กายทิพย์
กายทิพย์ หรือ ออร่า อันหมายถึง พลังแม่เหล็กไฟฟ้าที่ไม่มีตัวตน
พลังชีวิตมาจากสนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ ที่ส่องมายังพื้นโลก และมันถูกเหนี่ยวนำ มาสู่ตัวเราด้วย เหล็กที่มีอยู่มาก ในกระแสเลือด" เรื่องนี้ถ้าจะหาเหตุอธิบายให้เข้าข้างกันสักหน่อยก็อาจต้องนึกถึง สารฮีโมโกลบิน ซึ่งมีเหล็กอยู่ด้วย ว่าอาจเป็นตัวตอบสนองต่อ สนามแม่เหล็กโลกหรือเปล่า ร่างกายของคนเรานั้นแท้ที่จริงก็คือ องค์รวมของมวลสาร และพลังงานอันมีหลายมิติ .นพ.ริชาร์ด เกอร์เบอร์ ได้จำแนกตัวเราออก ตามความหยาบ และละเอียดของมวลสาร และ พลังงานออกเป็นชั้นๆ คือ
- กายเนื้อ (Physical Body),
- กายละเอียดหรือกายไอ (Etheric Body) กายนี้เราพอจะสัมผัสกันได้ อย่างเช่นเวลาเราอยู่ในรถเมล์ที่แน่นๆ เราจะรู้สึกอึดอัดด้วยไอตัวของผู้คน หรือเวลาเข้าใกล้ใครที่ป่วยเป็นโรค เราอาจได้ไอโรคจากตัวเขา,
- กายทิพย์ (Astral Body) ส่วนนี้ต้องสัมผัสด้วยความรู้สึก ซึ่งเราอาจรับรู้กันได้ เวลาเราพบหน้าใครก็รู้สึกว่าคนนี้มีความเป็นมิตร รู้สึกอบอุ่น
- จิต (Mental) นี่เป็นส่วนของนามธรรม ถือเป็นส่วนที่ละเอียดที่สุดของกาย 4 ชั้น
ริชาร์ด เกอร์เบอร์ ฉลาดที่จะทำให้เราเข้าใจโดยเปรียบเทียบกายจิต 4 ชั้นนี้กับเสียงดนตรี 4 อ็อกเตฟบนคีบอร์ด อ็อกเตฟแรกหมายถึง กายเนื้อ ต่อไปเป็น กายละเอียด เป็นกายทิพย์ และเป็นจิต ตามลำดับ
เซลล์ของเรา ที่มีชีวิต มีการแลกเปลี่ยน ประจุตลอดเวลา ทำให้ทุกเซลล์มีศักดาไฟฟ้าพร้อมๆ กับที่มีสนามพลัง อยู่โดยรอบแต่ละเซลล์ สนามพลังนี้มีขั้วพลังเป็นตำแหน่งต่างๆ ในร่างกายถึง 600 กว่าจุด จุดฝังเข็ม น่าจะเป็นขั้วพลังเหล่านี้ ขั้วพลังที่มีศักดาสูง รวมกันอยู่ เป็นจุดจักระ สนามพลังนี้ยังเชื่อมต่อกับจิตของเรา อย่างแยกไม่ออก ส่งผลซึ่งกันและกัน เหนือสิ่งอื่นใด กายจิตของคนเรานี้ยังได้รับ อิทธิพลจากสนามพลังของโลก และจักรวาลด้วย ตั้งแต่สนามแม่เหล็กของดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และจักรราศีต่างๆ สนามแม่เหล็กโลก ซึ่งยังเปลี่ยนแปร กับปรากฏการณ์ธรรมชาติเช่น แผ่นดินไหว ภูเขาไฟระเบิด กระแสน้ำในมหาสมุทร คลื่นใต้น้ำและเหนือน้ำ อุณหภูมิของโลก พายุฝนฟ้า เป็นต้น ท้ายที่สุดคลื่นที่คนเราประดิษฐ์ขึ้น คอมพิวเตอร์ หม้อแปลงไฟ เตาอบ ไดเป่าผม โทรทัศน์ คอมพิวเตอร์ กระทั่งเสียงดนตรี เพลง เสียงสวดมนต์ รวมไปถึงคลื่นข่าว คลื่นความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ การเมือง ความสงบ เรียบร้อยของบ้านเมือง เหล่านี้คือ องค์รวมของสิ่งต่างๆ ที่ส่งผลกลับไปกลับมาต่อชีวิตจิตใจของคนเรา
เป็นที่รู้กันว่า สิ่งมีชีวิตทั้งหลายรวมทั้งคนเราที่อาศัยอยู่บนโลกนี้ ต่างได้รับพลังงานชีวิตอยู่ตลอดเวลาจาก พลังชีวิตของโลก พลังนี้ก็คือ สนามแม่เหล็กโลกนั่นเอง มันเป็นสนามพลังอ่อนๆ ที่เราได้รับอยู่ตลอดเวลา และถ้าเมื่อไหร่เราไม่ได้รับพลังนี้ ก็อาจเป็นเหตุให้เรา ป่วยเจ็บได้ เรื่องนี้ได้จากการสังเกตว่า คนงานที่ทำงาน ก่อสร้างตึกใหญ่ๆ ซึ่งบางทีต้องใช้โครงสร้างเหล็ก หรือกระทั่งแผ่นเหล็กเป็น จำนวนมาก เป็น โครงสร้างของตึก เมื่อสร้างตึกไปหลายๆ เดือนก็พบว่า คนงานเหล่านี้เกิดอาการอ่อนเพลีย ปวดเมื่อยเนื้อตัว ปวดหัว ปวดข้อ โดยไม่ปรากฏสาเหตุ อาการเหล่านี้พบอีกในเวลา 30 ปีหลังนี้ในหมู่นักบินอวกาศ องค์การนาซ่า เริ่มสังเกตอาการนี้ได้ จากนักบินรุ่นแรกๆ ซึ่งต้องออกไปนอกโลกพ้นจากแรงดึงดูดของโลก ก็ปรากฏอาการเหล่านี้เหมือนกัน เขาเรียกชื่อกลุ่มอาการนี้ว่า "โรคอวกาศ (space sickness)"
ความหมายของสีออร่า
ในโลกาใบนี้ ยังมีสิ่งชีวิตบางจำพวกสามารถแสดงคุณสมบัติของการเรืองแสงชีวภาพได้ด้วยตนเอง เป็นแสงเรืองสว่าง ปราศจาก ความร้อน ได้แก่ พวกเห็ดราบางชนิด แมงบางพันธุ์ ปลาที่อาศัยอยู่ทะเลลึก เป็นต้น การมีแสงเรืองในตัวเอง ก็เพื่อประโยชน์ใน การติดต่อสื่อสาร การนำทาง หรือเพื่อป้องกันภัยอันตราย …หากท่านได้เห็นสิ่งมีชีวิตเรืองแสงเหล่านี้ ท่านคงจะไม่นึกตระหนกตกใจ อะไรมาก นอกจากบางทีอาจจะทึ่งในความพิศดารที่ธรรมชาติสร้างสรรค์สิ่งเหล่านั้นขึ้นมา…แต่ถ้าท่านบังเอิญเดินไปในที่เปลี่ยวยามรำคืน และท่านไปพบกับ คนที่มีแสงเรืองในตัวเองเข้าบ้างล่ะ…ท่านจะนึกอย่างไร?……….สำหรับผมน่ะรึครับ….แฮะ ๆ ……นึกได้แค่ 4 คำ เท่านั้น คือ “ตัวใครตัวมัน” ……..
ก็นี่ซิครับ เรื่องที่กระผมขอนำมาเล่าแบ่งกันฟัง เขาว่ามันมีอยู่จริง ๆ ไม่ใช่เรื่องเบิกเนตร ถ้าเราฟังและรับรู้เอาไว้ เผื่อวันดีคืนดีบังเอิญไป เจอเข้ากับตัวเองจะได้ไม่เนตรเบิกวิ่งป่าราบ เพราะ “มนุษย์เรืองแสง” นั้นไม่ใช่ผีปีศาจ แต่เป็นปรากฎการณ์อัศจรรย์อย่างหนึ่งเท่านั้น ……ไม่ใช่เรื่องอภินิหาร ปาฏิหาริย์ หรือเรื่องโม้ใด ๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นเรื่องที่มีนักวิทยาศาสตร์และนายแพทย์หลายคน ได้เคยพบเห็น และยอมรับว่ามีจริง ต่างบันทึกบอกเล่ากันเอาไว้แล้วทั้งนั้น มีอยู่หลายสิบราย และเป็นปรากฎการณ์ธรรมชาติที่หายากเสียด้วย………..
จากหนังสือสารานุกรมการแพทย์ชื่อ Anomalies and Curiosities of Medicine มีบันทึกอยู่หลายสิบหน้ากล่าวถึง เรื่องราวของคนที่มีแสงเรืองในตัวเองซึ่งเป็นบันทึกของแพทย์หลายสมัยที่ได้เคยพบเห็น และเขียนบันทึกทางการแพทย์เอาไว้ เช่น นายแพทย์จอร์ช กูลด์ และนายแพทย์ วอลเตอร์ ไพล์ (ปีพ.ศ. 2440) มีบันทึกไว้ว่า …..ได้พบคนไข้ที่เป็นโรคเนื้องอกในทรวงอกรายหนึ่งมีอาการหนักมากเมื่อมาขอการรักษา ขณะรับการรักษาอยู่ในโรงพยาบาล ประมาณวันที่สองก็สังเกตเห็นปรากฎการณ์ประหลาดเกิดขึ้น คือ ปรากฏมีแสงเรืองสว่างออกมาจากทรวงอกของคนไข้ แสงเรืองประหลาดเกิดขึ้นจากภายในบริเวณเนื้อเยื่อที่เป็นโรคเนื้องอกนั่นเอง ต่อมาปรากฎการณ์อัศจรรย์นี้ก็เพิ่มมากขึ้น แสงเรืองสว่างมาก โดยเฉพาะถ้าอยู่ในที่มืด ๆ จะสามารถส่องดูนาฬิกาได้ในระยะห่าง 2 ฟุตอย่างสบาย ๆ ……..
บันทึกอีกฉบับหนึ่ง เป้นของ ดร. เฮอวาร์ด คาร์ริงตัน นักค้นคว้าทางฟิสิกส์ ผู้ซึ่งบังเอิญได้พบกับเหตุการณ์สะเทือนขวัญและ ปรากฎการณือัศจรรย์เข้ากับตนเองจึงบันทึกเอาไว้ว่า ….เกี่ยวกับเด็กชายคนหนึ่งที่เสียชีวิตเนื่องจากกลืนของแหลมคมลงไปในท้อง ก่อนขาดใจตายมีอาการดิ้นบิดตัวอย่างทุรนทุราย ต่อหน้าต่อตาญาติที่นำตัวมาส่งและต่อหน้าแพทย์พยาบาล ที่กำลังพยายาม ให้ความช่วยเหลือ เด็กคนนั้นเปล่งแสงเรืองสีน้ำเงิน ออกมารอบตัววูบวาบไปหมด เล่นเอาทุกคนในที่นั้นตกใจจนคิดอะไรไม่ถูก และต่อมาอีกไม่กี่นาทีเด็กคนนั้นก็ขาดใจตาย…….
บันทึกของคณะแพทย์จากอิตาลีในปี พ.ศ. 2477 ก็มีรายงานสั้น ๆ เกี่ยวกับเรื่องอัศจรรย์ที่ล่ำลือกันในสมัยนี้อยู่เรื่องหนึ่งคือเรื่องของ “หญิงเรืองแสงแห่งปิราโน” (Luminous Women of Pirano) บันทึกกล่าวว่า ….นางแอนนา โมนาโร เป็นผู้ป่วยด้วยโรคหืดเรื้อรัง ได้เข้ามารับการรักษาในโรงพยาบาลปิราโน และอยู่ ๆ ในคืนหนึ่งขณะที่นางนอนหลับอยู่บนเตียงคนไข้ในห้องรวม ของโรงพยาบาล แห่งนั้น บริเวณหน้าอกและลำคอของนางก็ปรากฎแสงเรืองออกมา เป็นแสงสีน้ำเงิน เล่นเอาคนไข้อื่น ๆ บนเตียงข้าง ๆ ที่เห็นเข้าพอดีต่างเผ่น ลงจากเตียนแทบไม่ทัน ร้องแรกแหกกระเชอวุ่นวายไปหมดบรรดาแพทย์เวรและพยาบาลต่างวิ่งมาดู และต่างก็ยืนตะลึงมองกันตาปริบ ๆ แพทย์ใหญ่สั่งให้ถ่ายรูปเอาไว้และเข้าไปตรวจสอบร่างกายด้วยตนเอง แต่พอปลุกให้คนไข้ตื่น แสงเรืองประหลาดก็หรี่ดับไป…แพทย์หลายนายพยายามตรวจหาความผิดปกติแต่ก็ไม่สามารถวินิจฉัยอะไรได้เลย …..บันทึกได้กล่าวเอาไว้ด้วยว่า จากการเจาะเลือดไปตรวจพบว่า นางโมนาโรมีปริมาณของสารจำพวกกำมะถัน อยู่ในเลือดสูงผิดปกติ …..แสงเรืองประหลาดจะปรากฎขึ้นเสมอเฉพาะตอนที่นางนอนหลับเท่านั้น มีแพทย์หลายสิบคนจากสาขาต่าง ๆ พากันแห่ไปศึกษา ตรวจดูปรากฎการณ์อัศจรรย์ของนางโมนาโร และต่างก็ลงความเห็นกันไปต่าง ๆ นานา เช่นกล่าวว่า แสงเรืองเกิดจากประจุไฟฟ้า และสนามแม่เหล็กในธรรมชาติทำปฏิกิริยากับเซลล์ชีวภาพ ซึ่งอาจจะเกี่ยวข้องกับ สารกำมะถันในเลือดด้วยก็ได้ …..บ้างก็ลงความเห็นว่า จำนวนสารกำมะถัในเลือดของนางอาจทำปฏิกิริยากับคลื่นอัลตราไวโอเลตในธรรมชาติ ทำให้เกิดการรบกวนกระตุ้นใน อะตอมกำมะถัน และสารชีวเคมีบางอย่างเกิดการเรืองแสงขึ้นมาได้เอง ….แต่ำคอธิบายความคิดเห็นเหล่านั้น ไม่มีของใครจะให้ความกระจ่างชัดได้เลย เพราะมันไม่สามารถอธิบายได้ว่า ทำไมแสงเรือง จึงเกิดขึ้น เฉพาะบริเวณหน้าอกและลำคอ และที่สำคัญคือ ทำไมมันเกิดขึ้นเฉพาะตอนที่นางโมนาโร นอนหลับเท่านั้น?……..
