ธุรกิจบน Internet ค้าขายด้วย E-Commerce

ธุรกิจบน Internet ค้าขายด้วย E-Commerce

ปัจจุบัน IT หรือ เทคโนโลยีสารสนเทศได้เข้ามามีบทบาทในการดำรงชีวิตและ การดำเนินธุรกิจ โดยที่มีผลพลอยได้มาจากการพัฒนาการใช้งาน ระบบเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ทำให้เกิดเครือข่ายสารสนเทศขนาดใหญ่ ที่มีการเชื่อมโยงไปทั่วทุกมุมโลก ความสามารถใน การนำเทคโนโลยีสารสนเทศ มาประยุกต์ ให้เข้ากับธุรกิจที่มีอยู่จะทำให้ประสิทธิภาพการทำงานสูงขึ้น จะเห็นได้ว่าในปัจจุบัน ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี มีส่วนช่วยในการสนับสนุนกระบวนการต่างๆ ในระบบธุรกิจ การใช้อินเทอร์เน็ต ในทางธุรกิจที่เรียกว่า อิเล็กทรอนิกส์คอมเมอร์ซ (Electronics commerce) ได้ส่งผลให้รูปแบบการค้า การติดต่อสื่อสารระหว่างธุรกิจ และ การทำธุรกรรมการค้าเปลี่ยนโฉมหน้าไปมาก อินเทอร์เน็ต เป็นเครื่องมือในด้านการตลาดที่มีความรวดเร็วในการตอบสนอง ความต้องการของลูกค้า ซึ่งเห็นได้ว่า มีความพยายามที่จะผลักดันให้เกิด รูปแบบการค้าและ การซื้อขายสิ้นค้าผ่านอินเทอร์เน็ต ในเป็นที่นิยมในวงกว้างขึ้น และ ได้มีการส่งเสริมจากภาครัฐให้เกิดพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อรับรองการขยายตัว ทางด้านการใช้เทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต

หลักการทำธุรกิจบนอินเทอร์เน็ต

ผู้ประกอบการต้องศึกษารายละเอียดเกี่ยวกับอินเทอร์เน็ต รวมทั้งกำหนดจุดประสงค์หรือ นโยบายในการทำเว็บ เช่น การบริหาร การประชาสัมพันธ์ การหารายได้จากสินค้า และ การบริการ เป็นต้น ในการทำเว็บ ต้องมีการเตรียมเนื้อหาให้ดึงดูดผู้ที่จะเข้ามาดูเว็บ ให้เกิดความสนใจ และ ควรจะมีการกำหนด กลุ่มเป้าหมายเพื่อให้ส่วนต่างๆ ของเว็บได้รับการตอบสนองเป็นอย่างดี วิธีในการทำเว็บสามารถศึกษาและ ทำเองหรือ จ้างผู้เชี่ยวชาญทำการออกแบบและ ติดตั้งให้แบบครบวงจร หลังจากที่มีการทำธุรกิจแล้ว ต้องมีการเตรียมการในการปรับปรุงข้อมูลในเว็บรวมทั้งคอยฟังข้อติชมของผู้ที่เข้ามาดูเว็บ เพื่อที่จะได้นำมาแก้ไขให้เว็บน่าดูยิ่งขึ้น

ธุรกิจบนอินเทอร์เน็ต มีอะไรบ้าง

ปัจจุบันมีธุรกิจหลายประเภทที่ได้เริ่มมีการทำธุรกิจบนอินเทอร์เน็ต โดยที่เราสามารถแบ่งประเภทของธุรกิจได้ดังนี้

1 ธุรกิจขายตรง สิ่งที่สำคัญในธุรกิจขายตรง คือการบริการและ ดูแลลูกค้าในต่างประเทศ ธุรกิจขายตรงเริ่มมีการใช้อินเทอร์เน็ต เป็นสื่อในการติดต่อระหว่างทีมงาน เป็นที่รับรายการสั่งซื้อของลูกค้าหรือ ตั้งเว็บเพื่อสนับสนุนข้อมูล ให้กับตัวแทนขายสินค้าและ ลูกค้าทำให้สามารถกระจายฐานลูกค้าได้กว้างขวางขึ้น

