม่ ขบวนการคิดย่อมแปรเปลี่ยนไป โลกย่อมแปรเปลี่ยนไป
แต่เนื่องด้วยธรรมชาติของความคิดนั้นเป็นสมบัติร่วม การจะสร้างโลกใหม่ที่ดีกว่า ที่ไม่วนเวียนอยู่กับ มหาสมุทรแห่ง ตัวแทน ของการรับรู้อย่างเดิมที่เป็นปัญหา เราต้องสร้างโลกร่วมกันเป็นหมู่คณะ จึงจะมีพลังผลักดัน ให้เกิดโลกใหม่ได้
แล้วโลกใหม่จะไปติดอยู่ในกรอบของอคติหนึ่งใดหรือหลายๆ อคติหรือไม่? แน่นอนสิ่งนั้นย่อมเป็นไปได้ แต่ด้วยการสนทนา ที่เปิดใจ แสวงหาสัจจะด้วยท่าทีที่สอบทานตัวแทน แห่งการรับรู้ได้เสมอพลวัตของวงสนทนานั้น ย่อมช่วยกันสามารถสลายอคติต่างๆ ให้เบาบางลงไปได้ตามลำดับ ด้วยเหตุนี้โบห์ม จึงนำเสนอรูปแบบ การสนทนา แบบของเขา และก็มีการนำการสนทนา แบบนี้ไปใช้ มากขึ้นทุกทีแล้ว ในหลายวงการ ในระดับโลก
คุณภาพชีวิตกับการสนทนา
คนที่เอาจริงเอาจังกับชีวิตมากหรือน้อยเพียงใดก็ตาม ก็ย่อมจะทราบว่า การกระทำหนึ่งๆ ที่จะให้ออกมาดีนั้น ต้องเตรียมการ มากน้อยเพียงใด เราจะจินตนาการถึงภาพน้ำแข็งลอยน้ำ ที่ส่วนโผล่ปรากฎเป็นเพียงเศษหนึ่งส่วนสิบ หรือเศษหนึ่งส่วนสิบเอ็ดของส่วนที่จมอยู่ใต้น้ำเท่านั้น สิ่งที่พูดไปในเรื่องของการสนทนาในภาคที่หนึ่งและสอง ก็จะทำให้เกิดขึ้นได้ เราต้องตระเตรียมคุณภาพชีวิตอัน เป็นบาทฐาน ที่สำคัญพร้อมกันไป และสัดส่วนก็คงเป็น สิบส่วนต่อผลได้ที่จะเอื้อให้ศิลปะแห่งการสนทนาเพียงส่วนเดียวแต่นั่นอาจจะหมายถึงว่า คนที่ก้าวมาหยิบจับหนังสือเล่มนี้ ขึ้นมาอ่าน บาที อาจจะได้พัฒนาคุณภาพชีวิต อันมีส่วนช่วยสนับสนุน ศิลปะแห่งการสนทนา นี้ไปได้ไกลลิบแล้วก็เป็นได้
ในที่นี้คงไม่ได้ลงลึกไปในการพัฒนาคุณภาพชีวิตไปเสียเลยทีเดียว แต่ก็จะแตะเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกัน โดยจะลงลึก พอสมควร ที่จะให้แผนที่โดยสังเขปว่าอะไรจะเข้ามาเป็นตัวเอื้อบ้าง? อย่างไร?และในทางกลับกัน เราจะเห็นได้ด้วยว่า การสนทนาก็จะย้อนกลับมา เป็นเครื่องมือสำคัญ ในขบวนการเรียนรู้ เพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิต ของตนเอง!