บาทาเรืองแสง
เป็นเรื่องของมนุษย์เรืองแสงที่ไม่ใช่คนป่วย คนเจ็บ คนไข้ หรือใกล้จะตายแต่เกิดขึ้นกับคนธรรมดา ๆ ปกติที่ร่างกายแข็งแรงก็มีเช่นกัน จากบันทึกในประวัติศาสตร์รายแรกเห็นจะเกิดขึ้นในวันที่ 24 เดือนกันยายน พ.ศ. 2412 มีรายงานปรากฏอยู่ใน หนังสือแม็คคานิค ของอังกฤษชื่อ English Mechanic ฉบับเดือนกันยายน พ.ศ. 2412 ปรากฏเรื่องราวประหลาดกล่าวไว้ว่า …..หญิงอเมริกันคนหนึ่ง ขณะเตรียมตัวเข้านอนในคืนวันที่ 24 เดือนกันยายน ปีพ.ศ. 2412 พอปิดไฟล้มตัวลงนอนสายตา ก็มองไปที่ปลายเท้าพบกับ ความประหลาดใจ เพราะนิ้วนางข้างขวาของเธอปรากฏ มีแสงเรืองสว่างขาวอมน้ำเงินฟ้าชอบกล ….ตอนแรกคิดว่าตัวเองตาผาด แต่พอก้มลงพิจารณาดูอย่างใกล้ชิด ก็พบว่าตามิได้ผาด นิ้วเท้านั้นมันเรืองแสงได้จริง…..เธอมิได้ตกใจแต่ประการใด เพราะคิดว่าคงไปเหยียบ หรือเปื้อนอะไรมาเลย เอามือถูที่นิ้วนั้นเพื่อจะเช็ดออก แต่กลับพบว่ายิ่งถูเท่าไร แสงเรืองก็ยิ่งเพิ่มความสว่าง เรืองมากยิ่งขึ้น และกลับมีการเรืองแสงแผ่กระจายออกไป เป็นบริเวณกว้างกว่าเดิม…เธอเริ่มรู้สึกประหลาดใจในเวลาต่อมาเมื่อพบว่าแสงเรืองแผ่ขยายขึ้นมา ตามหลังเท้าและเรืองเป็นจ้ำ ๆ คล้ายรองฟกช้ำ แต่เรืองแสงได้…คราวนี้ชักจะตกใจนิดหน่อย เพราะเข้าใจแล้วว่าตัวเองมิได้ไปเหยียบ หรือเปื้อนอะไรมาหากแต่ว่า มันเป็นแสงเรือง ที่เกิดขึ้นภายในเนื้อจากใต้ผิวหนังนั่นเอง …..แต่ก็ยังไม่เชื่อในความคิดของตัวเธอจึงไปล้างเท้าด้วยน้ำและฟอกสบู่ ถูเท้าบริเวณที่เรืองแสง และแช่น้ำอยู่อีกนาน แล้วเอาแอลกอฮอล์เช็ด …..ทว่าแสงเรืองนั้นก็มิได้หมดไปยิ่งถูกบีบเค้นเท่าไร กลับยิ่งทำให้มันแผ่ขยาย และเรืองแสงเพิ่ม มากขึ้นไปอีก …สุดท้ายเธอพบว่าที่ข้างขวางไล่มาจนถึงข้อเท้า เกิดเรืองแสงสว่างอย่างน่ากลัว ไปทั้งเท้า ….สามีและลูกของนางต่างพากัน ช่วยคิดแก้ปัญหา ด้วยความแปลกประหลาดใจ และงุนงงไปตามกันไม่รู้จะทำประการใด ….แต่ต่อมาอีกหลายชั่วโมงหลังจากที่ตัดสินใจ โทรศัพท์พบหมอ แสงเรืองประหลาดก็ค่อย ๆ หายไป เมื่อไปพบหมอก็เกือบ จะจางหายมองไม่เห็นอยู่แล้ว ……หมอตรวจดูด้วย ความประหลาดใจ และงุนงงพอ ๆ กันคนอื่นไม่มีอาการปวด เจ็บ หรือผิดปกติใด ๆ ทั้งสิ้น เพียงแต่มาให้ดูว่า “บาทาเรืองแสง” ได้ก็เท่านั้น ……….
การเรืองแสงทางชีวะ
ก็นี่แหละครับ ถ้ามนุษย์เกิดมีแสงขึ้นมาได้มันก็ปรากฏการณ์อัศจรรย์แปลกประหลาดอักโขอยู่ แต่สำหรับสัตว์บางชนิดหรือ พวกเห็ดราแล้ว ละก็ นักชีวะเขารู้แน่ว่าสาเหตุมันเนื่องมาจากอะไร พวกหนอนกระสือหรือเจ้าตัวที่เด็ก ๆ เรียกว่า “ทิ้งถ่วง” หรือหิ่งห้อยเป็นสัตว์ที่มีแสงเรืองได้ โดยธรรมชาติ และก็เป็นของธรรมดา ๆ ที่ใคร ๆ คงเคยเห็นกันมาแล้ว แสงเรืองในสิ่งที่มีชีวิตบางชนิดเหล่านั้น เกิดจากการเปลี่ยนแปลง ทางชีวเคมีอย่างต่อเนื่อง โดยมีสารเอนไซม์บางอย่างเป็น ตัวกระตุ้นให้โมเลกุล ส่วนหนึ่งเกิด การออกซิไดซ์และปล่อยพลังงานออกมา ในรูปของแสงสีฟ้า น้ำเงิน เขียว หรือขาว สารชีวเคมีที่เป็นตัวสำคัญในการทำให้เกิดปฏิกิริยา “แสงเย็น” ดังกล่าวมีอยู่หลายชนิด ได้แก่ ออกซิเจน, ลิวซิเฟอเรส (luciferase), ลิวซิเฟอรีน (lucifurein) และอะดิโนซินไตรฟอสเฟท หรือ ATP (Adinosine triphosphate) เป็นต้น ……….แต่ทว่าปฏิกิริยาเคมีเหล่านี้ไม่สามารถเกิดขึ้นในเซลล์ของร่างกายมนุษย์ได้อย่างเด็ดขาดและถ้าจะไปบอกนักชีวะว่า ร่างกายมนุษย์สามารถผลิตสารชีวเคมีที่ ทำให้เกิดแสงเรืองได้ ซึ่งอาจเป็นสารอย่างอื่น ๆ ที่ยังไม่มีการค้นพบ นักชีวะจะส่ายหัวไม่ยอมรับ ความคิดนั้น เด็ดขาด ดังนั้นการเรืองแสงได้ในตัวคนจึงยังเป็นสิ่งที่มืดมน และยังไม่มีใครอธิบายได้ว่าอะไรเป็นสาเหตุ……ปฏิกริยาทางชีวเคมี หรือว่าปฏิกิริยาจากแม่เหล็กไฟฟ้ากับระบบชีวภาพกันแน่ …..หรืออีกทีหนึ่งคงต้องมองกันในแง่จิตในมิติที่ไม่เกี่ยวข้องกับ ทางกายภาพเลยก็ได้
รังสีมนุษย์
ยังมีเรื่องราวของการเรืองแสงของมนุษย์อีกครั้ง คราวนี้มองกันในแง่ที่ไม่ใช่วัตถุธรรม แสงเรืองแห่งมนุษย์ในแง่นี้เรียกว่า “ออร่า” (aura) หรือการเปล่งรังสีแสง หรือรัศมีเรืองรองบางอย่างออกมารอบตัว อาจจะเป็นแสงเรืองสีต่าง ๆ กันซึ่งตาเปล่ามองเห็น หรือเป็นรังสีแสงที่ตาเปล่า มองไม่เห็น แต่สามารถมองเห็นได้ด้วย “ทิพย์จักษุ” ก็ได้…….กล่าวกันว่าการเปล่งรัศมีเหล่านี้มีความเข้มข้นแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล โดยเฉพาะอย่างยิ่งจะปรากฏเข้มข้นเฉิดฉายมากในบุคคลที่มีพัฒนาการทางจิตอย่างสูง และรองลงมาจะมีรังสีแจ่มกระจ่าง ในบุคคลที่มี จิตใจอยุ่ในสภาวะปิติเบิกบานอยู่เสมอ ๆ ……. ปรากฏการณ์ออร่าจึงเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับเรื่องทางจิต วิญญาณ เสียเป็นส่วนใหญ่…..ดร.แนนดัวร์ โฟดัวร์ นักปรจิตวิทยา หรือ parapsychologis ได้อธิบายไว้ว่า …พวกนักบุญและผู้ชำนาญการศาสนา ทางตะวันตก ได้จำแนกลักษณะ ของออร่าไว้ 4 แบบ ด้วยกัน กล่าวคือ
- แบบ นิมบัส (Nimbus) คือแบบที่มีออร่าแผ่ออกมาในลักษณะคล้ายการ “ทรงกลด” เป็นรัศมีทรงกลมรอบศีรษะ
- แบบ ฮาโล (Halo) เป็นแบบการแผ่รังสีที่มีลักษณะคล้ายวงแหลวแผ่ออกมารอบศีรษะเหมือนกัน
- แบบ ออรีโอลา (Aureola) เป็นแบบลักษณะแผ่รังสี คล้ายเปลวเพลิงทรงกลด
- แบบ กลอรี (Glory) เป็นลักษณะแสงเรืองเปล่งปลั่งเรืองรองแผ่ออกมารอบร่างกาย ส่วนมากบุคคลที่มีออร่าแบบกลอรีนี้ มักเป็นคนที่มี บุญวาสนาสูงส่งมาก ๆ หรือไม่ก็พวกศาสดาผู้บรรลุธรรมชั้นสูงสุด
เรื่องออร่ามิใช่มีอยู่เฉพาะทางซีกโลกตะวันตกเท่านั้น ทางซีกโลกตะวันออกอย่างบ้านเมืองเรา ก็มีเช่นกัน และมีรายละเอียดปลีกย่อย มากกว่าด้วย ….ผู้เชี่ยวชาญทางด้านการเข้าฌาน (Theosophists) ของทางตะวันออกได้จำแนกลักษณะของออร่ารังสีของมนุษย์เอาไว้ 5 แบบด้วยกัน กล่าวคือ
- สุขภาวะรังสี (Health aura)
- กรรมรังสี (Karmic aura)
- ชีวรังสี (Vital aura)
- บุคลักษณะรังสี (Aura of Character)
- วิญญาณรังสี (Aura of Spiritual nature)