2 ร้านขายหนังสือ ในต่างประเทศได้มีการทำธุรกิจขายหนังสือผ่านทางอินเตอร์เน็ต เช่น Amazon.com เป็นร้านหนังสือที่ใหญ่ที่สุดบนอินเทอร์เน็ต สามารถทำกำไรจากการขายหนังสือบนอินเทอร์เน็ต ได้ปีละหลายร้อยล้านบาท ส่วนในเมืองไทย เริ่มมีเว็บขายหนังสือบนอินเทอร์เน็ต หลายราย เช่น Thaiamazon.com หรือ ร้านหนังสือจุฬาก็มีเว็บที่ขายหนังสือผ่านอินเทอร์เน็ต

3 ธุรกิจร้านค้าอาหาร ในเมืองไทยที่เริ่มมีเว็บที่สามารถสั่งอาหารทางอินเทอร์เน็ต เช่น พิทซ่าฮัทได้เริ่มเป็นรายแรก ตามมาด้วย KFC ซึ่งก็ตามมาติดๆ จากนี้คงมีเว็บที่สามารถสั่งอาหารบนอินเทอร์เน็ต ตามมาอีกหลายราย

ข้อดีในการทำธุรกิจบนอินเทอร์เน็ต

1 ช่วยเพิ่มข่องทางการจัดจำหน่าย ในการทำธุรกิจบนอินเทอร์เน็ต สามารถเพิ่มช่องทางสำหรับ การกระจายและ ขายสินค้าและ ยังสามารถทำการส่งเสริมการขายได้ง่าย เนื่องจากมีผู้ใช้งานอินเทอร์เน็ต อยู่เป็นจำนวนมาก

2 สามารถให้บริการข้อมูล ข่าวสาร และ การบริการที่ทันสมัยให้กับผู้สนใจอย่างรวดเร็ว พร้อมด้วย การสืบค้นข้อมูลที่รวดเร็ว อินเทอร์เน็ต สามารถให้บริการได้ตลอด 24 ชั่วโมงทั้ง 7 วัน โดยที่ไม่ต้องมีการพักทำให้สามารถทำธุรกิจบนอินเทอร์เน็ต ได้ตลอดเวลา

3 ลดต้นทุนการทำธุรกิจ การทำธุรกิจบนอินเทอร์เน็ต สามารถลดต้นทุนทางธุรกิจได้หลายๆ ด้าน เช่น ด้านการขายและ การตลาด บริษัทไม่จำเป็นต้องจ้างพนักงานขายหรือ พนักงานบริการลูกค้าเป็นจำนวนมาก พนักงานที่มีอยู่สามารถขยายสาขาหรือ ศูนย์บริการไปหลายๆ ที่ โดยที่ไม่จำเป็นต้องเพิ่มพนักงานบริษัทซึ่งจะช่วยลดต้นทุนของบริษัทลง 4 ช่วยเพิ่มการประชาสัมพันธ์สินค้าและ บริการ อินเทอร์เน็ต สามารถนำเสนอสินค้าที่เป็นเอกลักษณะของท้องถิ่นหนึ่งให้คนอีกที่หนึ่งได้รู้จัก เช่น ในเมืองไทยสามารถโฆษณาสินค้าหัตถกรรมต่างๆ เช่น ไม้แกะสลัก เครื่องเงิน ให้กับคนต่างประเทศได้รู้จักก่อนที่จะพัฒนาเป็นการทำธุรกิจต่อไป

รูปแบบการทำธุรกิจออนไลน์

เว็บไซต์ Website

ถ้าคุณมีสินค้าพร้อมอยู่แล้วและเมื่อคิดจะเริ่มธุรกิจออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ ขายสินค้าผ่านออนไลน์ สิ่งสำคัญอันดับแรกที่จะต้องมี Website เพราะการมีเว็บไซต์เป็นความน่าเชื่อถือในตัวสินค้าจากลูกค้าได้ อีกทั้งยังสามารถบริหารจัดการทุกๆ ส่วนได้ด้วยตัวเอง ในปัจจุบันการทำเว็บไซต์ขึ้นมาสักเว็บหนึ่งไม่ได้เป็นปัญหาอีกต่อไป เพราะคุณสามารถเรียนรู้และทำได้เอง โดยศึกษาวิธีการสร้างเว็บไซต์จากหนังสือ หรือจาก Youtube ที่มีผู้ทำ How to ไว้อยู่แล้ว แต่ทางออกที่ง่ายที่สุด คือ ใช้บริการเว็บไซต์ออนไลน์สำเร็จรูปที่มีบริการอยู่หลายแห่ง