นอกจากนี้แล้วยังระบุไว้อีกด้วยว่าสีสัยของออร่า จะเปลี่ยนแปลงไปได้ตาม สุภาพของ อารมณ์ เช่น สีแสด ส้ม จะเกิดเมื่อมีอารมณ์โกรธ หรือเกลียด หรือถูกกดดัน สีแดงเข้มคล้ำ จะเกิดขึ้นเมือมีอารมณ์ขุ่นข้องหมองใจ อยู่ในโทสะจริตหรือกำลังลุ่มหลง ด้วยโลภราคะ สีน้ำตาลจะปรากฏขึ้น เมือเกิดอารมณ์ตระหนี่ หึงหวง หรือเกิดความงก สีแดงดอกกุหลาบเกิดขึ้นเมืองอยู่ในอารณ์แห่งความรัก ความใคร่ทางกาม สีเหลืองจะเกิดขึ้น ถ้าอยู่ในอารมณ์เป็นกลางหรือในขณะใช้ความคิดทางสติปัญญา สีม่วงจะปรากฏออกมาเมื่อเกิดอารมณ์สงบ วิเวก สีน้ำเงิน ปรากฏได้ก็ต่อมเออยู่ในอารมณ์เชื่อมันมีจิตศรัทธาในรสพระธรรมหรือบุญกุกศ และสีเขียวจะเกิดขึ้นถ้ามีอารมณ์อิจฉาริษยา …… นอกจากนี้แล้วผู้เชี่ยวชาญทางการเข้าฌานบางคนยังเคยเห็นสีของออร่าสีอื่น ๆ อีก แต่ยังระบุไม่ได้ว่ามีความหมายอย่างไร นอกจากผู้เชี่ยวชาญ คนหนึ่งคือสตีเฟน อสวิคกิ ในปีพ.ศ. 2443 ยืนยันว่าได้เห็นออร่าของคนใกล้จะตายเปล่งสีออกมาเป็นสีเทาทึบ ๆ คล้ายหมอกควันดำ และเขาได้เห็นหลายครั้งเป็นเช่นนั้น จึงเชื่อว่าสีเทาดำนั้นเป็นสีที่เกิดขึ้นก่อนที่จิตจะสละร่างออกไป อย่างสมเด็กพระสัมมา สัมพุทธเจ้าของเรานี้ กล่าวกันว่าตอนที่พระองค์ตรัสรู้นั้น ทรงเปล่งรังสีออกมารอบพระวรกาย เป็นฉัพพรรณรังสี เลยทีเดียว ว่ากันว่าแสงสว่างแห่งรังสีนั้น สว่างวาบกระจายไปทั่วจักรวาล ขึ้นไปถึงสวรรค์ชั้นสูงสุด และลงไปถึงนรกขุมอเวจี พวกสัตว์อเวจีนรกได้เห็นกันแวบเดียว แต่พวกเทวดา และพรหมชั้นสูงต่างได้เห็นรังสีเรืองรองและทำให้ทราบว่าพระพุทธเจ้าได้บังเกิดขึ้นแล้วในพิภพนี้..ว่ากันว่า ฉัพพรรณรังสีประกอบด้วยแสงสี 6 สี กล่าวคือ สีเขียวเหมือนดอกอัญชัน เหลืองเหมือนหรดาลทองแดงเหมือนตะวันอ่อน ขาวเหมือนแผ่นเงิน สีหงสบาทเหมือนดอกเซ่งหรือหงอนไก่ และสีประภัสสรคือเลื่อมพรายแวววาวคล้ายสีในผลึกแก้ว…
แสงแห่งศีรษะ
มีเรื่องกล่าวขวัญล้ำลือกันมามายเกี่ยวกับผู้ทรงศีล นักบุญ นักบวช ทั้งของตะวันออกและตะวันตก ที่สามารถเปล่งรังสีออร่า ออกจากร่างกาย จนทำให้คนธรรมดาสามารถมองเห็นได้ดัวยตาเปล่า ….เรื่องราวนี้มีมูลความจริงอยู่บ้าน เพราะมีปรากฏอยู่ในบันทึก และคำให้การจาก ผู้ที่เชื่อถือได้ ดังเช่นจากบันทึกของโป๊บ เบเนติค ที่ 14 เขียนไว้ว่า….ความจริงเกี่ยวกับธรรมชาติของเปลวแสง ที่ห่อหุ้มอยู่รอบตัวมนุษย์บางคน หรือรังสีที่เปล่งออกมารอบศีระษะของคนบางคนนี้ไม่เหมือนกับเปลวไฟ เพราะมันไม่พริ้วสะบัดขึ้น ข้างบน แต่มันพริ้วสะบัดออกไป เป็นรัศมีรอบทิศทาง เปลวแสงนี้มิได้เกิดขึ้นอยู่แค่ภายใน ร่างกายของคนแล้ว เปล่งประกายแผ่ออกมา แต่บางครั้งยังเกิดขึ้นได้ กับสิ่งของเครื่องใช้ ซึ่งเป็นของคนคนนั้น หรือเป็นสิ่งของที่อยู่ใกล้ชิดตัวคนคนนั้น หรือเป็นสิ่งของที่คนคนนั้นได้สัมผัส…
…..นักบวชคนหนึ่งชื่อ จอห์น ทอร์นีเรียส ไม่มาเข้าพิธีสวดตคามปกติในตอนเช้ามืดเหมือนเช่นทุกวันจึงให้คนไปตามตัวที่กุฏิ ปรากฏว่า ที่กุฏิส่วนตัวนั้นมีแสงเรืองสว่างผิดปกติ ในเวลาต่อมาสาธุคุณฟราสซีสแคน และสาธุคุณ โธมัส พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ประจำโบสถ์ ต่างก็ได้เป็นประจักษ์พยานต่อปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นในกุฏิของนักบวช จอห์น ทอร์นีเรียส .…สาเหตุก็คือแสงเรืองสว่างนั้น เกิดจากตัวของนักบวชทอร์นีเรียสนั่นเอง ศีรษะและใบหน้าของเขามีแสงเรืองสว่างเปล่งออกมา ขาวนวลดุจแสงจันทร์ ….ภายหลังนักบวชทอร์นีเรียสเล่าว่า เมื่อตื่นนอนขึ้นมาราว ๆ ตี 4 ของเช้าวันนั้นก็พบว่า ใบหน้าของตนเองมีแสงเรืองอยู่แล้ว ไม่ทราบว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร พยายามล้างหน้าและเช็ดหน้าทำความสะอาดก็แล้วแต่มันกลับยิ่งเรืองแสงสว่างขึ้น ไม่ทราบจะทำประการใด และไม่กล้าออกไปนอกกุฏิจึงได้แต่สวดมนต์อยู่ในกุฏิ…เป็นที่น่าสังเกตสาธุคุณทั้งสองได้เข้าไปตรวจภายในกุฏิของนักบวชผู้นั้นแล้วพบว่า ข้าวของเครื่องใช้ต่าง ๆ บางชิ้นเกิดการเรืองแสงอ่อน ๆ ขึ้นได้ด้วย เช่น ผ้าห่ม หมอน ผ้าเช็ดตัวและสบู่…. พอสายหน่อยแสงเรืองบนใบหน้าและศีรษะของนักบวชทอร์นีเรียสก็ค่อย ๆ จางหายไปเองโดยไม่ก่อให้เกิดอาการผิดปกติใด ๆ ทั้งสิ้น …ยังมีคำให้การจากบุคคลที่เชื่อถือได้ชื่อ โทเบียส ดา ปองท์ กล่าวถึง เบอร์นาร์ดิโน แห่ง ลีซซี ในอิตาลี ผู้เสียชีวิตไปแล้วในปี พ.ศ. 2159 เรื่องราวประหลาดเกิดขึ้นในปี 2151 ขณะที่เขาได้ไปหาคุณเบอร์นาร์ดิโนในคืนวันหนึ่งโดยมีนัดหมายไว้ก่อน เขาพบสาธุคุณกำลังคุกเข่า สวดมนต์อยู่หน้าแท่นบูชาในโบสถ์แต่ผู้เดียว และที่น่าประหลาดคือ เขาเห็นใบหน้าของสาธุคุณ ตั้งแต่บริเวณแก้ม สองข้างลงมา ถึงปลายคางมีแสงเรืองสว่างเปล่งออกมา ….เขาผงะจ้องมองด้วยความตกใจ ไม่แน่ใจว่าแสงนั้นเป็น แสงสะท้องมาจากที่อื่น หรือแสงสว่างเกิดจากอะไรกันแน่ เมื่อจ้องมองจนแน่ใจว่าไม่ใช่แสงสะท้อง จากที่ใดแน่แล้วนอกจากเป็นแสงเรือง ที่เปล่งออกมาจาก เนื้อหนังของสาธุคุณเองแน่ ๆ เพราะเมื่อท่านสาธุคุณหันหน้ากลับมามองเขาอย่างเต็มตา โทเบียสก็ตกใจกลัวสุดขีด ลืมธุระที่ตน จะมาคุยกับสาธุคุณโดยสิ้นเชิง เขาไม่พูดพล่ามทำเพลง ตั้งสติได้ก็เผ่นออกจากโบสถ์ทันที…ภายหลังอีก 1 วันต่อมา เขากลับไปหา สาธุคุณเบอร์นาร์ดิโนอีกจึงรู้ความกระจ่างว่า มันเป็นปรากฏการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้นไม่บ่อยครั้งนัก และเกิดกับท่านสาธุคุณมา 3 ครั้งแล้ว ไม่ทราบสาเหตุเพราะอะไร…..
……อีกเรื่องหนึ่งเป็นเรื่องจากบันทึกของสาธุคุร ดี.สโคร์เรลลี ผู้ซึ่งเป็นผู้อำนวยการวิทยาลัยเยซูอิท ที่ดคอิมบรา ในโปตุเกส…ราวปี พ.ศ. 2143..วันหนึ่งตอนบ่าย มีผู้ต้องการเข้าพบสาธุคุณฟรานซิสโก ซูเอรีส แห่งสเปน ผู้ซึ่งเป็นครูสอนศาสนาประจำอยู่ในวิทยาลัย จึง ให้นักบวชเจอรโรมี ดา ซิลวา ไปตามตัวที่บ้านพัก พบว่าม่านไม้หน้าประตูบ้านปิดอยู่ซึ่งแสดงว่า สาธุคุณฟรานซิสโก ไม่ต้องการให้ใครเข้าไปรบกวนในบ้าน นักบวชซิลวาจึงได้แต่ยืนร้องเรียกอยู่หน้าประตู แต่ก็ไม่มีใครขานรับจนรู้สึกผิดปกติ และด้วยคำสั่งกำชับ จากท่านาธุคุณผู้อำนาวยการให้ตามตัวมาให้ได้ จึงตัดสินใจเปิดม่านประตูก้าวเข้าไป และก็พบว่า ภายในห้องนั้นมีแสงเรืองสว่างผิดปกติ ร่างของสาธุคุณฟรานซิสโกกำลังคุกเข่าหันหลังให้อยู่หน้าหิ้งบูชาด้วยอาการสงบนิ่ง แต่ที่น่าประหลาดคือ ศีรษะของท่านสาธุคุณ มีแสงสว่างเรืองส่องออกมาสว่างผิดปกติ จะว่าเป็นแสงเทียนบูชาก็ไม่ใช่ เพราบนหิ้งบูชาไม่มีเทียน มีแต่ไม้กางเขนและเครื่องประดับอื่น ๆ อีกเล็กน้อย
….ชั่วอึดใจนั้นท่านสาธุคุณฟรานซิสโกก็หันกลับมา คราวนี้นักบวชซิลวาถึงกับผงะด้วยความตกใจ ตั้งแต่ศีรษะ หน้าผาก ใบหน้าลงมาถึง หน้าอกของท่านสาธุคุณมีแสงเปลวไฟเรืองสว่างออกมา…..นักบวชหนุ่มถอยหลังออกมานอกห้องอย่างตกใจ พอตั้งสติได้ก็เผ่นกลับไป รายงานให้ผู้อำนวยการวิทยาลัยทราบเรื่องทันที …เมื่อผู้อำนวยการวิทยาลัยทราบเรื่องดังกล่าวแล้วจึงรีบออกมาดูด้วยตนเอง และพบว่าท่านสาธุคุณฟรานซิสโกกำลังรอคอยอยู่แล้ว ท่านพนมมือและกล่าวด้วยน้ำตาว่า ….ท่านไม่ต้องตกใจเป็นห่วงอะไรหรอก ข้าพเจ้าไม่เป็นอะไรทั้งสิ้น อีกสองสามชั่วโมงก็จะกลับคืนเป็นปกติ …เรื่องราวของปกราฏการณ์อัศจรรย์แห่งแสงเรือง ของสาธุคุณฟรานซิสโก ได้รับการปกปิด ตราบจนกระทั่งท่านมรณะไปในปี พ.ศ. 2510 จึงได้รับการเปิดเผย….
แสงแห่งวิญญาณ
ยังมีเรื่องของแสงอัศจรรย์อีกแบบหนึ่งทีเกี่ยวข้องกับคนบางคน แสงเรืองนี้จะเกิดขึ้นติดตามคนบางคนในเฉพาะบางเวลาเท่านั้น แสงเรืองชนิดนี้มีจริงและทางวิทยาศาสตร์ก็ยังอธิบายไม่ได้ ส่วนมากมักเกิดขึ้นในบริเวณที่มีการกระทำพิธีอันเกี่ยวเนื่อง กับทางจิตวิญญาณ และศาสนา หรือทางไสยศาสตร์ต่าง ๆ และมีพบบ้างในพิธีกรรมที่ศักดิ์สิทธิ์ต่าง ๆ ….มีรายงานเกี่ยวกับแสงประหลาดเหล่านี้ มากมายแต่จะขอยกแซมเปิ้ลล์ มาเสนอเพียงเรื่องเดียวนะครับ ถ้าขืนเขียนมาเดี๋ยว บ.ก.จะส่งกลับมิติที่ 3 เพราะเกินโคว์ต้ากระดาษ…นี่เป็นรายงานของสมาคม “SPR” (Society for Psychical Research)
…เมื่อวันที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2447 ได้ข่าวว่าแม่ชีโจนส์ แหงอีเจอร์น ผู้ซึ่งเป็นข่าวล่ำลือกันว่าสามารถแสดงปาฏิหาริย์ได้ จะมาทำพิธีสวดมนต์ที่โบสถ์เคลวินิสทิค เมโธดิสท์ ตำบล แลนแฟร์ ทางสมาคมจึงส่งนาย ฟรายเออร์ เอ.ที. ผู้แทนสมาคมให้ไปสังเกตการณ์และ ทำรายงานบันทึกเอาไว้ “พิธีเริ่มราว ๆ 3 ทุ่มกว่า ข้าพเจ้าเดินตรวจไปรอบ ๆ บริเวณโบสถ์ตามถนนหินกรวดจนประมาณเกือบ 5 ทุ่ม ปรากฏการณ์ประหลาดก็เกิดขึ้น เป็นแสงเรืองปรากฏขึ้น บนยอดเสาไม้กางเขนบนหลังคาโบสถ์เป็นแสงเรืองสีเหลือง แล้วค่อย ๆ รวมตัวกันกลายเป็นก้อนแสงดวง กลม ๆ ลอยขึ้นสู่ท้องฟ้า…. ซึ่งขณะนั้นพิธีสวดก็เสร็จสิ้นลงพอดี….ปรากฎดวงแสงเล็ก ๆ จับอยู่ตามพุ่มไม้รอบ ๆ โบสถ์อีกหลายสิบดวง…..พอดีแม่ชีโจนส์เดินออกมาจากโบสถ์ ขึ้นรถแล่นออกไปตามถนนโรยกรวดก็ปรากฏมีดวงแสงกลม ๆ อีกดวงหนึ่งลอยตามหลังรถของแม่ชีไป เมือ่รถเลี้ยวโค้งไปจะขึ้นถนนใหญ่ ก็มีดวงแสงกลม ๆ ปรากฏขึ้นอีก 3 ดวงตรงทางโค้งทั้งสองฟากถนน มันมีขนาดเล็กเท่าผลส้มและมีสีน้ำเงินอมม่วง …เมื่อรถวิ่งขึ้นถนนใหญ่ไป ดวงแสงเปลี่ยนสีจากน้ำเงินม่วงเป็นแดงเข้ม แล้วลอยตัวสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าอันมืดมิด….ขณะรถวิ่งไปตามถนนใหญ่ ก็ยังมีดวงแสงประหลาดปรากฎต่อเนื่องเป็นระยะ ๆ อีก 3 ดวง ในลักษณะเช่นเดียวกัน ทุกคนที่เข้าร่วมพิธีสวดซึ่งต่างมายืนส่งแม่ชีอยู่หน้าโบสถ์ต่างก็ได้เห็นดวงแสงประหลาดนั้นด้วยกันทั่วหน้า…แต่ไม่มีใครพูดว่ากระไร ไม่มีใครทัก และไม่มีใครซักถาม เพราะเขาเหล่านั้นรู้อยู่แก่ใจและเชื่อว่านั่นคือแสงแห่งวิญญาณที่มาร่วมฟังคำสวดของแม่ชีโจนส์นั่นเอง”….
ก็นี่แหละครับ เรื่องย่อนิด ๆ หน่อย ๆ เก็บเล็กผสมน้อยนำมาย่อยฝอยกันฟังหวังให้เพลิดเพลินเขียนมาก เดี๋ยวจะเกิน ….เฮ้อ….พิภพโลกานี้ยังมีสิ่งแปลกประหลาดมหัศจรรย์อีกแยะ ที่ยังไม่มีใครทราบคำตอบความลี้ลับ จะยังปรากฏอยู่ตราบ ที่ความรู้ยังมีเพียงน้อยนิดเมื่อเทียบกับสิ่งที่มีอยู่ในมิติแห่งนี้ทั้งหมด…..”สิ่งที่เรารู้ ยังมีที่สิ้นสุดแต่สิ่งที่เราไม่รู้นั้น มันหาที่สิ้นสุดบ่ได้”….
ความหมายของสี...ออร่า
สีของความคิดและอารมณ์ จะมีลักษณะเป็นหมอก มีความไหลปรากฏเป็นหย่อม ๆ จะเห็นได้ชัดเจนบริเวณรอบศีรษะเหนือบ่า มีสีสันต่าง ๆ เช่น
1.สีชมพู หมายถึงพลังที่แจ่มใส เต็มไปด้วยความรัก อารมณ์ขัน ถ่อมตน และสามารถปลอบ ประโลมผู้อื่น โรมแมนติค มักจะพบในเด็กและผู้ใหญ่ที่จิตใจดีมีเมตตาต่อเพื่อนมนุษย์ หญิงมีครรภ์และมีสีชมพู ออกมามากเช่นกันข้อเสียของคนทีมีแสงสีนี้คือมักจะใจคอโลเล
2.สีแดง เป็นสีที่แสดงถึงความทะเยอทะยาน เต็มไปด้วยพลังงาน มีความกระฉับกระเฉงและพลังทางเพศถ้าเป็นสีแดงมืดอาจหมายถึง อารมณ์ที่รุนแรงถ้าเป็นสีแดงสดใน หมายถึง ความภาคภูมิใจและทะเยอทะยานในทางที่ถูกที่ควร ถ้าสีแดงขุ่นเป็นพวกใจคอโหดร้าย
3.สีส้ม / แสด เป็นสีของความกระฉับกระเฉงว่องไว มีความสุข สุขภาพที่เต็มไปด้วยพลัง ถ้ามีแสงสีนี้มากเกิดไปจะกลายเป็นคนเย่อหยิ่ง สีนี้ยังเป็นสีที่ควบคุมการทำงานของกล้ามเนื้อด้วย สีส้มมัวหม่นหรือส้มปนน้ำตาล แสดงถึงปัญญาต่ำ ถ้าสีส้มแดงหมายถึงเย่อหยิ่ง อวดฉลาด
4.สีเหลือง เป็นสีที่มองเห็นง่ายที่สุดในออร่า เป็นสีของความฉลาด ความมีเมตตา มองโลกในแง่ดี รักเพื่อนมนุษย์นอกจากนั้นยังเป็นสีของภูมิคุ้มกันโรค สีเหลืองส้มแสดงถึงความฉลาดปราดเปรื่อง สีเหลืองขุ่นข้นแสดงถึงความอิจฉาริษยา หรือความคลางแคลงใจ
5.สีเขียว เป็นสีของจิตใจที่ละเอียดอ่อน มีความเข้าใจผู้อื่น นอกจากนั้นยังเป็นสีของความรักการเปลี่ยนแปลงการรักษาโรค ความสามารถในการใช้มือ และยังเป็นสีที่แสดงถึงความสมดุล ถ้าเป็นสีเขียวสดใสแสดงว่าเป็นคนปรับตัวเก่ง ใจดี ชอบอิสระ ถ้าเป็นสีเขียวมืดจะเป็นพวกขี้โกงขี้อิจฉา ถ้าเป็นสีเขียวอมฟ้า เป็นพวกชอบช่วยเหลือผู้อื่นไว้วางใจได้เข้าอกเข้าใจผู้อื่นและ แสดงถึงความสามารถ ในการรักษาโรค ถ้าเป็นสีเขียวขี้ม้าเป็น พวกชอบหลอกลวง ต้มตุ๋น ขี้โกง และขี้เหนียว
6.สีน้ำเงิน เป็นสีของความสงบและสัจจะ เป็นสีของการสื่อสาร พลังจิต ความฉลาด ความมีอุดมคติ ขยันขันแข็งและ ความสำเร็จ สามารถยืนหยัดอยู่บนของของตัวเอง มีความเชื่อมมั่นในตนเอง ซื่อตรง จริงใจและชอบช่วยเหลือผู้อื่น มักจะเป็นพวกสมถะ แต่ใจคอหงุดหงิดง่าย สีน้ำเงินขุ่นแสดงว่าทัศนวิสัยถูกปิดกั่น กลายเป็นคนขี้กังวล และขี้ลืม
7.สีคราม เป็นสีของพลังจิต สัมผัสที่ 6 โทรจิต ความฉลาดล้ำลึก ความคิดสร้างสรรค์และความเป็นหนึ่งเดียวกับธรรมชาติ มีความจริงใจ ชอบค้นหาสัจจะความจริงของชีวิต
8.สีม่วง เป็นพวกจิตใจละเอียดอ่อน เป็นตัวของตัวเอง มีสัมผัสที่ 6 ชองทางสมาธิและโน้มเอียงไปในทางศาสนาชอบเรื่องลี้ลับ คนส่วนใหญ่มักจะไม่ค่อยมีสีนี้ ผู้ที่มีสีนี้มักจะมีพลังจิตสูง แต่อาจมีปัญหาเกี่ยวกับบริเวณท้องเนื่องจากจักระช่วงบนพัฒนา ล้ำหน้าจักระชั้นล่าง
9. สีน้ำตาล เป็นสีที่แสดงถึงความคิดแคบ ๆ ไม่ยอมรับฟัง ความคิดเห็นของผู้อื่น เห็นแก่ตัว ชอบคุยแต่เรื่องของตัวเอง เป็นคนน่าเบื่อ สีน้ำตาลยังเป็นสีของจักระท้า พลังธรณี และอดีตที่ผ่านมา ข้อดีของสีนี้คือเป็นสีของความขยันขันแข็ง ความมีระเบียบ และอาจหมายถึงความมุ่งมั่นที่จะให้สู่จุดหมายและความสำเร็จ
10.สีดำ หมายถึง การสิ้นสุด ซึ่งในที่นี้อาจหมายถึง การสิ้นสุดของสถานการณ์หนึ่งเพื่อเปิดโอกาสให้สถานการณ์ใหม่เข้ามา อาจหมายถึงการเกิดใหม่ หรือความล่าช้าก็ได้ บางครั้งอาจหมายถึง โรคร้ายแรงหรือเรื้อรัง อิทธิพลมืดบางครั้งอาจหมายถึงการปกป้อง ตัวเองจากพลังภายนอก หรือคนผู้นั้นอาจจะมีความลับ ถ้าสีดำเกิดปะปนอยู่ในสีอื่น ๆ เช่น ปะปนอยู่กับสีแดง แสดงถึงความโกรธ เกลียด อาฆาต พยาบาท ถ้าปนกับสีเหลืองแสดงถึงความคิดชั่วร้าย ถ้าปนกับสีเขียวแสดงถึงความคิดหักหลัง อิจฉา
11.สีขาว เป็นแสงที่มีความสมดุล และสมบูรณ์แบบมากที่สุด จะปรากฏกับพวกนักบุญ พระหรือผู้ฝึกสมาธิวิปัสสนาสม่ำเสมอ ถ้าปรากฏเป็นเส้นแสงสีขาวผ่านเข้ามาในแสงอาจหมายถึง ข่าวสารจากมิติอื่นเข้ามา พวกที่เข้าทรงจะมีสีขาวเข้ามาในแสงในระหว่างการเข้าทรง ผู้ที่มีสีขาวปรากฏอยู่ในออร่า หมายถึงว่า กายแสงได้รับการชำระและฟอกให้บริสุทธิ์ หรืออาจหมายถึงสภาพจิตใจที่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และบริสุทธิ์
12.สีน้ำเงิน หมายถึง แรงบันดาลใจ หรือข่าวสารข้อมูลจากโลกวิญญาณ หรือจากมิติอื่น
13.สีทอง เป็นพลังของจักรวาลหรือพลังจากเทพที่เข้ามาช่วยถ่ายโรคออกจากร่างกาย
14.สีเทา เป็นพวกขาดจินตนาการ คร่ำครึ หัวโบราณ ยึดถือความคิดเป็นใหญ่ เจ้าระเบียบ ถ้าเป็นสีเทามืดยิ่งมืดทึบมากยิ่งแสดงถึงอารมณ์ที่เหี่ยวเฉา สลดหดหู่ คนพวกนี้มักจะว้าเหว่ ถ้ามีจุดมืดสีนี้ในแสงแสดงถึงความคิดแง่ลบ ได้แก่ ความเกลียด เคียดแค้น หรือแม้แต่อารมณ์ฆาตกร สีเทาค่อนไปทางสีเงิน แสดงถึงว่าสมองซีกขวาได้รับการกระตุ้นก่อให้เกิดจินตนาการและสัมผัสที่ 6
สีที่ไม่ค่อยปรากฏอยู่ด้วยกันคือ สีน้ำเงินกับสีแสด ถ้าใครมี 2 สีนี้อยู่ด้วยกันจะเป็นคนที่น่าอิจฉาเพราะสีน้ำเงินของความสงบและสีแดงเป็นสีของความสุข คุณจะมีแต่ความสงบสุขทางจิตใจ อันนี้มักจะพบในเด็กอายุต่ำกว่า 8 ขวบ และในผู้ใหญ่บางรายที่รักษาโรคด้วยพลังจิตพวกนี้มักจะมีความสดดุลทั้ง ร่ายกายและจิตใจทำให้มี 2 สีนี้ปรากฏอยู่ร่วมกัน สีพื้นฐานของออร่า