Social Media

เป็นสื่อในสังคมออนไลน์ที่ปัจจุบันคนไทยต่างนิยมใช้งานกันมากและมีการใช้งานในรูปแบบการสื่อสารสองทาง (Interactive) ซึ่งผู้ใช้งานสามารถเข้าถึง Social Media ประเภทต่างๆ ได้อย่างสะดวกและรวดเร็ว สามารถเข้ามาแบ่งปันความรู้ ข้อมูล ข่าวสารต่างๆ ให้แก่กันได้อย่างอิสระและสามารถโต้ตอบแสดงความคิดเห็นกันได้อย่างทันทีทันใด ทำให้ไม่พลาดทุกการสื่อสาร

ดังนั้นจึงจะพบเห็นการทำการธุรกิจออนไลน์บนพื้นที่สังคมออนไลน์อยู่อย่างต่อเนื่อง หรือที่เรียกว่าทำการตลาดแบบ Social Media Marketing (SMM) คือ การทำการตลาดบนสังคมออนไลน์ เพราะจะเป็นตัวช่วยที่ทรงประสิทธิภาพมากในการโปรโมทเว็บไซต์ของคุณได้นะคะ

หลังจากที่คุณมีเว็บไซต์เป็นของตัวเองเรียบร้อยแล้ว การทำ Social Media Marketing นี้จะช่วยดันให้เว็บไซต์ของคุณขยับขึ้นไปอยู่ในอันดับที่ดีขึ้นในเว็บไซต์ของ Google ได้ ข้อดีของการทำการตลาดบนสังคมออนไลน์นี้ยังสามารถเข้าถึงลูกค้าได้ตรงตามกลุ่มเป้าหมาย รวดเร็วทันใจ และช่วยในการ PR หรือประชาสัมพันธ์ เพราะมีระบบการแชร์ที่กระจายข้อมูลให้คนรู้ในวงกว้างและเกิดการบอกต่อในหมู่มากได้อย่างง่ายดาย ซึ่งการทำการตลาดแบบ Social Media Marketing ก็ไม่ได้ทำได้แค่ในเฉพาะเว็บไซต์ Facebook , Twitter เท่านั้น แต่ยังสามารถโปรโมทเว็บไซต์หรือแบรนด์สินค้าผ่านทาง Youtube, Flickr หรือ Blog ต่างๆ ได้ด้วย แนะนำค่ะอย่าง Blog ก็เป็นช่องทางหนึ่งที่คุณสามารถเขียนบทความต่างๆ ได้โดยง่าย โดยที่คุณไม่จำเป็นต้องรู้ภาษา HTML คุณก็สามารถทำได้แล้ว ปัจจุบันก็จะพบอยู่ 3 รูปแบบด้วยกัน คือ

1 .Executive Blog การใช้บล็อคที่เขียนด้วยผู้บริหารระดับสูง เรียกว่า CEO Blog อันนี้เป็นการสร้างความใกล้ชิดกับลูกค้าค่ะ

2. Company Blog การใช้บล็อคโดยตัวแทนของบริษัท บอกสิ่งที่เป็นไปหรือสิ่งที่เกิดขึ้น ข้อดีของบล็อคลักษณะนี้สามารถใช้เป็นเครื่องมือในการสร้างแบรนด์ นำเสนอภาพลักษณ์ บอกเล่าความเป็นตัวตนของบริษัทได้ค่ะ