จะทราบได้อย่างไรว่าคุณมีสีพื้นฐานของออร่าเป็นสีอะไร
ในเมื่อออร่าเต็มไปด้วยสีสัน แต่ถ้าคุณมองแสงออร่าทั้งหมดแล้ว จะเห็นว่ามีสีใดสีหนึ่งเด่นชัดที่สุดในแสงโดยสีนี้จะปรากฏอยู่ตามที่ต่าง ๆ (แล้วมีสีอื่นเข้ามาเจือปน) สีนี้คือสีพื้นฐานของออร่า เป็นสีที่ไม่มีการเปลี่ยนแปลงตลอดชีวิต มันจะบ่งบอกถึงศักยภาพของตัวคุณเองว่าควรใช้ชีวิตอย่างไรเพื่อนำเอาศักยภาพนี้มาสร้างความสำเร็จและความสุขให้กับชีวิตของคุณ การคำนวณสีพื้นฐานของแสงออร่าในตัวคุณทำอย่างไร? ถ้าคุณยังไม่เคยเห็นแสงออร่าของตัวเอง คุณจะทราบได้อย่างไรว่าคุณมีแสงออร่าสีพื้นฐานเป็นสีอะไร
มีวิธีการคำนวณหาง่าย ๆ และผลที่ออกมามีความเชื่อถือได้มากพอสมควร ดังนี้
วิธีการคำนวณคือ
เอาวัน เดือน ปี ค.ศ. ที่เกิด มาบวกกัน ปีนี้ต้องเป็นปี ค.ศ.เท่านั้น ถ้าเป็นไม่ทราบว่าคุณเกิดปี ค.ศ.อะไร ก็ไห้เอา 543 ไปลบออก จากปี พ.ศ. ที่จะเกิด จะได้ปี ค.ศ. ที่ต้องการ เช่น คุณเกิดปี พ.ศ. 2503 เอา 543 ไปลบออกจะได้ปี ค.ศ.1960 สมมุติว่าคุณเกิดวันที่ 5 เดือน พฤษภาคม ค.ศ.1960 ก็เอาเลขทั้งหมดมาบวกกันให้ได้ผลลัพธ์เป็นเลขตัวเดียวดังนี้
5 5 + 1960 1970 = 1 + 9 + 7 10 = 17 1 + 7 = 8 เมื่อได้ผลลัพธ์เป็นเลขตัวเดียวแล้ว ขอให้ดูว่าตัวเลขที่ได้ตรงกับสีพื้นฐานสีอะไร มีความหมายอย่างไร ถ้าผลลัพธ์ที่ได้เป็นเลข 11 หรือ 22 คุณไม่ต้องเอา 1 + 1 หรือ 2 + 2 อีกเพราะเลข 11 และเลข 22 เป็นพวก “พิเศษ” กว่าผู้อื่น คือเป็นพวกมีแสงสีเงิน และสีทอง คราวนี้ขอให้มาดูผลลัพธ์ที่ได้ว่าคุณมีพื้นฐานตรงกับสีอะไร ผลลัพธ์เป็นเลขสีพื้นฐาน 1 แดง 2 ส้ม / แสด 3 เหลือง 4 เขียว 5 น้ำเงิน 6 คราม 7 ม่วง 8 ชมพู 9 ทองเหลือง 11 เงิน 22 ทอง 23
1.สีแดง ศักยภาพ : ผู้นำ พวกมีสีแดงเป็นสีพื้นฐาน มีความกระตือรือร้น เป็นผู้นำ เต็มไปด้วยพลังกระฉับกระเฉง มีเสน่ห์ สามารถพูดจาโน้มน้าว จิตใจผู้อื้นได้ดี เป็นคนสนุกสนาน โอบอ้อมอารี กล้าหาญ ทะเยอทะยาน มองโลกในแง่ดี ชอบการแข่งขัน เป็นสีที่นำมาซึ่งความสำเร็จ ! คุณควรหาอะไรที่ท้ายทายความสามารถโดยฟันที่จะเป็นนักกีฬาโอลิมปิก อย่างนี้มันเกินความสามารถมากไป ต้องพิจารณาให้พอเหมาะสม
ข้อเสีย มักจะขี้กังวล ตื่นตระหนก และอาจหลังตัวเอง รวมทั้งอาจจะบ้างานมากไปจนเครียดควรรู้จักพักผ่อน และคลายความเครียด
2.สีส้ม /แสด ศักยภาพ : มนุษยสัมพันธ์ดี คุณเป็นคนอบอุ่น น่าคบ เข้ากับคนง่าย ชอบเป็นที่ปรึกษาปัญหาให้ใครต่อใคร ชอบช่วยเหลือ และทำตัวให้เป็นประโยชน์อยู่เสมอ มีจิตใจเป็นสมถะ ชอบปิดทองหลังพระ คุณควรคบกับคนที่มีนิสัยคล้ายคลึงกัน ไม่งั้นคนอื่นจะเอาเปรียบคุณ
ข้อเสีย ขี้เกียจ ใจน้อย มักถูกคนอื่นเอาเปรียบ
3.สีเหลือง ศักยภาพ : มีความคิดสร้างสรรค์ ฉลาด คุณเป็นคนคิดอะไรรวดเร็ว มีความกระตือรือร้นอยู่เสมอเข้าสังคมง่าย ปรับตัวเก่ง ชอบคุยถกเถียงปัญหา ชอบเรียนรู้ และทำอะไรหลาย ๆ อย่างในเวลาเดียวกัน มีพรสวรรค์ด้านการพูด งานที่ทำควรเกี่ยวกับการพูดเป็นสื่อ เช่น ครู เซลล์แมน นักการทูต ที่ปรึกษา ฯลฯ หรืองานอาชีพที่ต้องใช้คำพูดเป็นหลัก เป็นคนฉลาดหลักแหลม และเรียนรู้อะไรได้รวดเร็ว
ข้อเสีย จับจด ขี้อาย โกหกเก่ง
4.สีเขียว ศักยภาพ : รักษาโรค (สีเขียวเป็นสีของการรักษาโรค) เป็นคนรักสงบ ชอบช่วยเหลือผู้อื่น จิตใจดี มีพลังจิต ไว้วางใจได้ คุณอาจมีลักษณะภายนอกหงิม ๆ หรือเรียบง่าย แต่ส่วนลึกแล้วดื้อน่าดู คุณเป็นพวกสู้งานหนักเอาเบาสู้
ข้อเสีย ดื้อรั้น ไม่รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
5.สีน้ำเงิน ศักยภาพ : เป็นได้ทุกอย่าง คุณเป็นพวกมองโลกในแง่ดี แม้ชีวิตจะลุ่ม ๆ ดอน ๆ ไปบ้าง แต่ยังยิ้มสู้เสมอ แสงออร่าของคุณจึงกว้าง และสว่างไสวเสมอ ทำให้กระซุ่มกระชวย ดูอ่อนกว่าวัย คุณมีความจริงใจ ซื่อสัตย์ ปากกับใจตรงกัน รักการผจญภัย มีความคิดสร้างสรรค์และมีจินตนาการชอบพบปะผู้คน และสนใจการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม มีพรสวรรค์หลาย ๆ ด้าน
ข้อเสีย ชอบทำงานหลาย ๆ อย่างในคราวเดียวกัน จึงกลายเป็นคนจับจด ทำอะไรไม่สำเร็จสักอย่างเดียว นอกจากนั้นยังเป็นพวกชีพจรลงเท้า และขาดความอดทนอีกด้วย
6 สีคราม ศักยภาพ : มีความรับผิดชอบสูง คุณชอบงานด้านสังคมสงเคราะห์ ช่วยเหลือผู้อื่น ชอบรับผิดชอบงานจิตใจโอบอ้อมอารี เป็นที่พึ่งของผู้อื่นได้ ไม่เห็นแก่ตัว
ข้อเสีย ปฏิเสธใครไม่เป็น ควรหาเวลาเป็นตัวของตัวเองบ้าง มีมาตรฐานการทำงานสูงจึงมักหงุดหงิดกับอะไร ๆ ที่ไม่ได้ตามมาตรฐานของตนเอง
7.สีม่วง ศักยภาพ : ฉลาดล้ำลึก และสันโดษ คุณมีจิตใจละเอียดอ่อน สนใจในศาสตร์ลึกลับจนบางครั้งดูเหมือนเป็นคนลึกลับ คุณมีประสาทสัมผัสที่ 6 รักสันโดษจนดูเหมือนคุณจะเข้ากับใครไม่ได้
ข้อเสีย มักดูถูกความคิดผู้อื่น และเก็บความรู้สึกมากเกินไป
8.สีมพู ศักยภาพ : นักบริหาร นักธุรกิจ คุณเป็นคนมีความตั้งใจจริง แต่ค่อนข้างดื้อรั้น วางมาตรฐานตัวเองไว้สูงมีความเด็ดเดี่ยว และมุ่งมั่นที่จะให้บรรลุเป้าหมายและความสำเร็จ อาชีของคุณ จึงต้องเกี่ยวกับการบริหารและความรับผิดชอบ ในส่วนลึกเป็นคนโรแมนติค และถ่อมตน รักความสงบ มีเมตตาขณะเดียวกันจะยืนหยัดต่อสู้อย่าง ไม่ยอมถอย ถ้าคุณรู้ว่าเป็นฝ่ายถูก
ข้อเสีย มุงานมากเกินไปจนเครียดควรหางานอดิเรกคลายเครียด
9.สีทองเหลือ ศักยภาพ : นักสังคมสงเคราะห์ คุณเป็นคนอ่อนโยน ชอบช่วยเหลือผู้อื่น เป็นทั้งนักปราชญ์และเป็นคนมีคุณธรรมเต็มเปี่ยม คุณมีความสุขมากที่สุดเมื่อได้ช่วยเหลือผู้อื่นโดยไม่หวังผลตอบแทน เป็นคนมีความสุขและมองโลกในแง่ดี
ข้อเสีย ปฏิเสธใครไม่เป็น จึงถูกเอาเปรียบบ่อย ๆ ควรรู้จักปฏิเสธบ้าง
11. สีเงิน ศักยภาพ : นักอุดมคติ คุณมีประสาทสัมผัสที่ 6 มีศักยภาพสูงในหลาย ๆ ด้าน เต็มไปด้วยความคิดแปลก ๆ ใหม่ ๆ ชอบฝันหวาน แต่คุณมักจะฝันมากกว่าลงมือทำจริง ๆ เป็นคนซื่อสัตย์มีความเชื่อมั่นในตัวเอง มองโลกในแง่ดีถ้ามุมานะสร้างความฝัน ให้เป็นจริงคุณจะไปได้ไกลมากทีเดียว
ข้อเสีย ขี้เกียจ และบางครั้งจะเครียดจนใคร ๆ ไม่กล้าเข้าใกล้ ควรหาเวลาพักผ่อน ฝึกสมาธิ หรือโยคะ
12.สีทอง ศักยภาพ : ไม่ขอบเขตจำกัด คุณสามารถทำเรื่องใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องเล็ก หรือทำงานใหญ่ให้กลายเป็นเรื่องปอกกล้วยเข้าปาก คุณจะประสบความสำเร็จ ไปแทบทุกเรื่อง เป็นคนมีเสน่ห์จูงใจ ทำงานหนักเอาเบาสู้ มีเป้าหมายในการทำงานที่แน่นอน มีอุดมคติและความสามารถสูง เป็นผู้นำสามารถโน้มน้าวจิตใจผู้อื่นได้
วิธีการคำนวณสีพื้นฐานนี้ไม่ได้ถูกต้อง 100 เปอร์เซ็นต์ แต่เชื่อได้พอสมควร สีของแสงออร่านั้น นอกจากจะมองเห็นด้วยตาแล้ว ยังสามารถมองเห็นได้ด้วยจิต สีที่ปรากฏมักจะแสดงถึงโรคหรือปัญหาการรักษาโรคด้วยวิธีการสัมผัสแสง เวลาสัมผัสจะมีทั้งสีและภาพปรากฏขึ้น สีและภาพนี้แม้ผู้สัมผัสจะเป็นผู้เห็นแต่ตัวผู้เข้ารักการรักษาเองจะเป็นผู้บอก
" ออร่า " แสงสีสะท้อนสุขภาพ
ร่างกายของมนุษย์นั้น ไม่ได้มีแต่เพียง “ กายเนื้อ ” ที่ปรากฏเห็นด้วยสายตาเท่านั้น ไม่ได้มีแค่ศีรษะ แขน ขา ลำตัว ฯลฯ หากแต่ยังมีองค์ประกอบอื่นๆ หลอมรวมอยู่เป็นหนึ่งเดียวอีกด้วย ที่สำคัญคือ สิ่งที่มองไม่เห็นเหล่านี้ยังสามารถพัฒนาและนำมาใช้ในการผดุงสุขภาพร่างกายได้อีกด้วย องค์ประกอบของร่างกายอื่นๆ ที่ว่า...คืออะไร “ ม.ล.อัคนี นวรัตน์ ” หนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้งสถาบันวิจัยและพัฒนาจิต ให้ข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า องค์ประกอบที่ว่านี้ก็คือ ออรา จักร และเส้นโคจรพลัง หรือที่เรียกว่า เส้นเมอร์ริเดียน แต่ในทีนี้จะอธิบายเฉพาะส่วนของออราเป็นสำคัญเท่านั้น
ออร่า คือสิ่งที่ดำรงอยู่ในธรรมชาติ ในภาษาวิทยาศาสตร์ คือ พลังแม่เหล็กไฟฟ้าที่สภาพเหมือนกับแคปซูลที่คลุมอยู่รอบตัวเรา ออรา สามารถเปลี่ยนแปลงได้ อาจจะขยายใหญ่ขึ้น อาจจะเข้มข้นขึ้นหรืออาจะเบาบางลงก็ได้ ซึ่งในผู้ป่วยที่ใกล้จะเสียชีวิต จะตรวจพบว่า พลังออราจะลดต่ำลงไปมากจนเกือบไม่มี และเมื่อเสียชีวิต พลังออราก็จะหมดไปจากร่างกาย
ออร่า มีความสำคัญต่อร่างกายอย่างไร ?
สิ่งสำคัญของมนุษย์มีทั้งหมด 4 อย่าง คือ ร่างกาย ออรา จักร และเส้นโคจรพลัง ถ้าทั้ง 4 ส่วน มีความสมบูรณ์ร่างกายก็จะแข็งแรง แต่ถ้าหากมีส่วนใดส่วนหนึ่งบกพร่องหรือย่อหย่อนไป จะทำให้เกิดปัญหาทางสุขภาพตามมาได้ ออรา เปรียบเสมือนแคปซูลที่ครอบคลุมร่างกายอยู่ สิ่งใดที่จะผ่านเข้าสู่ร่างกายก็จะต้องผ่านออราก่อน เมื่อใดก็ตามที่ออราไม่เข้มแข็ง มีตำหนิ มีรอยแตกหรือบางด้วยปัจจัยใดๆ ก็ตาม สิ่งที่ไม่ดีก็จะทะลุเข้าสู่กายเนื้อได้โดยง่าย จากนั้นก็ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพตามมา
ลักษณะของ แสงออร่า
เป็นแสงรัศมีที่ล้อมรอบกายหยาบอยู่ทุกทิศทาง แสงออร่ามี 3 มิติ คนที่มีสุขภาพแข็งแรง แสงออร่าจะเป็นรูปกลมรี หรือรูปไข่ล้อมรอบกายหยาบ ซึ่งคนทั่วไปมีแสงออร่าล้อมรอบประมาณ 8-10 ฟุต ผู้นำศาสนาโบราณสามารถแผ่รัศมีได้หลายไมล์ เป็นเหตุให้เขาสามารถชังจูงสานุศิษย์ชุมนุมในบริเวณที่เขาเดินทางไป
ยิ่งสุขภาพกาย สุขภาพใจดีเท่าไหร่ แสงออร่าก็ยิ่งมีความสั่นสะเทือนมาก และแผ่รัศมีได้ไกลขึ้น แสงออร่ายิ่งสั่นสะเทือนมาก เราจะยิ่งมีพลังทำสิ่งที่ต้องทำและอยากทำมากขึ้น และยิ่งได้รับผลกระทบจากพลังภายนอกน้อยลง แสงออร่ายิ่งอ่อน ยิ่งทำให้พลังภายนอกเข้ามาก่อกวนง่ายขึ้น ทำให้เราถูกครอบงำและเหน็ดเหนื่อยมากขึ้น แสงออร่าที่อ่อนแออาจส่งผลให้เราล้มเหลว เจ็บป่วย และไม่ประสบความสำเร็จในชีวิต
แสงออร่า หรือแสงรัศมีของคน มี 2 ลักษณะ แสงนั้นรวมถึงพลังจากกายทิพย์ด้วย กายทิพย์เป็นแนวพลังที่มีความเข้มแตกต่างกัน ล้อมรอบและแทรกซึมอยู่ในกายหยาบ มีหน้าที่สำคัญในการช่วยประสาน และดูแลกิจกรรมกายวิญญาณ ในกายหยาบ กายทิพย์เป็นเพียงส่วนหนึ่งของแสงออร่าเท่านั้น
คุณสมบัติของแสงออร่า
1. แสงออร่าของแต่ละคนมีความถี่ไม่เหมือนกัน
2. แสงออร่าของเราจะสัมพันธ์กับแสงออร่าของคนอื่น
3. แสงรัศมีของคนสัมพันธ์กับแสงรัศมีของสัตว์ พืช แร่ธาตุ และสิ่งอื่นๆ ด้วย
4. ยิ่งติดต่อกันใกล้ชิดและยาวนาน จะยิ่งมีการแลกเปลี่ยนพลังกันมากขึ้น
5. แสงออร่าและการเปลี่ยนแปลง มีผลต่อร่างกาย อารมณ์ จิตใจ และวิญญาณของบุคคล
การอ่านแสงออร่า
1. สีที่อยู่ใกล้ร่างกายมากที่สุดมักบ่งบอกถึง สภาพและพลังของร่างกาย สีที่อยู่ห่างออกไปบ่งบอกถึงอารมณ์ จิตใจ และจิตวิญญาณที่ส่งผลกระทบ ต่อสีของร่างกายได้
2. สียิ่งสดใสและเย็นตาก็ยิ่งดี สียิ่งหนาทึบและขุ่นมัวก็ยิ่งแสดงถึง ความไม่สมดุล การทำงานมากเกินไป และปัญหาที่เป็นไปได้อื่นๆตรง ตำแหน่งที่สีนั้นปรากฏอยู่
3. สีเข้มๆ แต่สดใสก็บ่งบอกถึงระดับพลังที่สูงได้เช่นกัน การมีสีเข้มไม่จำเป็นต้องไม่ดีเสมอไป
4. แสงออร่ามักมีมากกว่าหนึ่งสี โดยแต่ละสีจะบอกถึงเรื่องที่แตกต่างกันไป เราต้องเรียนรู้ว่าสีที่ต่างกันนี้ส่งผลอย่างไร และผลของสีที่ผสมกันเป็นอย่างไร
5. เมื่อเรามองเห็นออร่าผู้อื่น ให้จำไว้ว่า เรากำลังมองผ่านแสงออร่าของเราเอง และการอ่านออร่าคนอื่น จำเป็นต้องรู้จักออร่าตนเองก่อน ถ้าแสงออร่าเรามีเหลืองเป็นส่วนใหญ่ ความจริงของคนอื่นสีน้ำเงิน เราอาจเห็นเป็นสีเขียว ปรับเปลี่ยนไปตามจิตใต้สำนึก จึงอย่าด่วนสรุป
6. อย่าตัดสินใจคนด้วยสิ่งที่เห็นจากแสงออร่า
7. เรียนรู้การใช้จิตในการอ่านแสงออร่า สีและความชัดเจนบ่งบอกถึงสิ่งที่แตกต่างกันทั้งสิ้น
8. แสงออร่าเปลี่ยนแปลงอยู่บ่อยครั้ง อารมณ์ การใช้ร่างกายและจิตอย่างหนัก ส่งผลต่อแรงสั่นสะเทือนของสีและแสงออร่า แสงออร่าเปลี่ยนแปลงไปเมื่อเราอายุมากขึ้น เมื่อเราพัฒนาความสามารถในการมองแสงออร่า เราจะพบว่าแต่ละคนจะมีสีเด่นเพียงสีเดียว หรือหลายสีที่ปรากฏอย่างต่อเนื่อง ( แม้โทนสีอาจเปลี่ยนไป ) สีที่รองลงมาและความเกี่ยวข้องกันของสีหนักและสีรอง
9. สีและโทนสีที่เราเห็นมักจะเป็นสีเทาหรือน้ำเงินอ่อน ฝึกไปเรื่อยๆก็จะมองเห็นเอง อย่ากำหนดเวลาให้ตนเอง แต่ควรฝึกทุกวัน จะเห็นความเปลี่ยนแปลงภายใน 4-6 สัปดาห์ อย่างน้อยที่สุดเราจะเริ่มมองเห็นแสงออร่า แม้ว่าจะยังไม่เห็นสี
10. เมื่อเราพัฒนาความสามารถในการมองออร่า จำไว้ว่า เราไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่งกับพลังของผู้อื่นโดยไม่ได้รับอนุญาต เราต้องใช้ความสามารถในการมองออร่าอย่างมความรับผิดชอบ
แบบฝึกหัดให้เห็นแสงออร่า
1. การมองยอดขอบไม้ตัดกับท้องฟ้า
1.1 นอนหงายบนสนามหญ้าที่ไร้เมฆหมอก
1.2 มองต้นไม้ที่อยู่ไกลออกไป ไล่จากโคนไปยังยอดไม้
1.3 เพ่งเส้นขอบยอดไม้ที่ตัดกับท้องฟ้า อย่าเพ่งให้มากนัก ให้ทำสบายๆ พยายามดูรายละเอียดท้องฟ้าให้มากที่สุด แล้วเปลี่ยนเป็นมองผ่านๆ
1.4 เราเริ่มรู้สึกถึงความสลัวลางๆตรงเส้นขอบยอดไม้ ให้สังเกตเฉยๆ ะเห็นสีที่อ่อนใสกว่าสีท้องฟ้าไกลโพ้นล้อมเป็นกรอบ เห็นได้ชัดในฤดูใบไม้ผลิ เมื่อพลังชีวิตของต้นไม้ได้รับการกระตุ้น โดยมีพลังและการเติบโตจากรากถึงยอดไม้ เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของแสงออร่าของต้นไม้
2. การมองแสงออร่าของผู้อื่น
2.1 ให้เพื่อนยืนพิงพนังโล่งสีขาวๆ หากเริ่มฝึกให้ใช้ห้องที่มีแสงสลัว จะเห็นผลมากกว่า ตัวเรายืนหรือนั่งห่างออกไป 8-10 ฟุต แต่ต้องเห็นเพื่อนตั้งแต่หัวจรดเท้า รวมทั้งบริเวณรอบๆ ตัวเขาด้วย
2.2 เพ่งสายตาอยู่ที่หน้าผากของเพื่อน จากจุดนี้ให้มองรอบตัวเพื่อนตามเข็มนาฬิกา ทำให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้หลายๆ ครั้ง เพื่อเป็นการกระตุ้นโคนและรอบในดวงตา
2.3 กลับมาเพ่งที่หน้าผาก หรือที่จุดที่สูงที่สุดนานอีกประมาณ 15-30 วินาที
2.4 เปลี่ยนการเพ่งมองมาเป็นการมองรอบตัวเพื่อน แล้วสังเกตนิ่งๆ แสงออร่าที่ศีรษะและที่หัวไหล่มักปรากฏชัดกว่าที่อื่น ให้ทำซ้ำๆ เท่าที่จำเป็น เราจะเริ่มมองเห็นแสงออร่าของผู้อื่น
การเสริมพลังออร่า
1. สัมผัสแสงแดด
2. การออกกำลังกาย
3. อากาศบริสุทธิ์
4. การรับประทานอาหารน้อยๆ แต่บ่อยๆ การรักษาลำไส้ให้สะอาด
5. การทำสมาธิ
6. เสียงดนตรี / การร้องเพลง
7. กลิ่นหอม – เครื่องหอม / น้ำมันหอม / หญ้าหางหนูผสมกับหญ้าหวาน / กำยาน / กลิ่นการ์ดิเนีย
8. คริสตัล และหิน
การปกป้องแสงออร่า
เทคนิคที่ 1 การป้องกันไม่ให้สูญเสียพลัง
ปิดวงจรพลังของเรา ด้วยการนั่งไขว้ข้อเท้าและแตะนิ้วมือเข้าหากัน ( เพียงแตะนิ้วโป้งและนิ้วชี้ก็ได้ ) วงจรพลังของเราก็จะปิดลง พลังก็ไม่ออกนอกตัวเรา
เทคนิคที่ 2 การหายใจรับเพื่อพลัง
อากาศบริสุทธิ์และการหายใจอย่างถูกต้องเป็นสิ่งสำคัญ การ ฝึกหายใจ ที่เรียกว่า “ ไอดา-พิงกาละ ” และความสมดุลของการหายใจ เรียกว่า “ สุสุมนา ” ช่วยเพิ่มพลังให้แสงออร่าอย่างรวดเร็ว ทำให้ขั้วแม่เหล็กร่างกายสมดุล เพิ่มความจดจำข่าวสาร ทำให้สมองสองซีกสมดุล และกระตุ้นพลัง ระหว่างกัน เป็นการหายใจเข้าด้วยจมูกข้างหนึ่งกลั้นไว้ หายใจออกทางรูจมูกอีกข้าง ทำอย่างน้อยข้างละ 4-5 ครั้ง การทำเช่นนี้จะทำให้ พลังแทรกซึม ไปทั่วร่างกายและแสงออร่าได้เร็วขึ้น
เทคนิคที่ 3 กระแสวนเพื่อการชำระล้าง
ช่วยขจัดเศษซากพลังออกไป ทำให้ไม่มีการสะสมและสร้างความสมดุลขึ้นภายในแสงออร่า ใช้เวลาเพียง 5 นาที
1. นั่งลงและผ่อนคลายร่างกาย หายใจตามเทคนิคที่ 2 จะสวดมนต์ก่อนก็ได้