รูปแบบสุดท้ายน่าจะเป็นรูปแบบของการใช้ Blog ในการทำธุรกิจออนไลน์ขนาดเล็กได้อย่างเหมาะสมที่สุดนะคะ เพราะเป็น Product Blog คือ การใช้บล็อคอย่างเฉพาะเจาะจงที่ให้รายละเอียดเกี่ยวกับสินค้าที่จัดจำหน่าย พร้อมเปิดโอกาสให้ผู้อ่านได้เข้ามาแสดงความคิดเห็นกันอย่างอิสระ เห็นได้ตามทั่วไปจากบล็อคที่ขายสินค้าผ่านการรีวิวิสินค้า หรืออย่าง Youtube ซึ่งถือว่าเป็น Social Media Sharing ก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่แสนสะดวกนะคะ ให้คุณสามารถอัพโหลดรูปภาพ วิดีโอ เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการในธุรกิจออนไลน์ของคุณ แบ่งปันไปสู่กลุ่มเป้าหมายที่คุณต้องการได้อีกด้วย การทำการตลาดแบบ Social Media Marketing นี้ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านการโฆษณามากกว่าการโฆษณาแบบอื่นๆ ค่ะ เพราะเป็นการเพิ่มช่องทางในการติดต่อสื่อสาร โดยลูกค้าสามารถเข้าถึงข้อมูลสินค้าหรือบริการได้ ตลอด 24 ชม. อย่างที่ทราบกันว่าโลกอินเตอร์เน็ตไม่เคยหลับใหล

นอกจากนี้แล้วข้อดีของการใช้ Social Medie เหล่านี้ก็คือ กลุ่มคนสามารถแสดงความคิดเห็นได้ ซึ่งจากคอมเม้นท์ของกลุ่มคนเหล่านี้นี่แหละค่ะ ที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อขายในธุรกิจออนไลน์ของคุณได้ มีผลต่อการเพิ่มยอดขายในตัวสินค้าหรือบริการของคุณ ดังจะพบได้จากบทวิจัยของ Nielsen Global Online Consumer Survey ที่ได้สำรวจทัศนคติของผู้บริโภคที่มีต่อรูปแบบโฆษณาต่างๆ ทั้งหมด 16 รูปแบบพบว่า

พวกเขาเชื่อถือคำแนะนำจากคนรู้จัก 90% เชื่อความคิดเห็นบนออนไลน์ 70% เชื่อโทรทัศน์ 62% เชื่อหนังสือพิมพ์ 61% และเชื่อวิทยุ 55% จากข้อมูลดังกล่าวนี้สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วนะคะว่า ถึงแม้ว่าจะเป็นการแสดงความคิดเห็นบนโลกออนไลน์ก็ตาม แต่เมื่อเทียบกับในชีวิตจริงแล้ว มันก็คือการตลาดแบบปากต่อปาก หรือที่เรียกว่า Viral Marketing นั่นเอง คือ เกิดการบอกต่อๆ กันไปว่าสินค้านั้นดี บริการนี้ดีหรือไม่ดี ซึ่งจากคำคนไม่กี่คนนี่แหล่ะค่ะที่สามารถขยับกลายเป็น Mass ขึ้นมาได้ ทำให้เสียงของปัจเจกชนจากเดิมที่เป็นเสียงเล็กๆ กลายเป็นเสียงใหญ่ที่ใครๆ ต่างหันมาให้ความสนใจ

สรุปแล้วรูปแบบธุรกิจออนไลน์ผ่าน Social Media นั้นเป็นรูปแบบการทำธุรกิจที่ง่ายสุดๆ คุณสามารถสร้างแบรนด์หรือตัวสินค้า สร้างบริการของธุรกิจของคุณให้เป็นที่รู้จัก พร้อมๆ กันนั้นยังได้ประชาสัมพันธ์และเป็นช่องทางในการสำรวจทัศนคติและ Feedback จากลูกค้า โดยสำรวจได้จากคอมเม้นท์ต่างๆ เป็นผลดีต่อการพัฒนาธุรกิจออนไลน์ของคุณในอนาคตต่อไปได้