2. นึกถึงภาพดวงไฟเล็กๆ สีขาวใสหมุนวนเริ่มก่อตัวขึ้น เหมือนพายุทอนาโดลูกเล็กๆ ขณะที่เริ่มเป็นรูปกรวย ขยายดวงไฟให้ใหญ่ขึ้นพอที่จะล้อมรอบแสงออร่าของเราได้ ปลายกรวยเคลื่อนลงมาที่กระหม่อมไปตามฐานกลางของร่างกาย
3. ต้องหมุนตามเข็มนาฬิกา เมื่อสัมผัสกับแสงออร่าของเรา ให้นึกว่ากระแสนั้นดูดซับและเผาไหม้เศษซากพลังที่สะสมอยู่
4. ให้มองรู้สึกและจินตนาการว่า กระแสนี้ได้เคลื่อนลงมาผ่านแสงออร่าและตัวเราทั้งหมด เป็นการชำระล้างพลังจากภายนอกที่พอกพูนอยู่ตลอดวันให้หมดสิ้นไป
5. เมื่อกระแสวนนี้เคลื่อนผ่านตัวเรา ให้ปล่อยให้พลังนี้ออกไปจากตัวเราทางเท้าลงไปยังใจกลางโลก มองตามกระแสวนที่นำเศษซากพลังลงไปยังภพที่อยู่ต่ำลงไป เพื่อเอาไปใช้ประโยชน์แก่ชีวิตเบื้องล่างในโลกนี้
ออร่า.. คือ แสงสีที่เกิดจากเซลล์ต่างๆและอวัยวะส่วนสมองของเรา บ่งบอกถึงสภาวะจิต ความรู้สึกนึกคิด สุขภาพร่างกายของเราว่าเป็นอย่างไร ใครมีความคิดดี มีสมาธิดี มีสติปัญญาความขยันหมั่นเพียร มีความสดชื่นสดใส แสงออร่าก็จะแผ่กว้างออก ยิ่งมีพลังมากก็จะแผ่กว้างมาก ใครที่ไม่มีสมาธิ ขาดสติปัญญา แสงออร่าก็จะน้อยไม่มีพลัง ในทางวิทยาศาสตร์พิสูจน์ได้ว่า สมองของคนเรานั้นจะมีคลื่นพลังไฟฟ้าชนิดหนึ่งที่เปล่งรัศมีเป็นพลังอำนาจออกมา ขนาดความกว้างและความสว่างของแสงนั้นขึ้นอยู่กับคลื่นพลังสมองของผู้นั้น
แสงกายทิพย์ (Astral)
ร่างกายมนุษย์ ประกอบด้วยเซลล์ต่างๆเป็นพันล้านเซลล์ กลุ่มเซลล์จะจับกลุ่มประกอบกันเป็นอวัยวะต่างๆ เช่น ปอด ตับ ม้าม หัวใจ ฯลฯ ซึ่งจะทำงานสัมพันธ์กั นเป็นระบบร่างกายที่สมบูรณ์ดี มีพลังชีวิตเพื่อความเป็นอยู่ที่ปรกติ แต่เมื่อใดที่เซลล์เกิดบกพร่องเสื่อมเสีย บิดเบี้ยวผิดปกติ อวัยวะนั้นก็จะทำงานไม่สมบูรณ์ ไม่ดี ทำให้ร่างกายเจ็บป่วยไม่สบาย ซึ่งจะสะท้อนออกมาเป็นสีและแสงของ " กายทิพย์ " โดยจะปรากฏให้เห็นเมื่อถ่ายด้วยกล้องถ่ายภาพพิเศษ
กายทิพย์ และ ออร่า
ออร่าและกายทิพย์ ทั้งสองส่วนนี้มีความประสานสัมพันธ์กัน และเป็นเหตุเป็นผลซึ่งกันและกัน ลักษณะของแสงออร่าที่อยู่รอบร่างกายนั้น ยังมีลักษณะต่างๆที่สามารถบอกความโน้มเอียง หรือความน่าจะเป็นที่เกี่ยวข้องกับบุคคลอื่น หรือสิ่งแวดล้อมรอบข้างได้ ซึ่งมีรูปลักษณะของแสงแตกต่างกันดังนี้
- มีแสงเรืองรอบกายในลักษณะกระจายออกในทิศทางต่างๆ แสดงถึงความเป็นผู้มีพลังจิตดี เป็นคนดีมีคุณธรรม
- มีแสงกระจายออกเป็นหย่อมๆ เหมือนเมฆ เป็นคนขาดความมั่นใจในตัวเอง ขาดความกล้า ใจเสาะ
- มีแสงกระจายแหลมออกเหมือนขนเม่น เป็นคนคิดแต่เรื่องของตัวเอง เห็นแก่ตัว ไม่ช่วยเหลือใคร
- มีแสงเหมือนลักษณะแสงฟ้าผ่า เป็นคนมักมากในกามารมณ์ ฮิสทีเรีย
- มีแสงหลบข้างๆตัว เป็นคนชอบหลบซ่อนตัว ไม่กล้าสู้ความจริง พูดไม่จริง
- มีแสงหุ้มตัวเหมือนเปลือกแข็ง เป็นคนหนักแน่นมั่นคง มั่นใจในตัวเอง
- มีแสงเหมือนตะขอเกี่ยวเบ็ดตกปลา เป็นคนชอบฉวยโอกาส เอาเปรียบผู้อื่น
- มีแสงเหมือนหนวดปลาหมึก เป็นคนเห็นแก่ตัว มักได้ ไม่ยอมเสียสละ
ออร่าเป็นคลื่นพลังงานแม่เหล็กไฟฟ้าชนิดหนึ่งมีทั้งหมด 7 ชั้นรอบกาย ชั้นนอกสุดมีลักษณะเป็นรูปไข่ ออร่าประกอบด้วยคลื่นแสง สี เสียง อุณหภูมิ มีโครงสร้างและอวัยวะเหมือนกายเนื้อ
กายเนื้อของเรามีกระดูกไขสันหลังเป็นที่รวมของเส้นประสาทต่างๆที่ควบคุมการทำงานของกายเนื้อ และมีเส้นประสาทย่อยเชื่อมโยงไปยัง ส่วนต่างๆของร่างกาย กายแสงหรือออร่ามีแกนกลางซึ่งมีลักษณะเป็นเส้นๆซ้อนกันอยู่ในไขสันหลัง แกนกลางอันนี้เปรียบเสมือนสายเมนไฟฟ้า ซึ่งมีหน้าที่ปั่นและแจกจ่ายพลังงาน โดยมีจักระเป็นตัวปั่นพลังงานเข้าไปในกายแสงแต่ละชั้น จักระจะยึดติดอยู่กับท่อแกนกลางของกายแสงนี้
จักระ กงล้อดูดซับพลังงาน
จักระมีอยู่ด้วยกัน 7 จักระใหญ่ ซึ่งมีเป็นคู่ด้านหน้าและหลัง ยกเว้นจักระที่ 7 และจักระที่ 1 ซึ่งไม่มีคู่ ถ้ามองจากด้านข้าง จะเห็นจักระใน ลักษณะ เป็นกรวยหมุน แต่ถ้ามองจากด้านหน้าจะเห็นว่ามันมีลักษณะเป็นแผ่นกลมๆหมุน จักระมีลักษณะเป็นดอกบัวหมุน จักระแต่ละอันจะซ้อนกันอยู่ 7 ชั้น เพื่อปั่นพลังงานให้กับกายแสงที่ 7
ตำราส่วนใหญ่จะพูดถึงจักระว่ามีสี 7 สี ตามสีของรุ้งกินน้ำ คือ จักระที่ 7 สีม่วง จักระที่ 6 สีคราม จักระที่ 5 สีน้ำเงิน จักระที่ 4 สีเขียว จักระที่ 3 สีเหลือง จักระที่ 2 สีแสด และจักระที่ 1 สีแดง จริงๆแล้วจักระอาจจะไม่ได้มีสีสรรตรงตามทฤษฎี และถ้าคุณอ่านจากตำราของทิเบต จะเห็นได้ว่า สีของจักระอาจจะไม่ตรงกับตำราของฮินดู ทั้งนี้และทั้งนั้นอาจเป็นเพราะว่า จักระมีลักษณะที่ซ้อนกันอยู่หลายชั้น แต่ละชั้นอาจจะมีสีที่ต่างกันออกไปบ้าง
การทำงานที่สมดุลของจักระช่วยให้อวัยวะบริเวณที่จักระนั้นๆตั้งอยู่ทำงานได้เป็นปกติ ถ้าจักระใดทำงานไม่ปกติ อวัยวะของร่างกาย ในส่วนนั้นก็จะมีอาการไม่ปกติตามไปด้วย จักระรับพลังงานจากแกนกลางของออร่า แกนกลางของออร่ายังมีเส้นประสาทฝอย เชื่อมติดกับส่วนต่างๆ เส้นประสาทย่อยของออร่า คือเส้นเมอร์เดียน ซึ่งมีลักษณะเป็นเส้นสีขาวนวล
พลังงานในออร่ามาจากไหน
คลื่นพลังงานที่ปั่นในออร่ามาจากหลายแห่ง เราสามารถรับคลื่นพลังงานได้จากธรรมชาติรอบข้าง จากสภาพแวดล้อม คนใกล้เคียง สัตว์ สิ่งของ และที่สำคัญมากคือลมปราณ ซึ่งมีอยู่ทั่วไปในบรรยากาศ ลมปราณมีลักษณะเป็นจุดประกายไฟฟ้าเล็กๆวิ่งวนไปมาในอากาศ ถ้ามองดูท้องฟ้าจะสังเกตเห็นประจุประกายไฟฟ้าจุดเล็กๆ เต็มไปหมด
เรารับเอาลมปราณเหล่านี้เข้ามาปั่นพลังงานในกายแสง ยิ่งเรารับลมปราณได้มากเท่าไหร่ เรายิ่งมีพลังงานมากขึ้นเท่านั้น แสงออร่าเรา จะสว่างสดใสขึ้น เมื่อลมปราณเข้ามาแล้ว จะถูกแจกจ่ายไปตามส่วนต่างๆของกายแสง เมื่อไรก็ตามที่แกนกลางของออร่า หรือจักระ หรือเส้นเมอร์เดียนทำงานผิดปกติติดขัด ลมปราณจะเดินไม่สะดวก สุขภาพร่างกายของเราก็จะแย่ไปด้วย
ตำราด้านการรักษาโรคส่วนใหญ่จะให้ความสำคัญกับจักระอย่างมาก แต่ถ้าเราดูจากลักษณะโครงสร้างของออร่าแล้ว การรักษาโรคน่า จะทำได้หลายวิธี ขึ้นอยู่กับว่าส่วนไหนในกายแสงที่เป็นโรค เช่น ถ้าลมปราณติดขัดในเส้นเมอร์เดียน การเดินเส้นเมอร์เดียนใหม่จะช่วยให้ลมปราณเดินสะดวกขึ้น อาการปวดเจ็บกล้ามเนื้อในบริเวณนั้นอาจหายไป ถ้าเป็นการบกพร่องของจักระ ให้รักษาที่จักระ ถ้าเป็นการเสียสมดุลของคลื่นพลังงานรอบกายแสง เราสามารถใช้มือลูบแสงออร่าเราใหม่เพื่อจัดให้มันเข้าที่และปรับสมดุลได้ และในกรณีที่เป็นโรคร้ายแรงหรือเรื้อรัง คุณอาจจะตรวจสอบ เส้นแกนกลางของออร่าว่าเป็นอย่างไร เส้นแกนกลางออร่านี้ บางตำรากล่าวว่าเป็นการรักษาโรคทีได้ผลดีที่สุด แกนกลางอันนี้เป็นที่เก็บสะสม ความทรงจำที่เจ็บปวด ความรู้สึกฝังใจหลายๆอย่างไว้ที่นี่
ตัวเรามีระบบบันทึกข้อมูลความทรงจำ ความเจ็บปวดต่างๆของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นตามเซลล์ในร่างกาย ในไขสันหลัง กระดูก นอกจากนี้ความทรงจำที่เจ็บปวดยังถูกจารึกไว้ในคลื่นพลังงานรอบกาย ในจักระ และเมื่อมากเข้าก็จะส่งข้อมูลไปยังแกนกลางของออร่า เมื่อเส้นแกนกลางรับไม่ไหว ร่างกายจะทรุดทันที
การรักษาโรคในเส้นแกนกลางของออร่า
บ่อเกิดของโรคที่ทำให้ไขสันหลังหรือแกนกลางของออร่ามีปัญหาก็คือ ความคิดความเจ็บปวดทางอารมณ์ที่ถูกบันทึกไว้ และเก็บกดไว้เป็น เวลานาน ความคิดเหล่านี้จะบั่นทอนความมั่นคงของแกนกลางออร่า คลื่นพลังงานจะผ่านไม่สะดวก การรักษาโรคบริเวณนี้จึงต้องเป็น การชำระล้างและขจัดข้อมูลความคิดเหล่านี้ออกไป ซึ่งทำได้หลายวิธี เช่น
1. การทำสมาธิ
การทำสมาธิจะช่วยให้เกิดคลื่นพลังงานทางบวกที่จะเข้าไปขับเคลื่อนและแทนที่ข้อมูลทางลบที่ติดอยู่ในแกนกลางและรอบๆกายแสง ให้ออกไป การที่จะรักษาสมาธิได้ เราต้องดูแลรักษา กาย วาจา และใจ การรักษาทั้ง 3 อย่างนี้ ทำให้แสงออร่าเปลี่ยนไป เกิดความสว่างไสว จักระทำงานได้ดีขึ้น กายแสงรับลมปราณได้มากขึ้น ปฏิกิริยาทั้งหมดเหล่านี้จะไปชะล้าง เอาความสกปรกในเส้นแกนกลาง และขับเคลื่อนข้อมูลแนวลบที่ถูกบันทึกไว้ให้เคลื่อนตัวออกไป จึงไม่เป็นที่น่าแปลกใจเลยว่า ผู้ที่ฝึกสมาธิสม่ำเสมอสามารถหายขาดจากโรคที่เป็นได้ สมาธิช่วยรักษาโรคให้ตัวเองได้
2. ให้ผู้อื่นรักษาโรคในคลื่นแสงออร่าของเรา
ผู้ที่มีพลังจิตสูงสามารถดึงเอาคลื่นพลังงานติดค้างเหล่านี้ออกจากเส้นแกนกลางกายได้ ทำให้หายจากโรคที่เป็นอยู่อย่างรวดเร็วมาก โรคที่สามารถหายขาดจาก การรักษาด้วยวิธีนี้จะรวมถึง มะเร็ง อัมพาต และโรคร้ายแรงและเรื้อรังอื่นๆ ด้วย
3. การนวดในหลายๆรูปแบบ
การนวดตรงบริเวณไขสันหลังจะช่วยให้ความทรงจำเหล่านั้นค่อยๆเคลื่อนตัวออกทีละน้อย ในประเทศตะวันตก การนวดที่พบว่า มีผลในการรักษาโรค ได้แก่
วิธีการบำบัดเรียกว่า " ซีโร่ บาล้านซิ่ง " ( Zero Balancing ) คิดค้นโดยแพทย์ชาวอเมริกันชื่อ ดร.ฟริกซ์ สมิธ ( Dr. Fritz Smith ) เป็นวิธีการที่ผสมผสานแนวความคิดเกี่ยวกับคลื่นพลังงานของทางตะวันออก และวิทยาศาสตร์ทางด้านสรีระของทางตะวันตกเข้าด้วยกัน ดร.ฟริกซ์กล่าวว่า คลื่นพลังงานของเรามีสรีระโครงสร้างทุกอย่างเหมือนกายเนื้อ การนวดจุดต่างๆ บนร่างกายจะช่วยให้คลื่นพลังงานและโครงสร้างของร่างกายปรับระดับให้สมดุลย์กัน
ดร.ฟริกซ์ กล่าวต่อไปอีกว่า กระดูกเปรียบเสมือนแกนในสุดที่สะสมความรู้สึกทางกายเนื้อ อารมณ์ความทรงจำต่างๆ เอาไว้ ดังนั้นใน การบำบัดวิธีนี้ ผู้บำบัดจะต้องทำจิตให้สงบ ไม่มีการพูดคุยกันระหว่างการบำบัด เพื่อป้องกันไม่ให้คลื่นความคิดของผู้บำบัด เข้าไปในคลื่นของผู้ป่วย
การนวดแบบ " รอล์ฟฟิ่ง " ( Rolfing ) ตรงบริเวณไขสันหลัง จะช่วยให้เซลล์ที่บันทึกข้อมูลความทรงจำในอดีต คลายความรู้สึกอันนั้นออกมา ซึ่งสามารถมองเห็นได้ในออร่า
สรุปว่าการรักษาเส้นแกนกลางหรือไขสันหลังของออร่านี้ทำได้หลายวิธี อาจจะรักษาด้วยการหมั่นทำสมาธิ เพื่อเปลี่ยนคลื่นพลังงานใหม่ให้ตัวเอง หรือให้ผู้มีพลังจิตดึงออก หรือด้วยการนวด เป็นต้น
นอกจากคุณสมบัติต่างๆ ของออร่าที่กล่าวถึงไปแล้ว ออร่ายังปรากฏในลักษณะของ คลื่นพลังงานที่ไหลหมุนวนไปมามีลักษณะเหมือนเลข 8 แนวนอน การไหลหมุนวนของคลื่นพลังงานในลักษณะนี้ ช่วยให้การทำงานของสมองซีกซ้ายและขวา ทำงานได้สมดุลยิ่งขึ้น
ถ้ารู้สึกว่าสมองตื้อและคิดอะไรไม่ออก เราอาจจะปรับคลื่นพลังงานให้ตัวเองได้ใหม่ด้วยวิธีการง่ายๆ เช่น การใช้มือวาดรูปเลข 8 แนวนอนให้กับ แสงออร่า โดยการเหยียดแขนไปข้างหน้าทั้ง 2 ข้าง งอเข่าลงเล็กน้อย แล้ววาดเลข 8 แนวนอนด้วยแขนทั้ง 2 ข้าง พร้อมกับโยกตัวตามไปด้วย จะช่วยให้คลื่นพลังงานสามารถปรับระดับให้เกิดการสมดุลได้อย่างดี ถ้าวาดแล้วร่างกายมันแข็งๆทื่อๆไม่อ่อนไหวไปตามรูป อาจเป็นเพราะคลื่นพลังงานรอบกายมีการติดขัด ต้องหมั่นปรับคลื่นให้เข้าสู่ภาวะสมดุล
ลักษณะแสงออร่าที่มองเห็นได้
แสงออร่ารอบกายมนุษย์นี้เราอาจจะเห็นไปได้ในหลายลักษณะ แสงสีที่เห็นอาจจะมีความไม่ตรงกันนัก เพราะเราต้องมองผ่านแสงออร่าของเราเอง จึงเกิดการกรองแสงก่อนที่จะเข้าสู่ตาเรา นอกจากนั้นบางคนอาจจะเห็นทีละชั้น บางคนอาจจะเห็นทีละหลายชั้น บางคนอาจจะเห็นใน ลักษณะของคลื่นพลังงานที่หมุนปั่นอยู่รอบกาย บางคนอาจจะเห็นหลายชั้นซ้อนๆ กันอยู่มีลักษณะคล้ายๆ เงาสีเทาๆ หลายชั้นซ้อนกัน โดยไม่มีสีสัน ลักษณะออร่าจะเป็นไปในหลายๆ รูปแบบทั้งเป็นคลื่นพลังงานหมุนปั่น ทั้งชั้นแสงที่ไม่มีสีหลายชั้นซ้อนกัน หรือชั้นที่มีแสงสี หรือบางครั้งเห็นเฉพาะแสงชั้นที่ 6-7 เป็นรูปไข่สีทองรอบนอกและมีสีเหลืองปนชมพูภายใน
ผู้ที่มีความสามารถในการมองเห็นแสงออร่าทั้ง 7 ชั้นอย่างละเอียดคือ นางบาร์บาร่า แอน เบรนแนน เพราะเธอเป็นผู้เดียวที่เขียนแยกแยะเรื่องแสง 7 ชั้นได้อย่างละเอียดที่สุด
ทำอย่างไรจึงจะเห็นแสงทั้งหมดได้รวดเร็ว
เมื่อเริ่มเห็นแสงชั้นที่ 1 แล้ว ให้จับจากขอบชั้นที่ 1 แล้วดูชั้นที่ 2 ทำอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆ มันจะค่อยๆเป็นไปทีละนิด สำหรับผู้ที่ฝึกสมาธิอาจ ใช้วิธีกำหนดจิต ขอให้เห็นแสงได้ แต่มักจะไม่เห็นภายในทันทีทันใด อาจจะเป็นหลายวันหลังจากนั้น ก็จะเห็นขึ้นมาเอง นอกจากนั้นก็อาจจะเห็นแสงในขณะที่จิตใจปลอดโปร่ง
ระยะห่างในการมองก็มีผลเช่นกัน ถ้าจะดูแสงของผู้อื่น ควรให้ผู้นั้นนั่งห่างจากเราประมาณ 5-6 ฟุต สภาพจิตใจควรจะมีความสบาย ถ้าเครียดหรือ “ตั้งใจเกินไป” ก็จะไม่เห็น และต้องปรับสายตาให้เบลอๆ แบ็คกราวด์ที่ใช้ดูแสงควรเป็นสีอ่อนๆ ไม่มีลวดลาย เวลาดูแสงให้ดูไปรอบๆร่างรอบๆใบหน้า
เราจะเริ่มเห็นแสงชั้นที่ 1 ซึ่งมีลักษณะสีน้ำเงินอมเทาจางๆ คล้ายเงา จากนั้นให้จับขอบแสงชั้นที่ 1 เพื่อดูชั้นที่ 2 จะเห็นสีสรรของชั้นที่ 2 เมื่อฝึกดูไปเรื่อยๆจะพบว่า เวลามองใครต่อใคร เราจะเห็นคนเหล่านั้นในลักษณะที่เรืองแสง อาจจะไม่เห็นสีสรร แต่จะเห็นลักษณะของ ความเรืองแสงของมนุษย์ เราอาจจะใช้วิธีเดียวกันดูสัตว์พืช และสิ่งของ จะเห็นความเรืองแสงของสัตว์ พืช และสิ่งของ มนุษย์จะมีความเรืองแสงมากที่สุด
ถ้าที่บ้านมีอ่างอาบน้ำ เวลานอนแช่น้ำในอ่างหลังจากฟองสบู่เริ่มจางแล้ว เราสามารถมองดูแสงของตัวเองในน้ำได้ อาจจะเริ่มจากมือ เท้า หรือแขน ขา จะเห็นแสงรอบๆ ส่วนเหล่านี้ได้ง่าย
เราจะมองเห็นจักระในกายแสงได้หรือไม่ ?
เราจะมองเห็นได้หลังจากมองเห็นแสงออร่าได้แล้ว ลักษณะเป็นแผ่นกลมๆหมุนปั่น แต่ละจักระจะมีชั้นสีต่างๆ
การเห็นแสงออร่าตลอดเวลาไม่ได้ทำให้จิตใจสบายขึ้น ในทางตรงกันข้ามคุณอาจจะรู้สึกว้าวุ่นกับสิ่งที่เห็น จึงควร “ปิด” การเห็นเป็นระยะๆ มิฉะนั้นจักระที่ 6 ( ตาที่ 3 ) จะแย่ อาจจะเป็นโรคนอนไม่หลับเรื้อรัง เพราะตาที่ 3 เปิดกว้างอยู่ตลอดเวลา จึงควร “ปิด” ตาที่ 3 เมื่อคุณไม่มีความจำเป็นที่จะมองแสง
บางคนอาจจะมองเห็นแสงชั้นใดชั้นหนึ่งได้อย่างละเอียด โดยเฉพาะถ้าสนใจและเจาะจงที่จะศึกษาแสงเฉพาะชั้นนั้นๆ บางคนสนใจเรื่อง จักระก็อาจจะเห็นจักระได้ละเอียด แต่เห็นแสงออร่าได้อย่างหยาบๆ บางคนก็อาจจะชอบมองรวมๆ กันไปโดยไม่ได้สนใจเจาะจงรายละเอียด ดังนั้นเรื่องการเห็นแสงออร่า เห็นมากเห็นน้อย เห็นบ่อย หรือไม่เห็นเลยจึงเป็นเรื่องเฉพาะตัว นอกจากนั้นสีสรรที่เห็นและความหมายอาจเป็นเรื่องเฉพาะตัว และขึ้นอยู่กับความแตกต่างของวัฒนธรรมอีกด้วย
ภาพในแสงออร่าคือภาพจริงใช่หรือไม่ ?
ในออร่าจะมีภาพบางภาพติดอยู่ซึ่งภาพเหล่านี้อาจเกิดจากความคิดที่เกี่ยวกับเรื่องงาน ความรัก ความสัมพันธ์กับผู้อื่น บางครั้งภาพที่ติดอยู่อาจ คล้ายคลึงกับภาพที่จิตใต้สำนึกสร้างขึ้นมาในความฝัน อย่างไรก็ตามภาพบางภาพที่ปรากฏอยู่ในแสงออร่าอาจจะเกี่ยวกับโรคที่เป็นอยู่ เหตุการณ์ในอดีตที่ยังติดตรึงใจความทรงจำ หรือแม้แต่ภาพของเจ้ากรรมนายเวร