Marketplace

บางคนที่พอรู้จักอาจจะกำลังสงสัยว่าแล้วแตกต่างจากการสร้าง Website อย่างไร คำตอบก็คือแตกต่างในส่วนที่ว่า การสร้าง Website ก็คือการสร้างเว็บเพื่อนำเสนอสินค้าของคุณโดยตรงแต่ Marketplace หรือ E-Marketplace นี้คือ การสร้างตลาดกลางขึ้นมา เพื่อรวบรวมสินค้าและร้านค้าหรือบริษัทมาไว้ที่เดียวกันค่ะ พูดง่ายๆ ก็คือ เหมือน ebay ที่ทุกคนน่าจะรู้จักกันอย่างดี มีลูกค้ากลุ่มหนึ่งค่ะที่เป็นขาประจำของ Marketplace สาเหตุที่พวกเขายังนิยมการซื้อหรือค้นหาสินค้าที่ต้องการผ่านช่องทางดังกล่าวก็เพราะ Marketplace ช่วยลดเวลาในการค้นหาข้อมูลที่จำเป็นเกี่ยวกับสินค้าที่กำลังสนใจ ลดความเหลื่อมล้ำและความไม่เท่าเทียมกันของข้อมูลระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย ลดเวลาในการติดต่อ ซื้อขายแลกเปลี่ยน การตัดสินใจในการทำการซื้อขายโดยที่ไม่ต้องเสียเวลาออกมานัดเจอกันนอกสถานที่ รวมถึงยังมีประโยชน์ในด้านลูกโซ่การซัพพลายของอุตสาหกรรม เพราะลูกค้าสามารถรู้ได้ว่ามีสินค้าอะไรขายบ้าง ราคาเท่าไหร่ เช่นเดียวกับผู้ขายสินค้าค่ะที่ก็จะรู้ได้ว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ต้องการสินค้าอะไร ในปริมาณเท่าไหร่ ข้อมูลเหล่านี้จะช่วยคุณในการบริหารจัดการลดสินค้าที่สามารถเกิดการค้างสต๊อกในธุรกิจออนไลน์ของคุณได้ค่ะ

คำถามว่าแล้วการสร้าง Marketplace นี้มีประโยชน์ต่อนักธุรกิจออนไลน์อย่างไร?

ด้วยช่องทางเสมือนเป็นตัวกลางการเป็นตลาดนัดออนไลน์ขนาดใหญ่นี้นี่เองที่เหมาะสำหรับการเป็นพื้นที่ไว้ทำการค้าขายระหว่างธุรกิจกับธุรกิจเป็นหลัก (B2B – Business to Business) หรือ การค้าขายแบบร้านค้าขายไปยังผู้บริโภค (B2C- Business to Consumer) นั่นแปลว่า ผู้ที่นำข้อมูลมาลงไว้ที่เว็บไซต์เหล่านี้ รวมถึงคุณเองก็มีโอกาสเพิ่มขึ้นในการที่จะพบเจอลูกค้าจากทั่วโลก มีโอกาสได้รับออเดอร์สินค้าจากต่างประเทศ โดยที่คุณเองไม่ต้องเสียค่าตั๋วเครื่องบินไปโปรโมทสินค้าคุณที่เมืองนอกแต่อย่างใด เรียกว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลยค่ะ

แต่ถ้าการสร้าง Marketplace อาจจะดูยิ่งใหญ่เกินไปสำหรับคุณ การทำธุรกิจออนไลน์ในเบื้องต้นนี้คุณอาจเริ่มต้นด้วยการไปเป็นส่วนหนึ่งของ Marketplace ที่มีผู้สร้างไว้แล้วก่อนก็ได้ ซึ่งปัจจุบันก็มีหลากเว็บไซต์อยู่ด้วยกันที่ให้บริการเป็น Marketplace เพียงแค่คุณนำข้อมูลทางธุรกิจออนไลน์ที่คุณกำลังดำเนินอยู่หรือนำข้อมูลสินค้าของคุณไปใส่ไว้ใน Marketplace เหล่านั้นในรูปแบบของการสร้างเว็บไซต์หรือแค็ตตาล๊อกสินค้า ลูกค้าก็จะหมุนเวียนคลิกเข้ามาเลือกชมสินค้าของคุณเอง ถือว่าเป็นอีกรูปแบบหนึ่งธุรกิจออนไลน์ที่ง่ายดายเพียงแค่ปลายนิ้วของจริงค่ะ

Drop Shipping

Drop Shipping คือการทำธุรกิจออนไลน์โดยที่คุณนำข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าที่ไม่ได้อยู่กับเรา (อาจจะเริ่มงง) มาใส่ไว้ในเว็บไซต์ที่ตนเองสร้างขึ้นเพื่อทำการโปรโมทสินค้า จนได้รับการติดต่อเข้ามาแล้วจึงค่อยสั่งสินค้าไปยังผู้ขายสินค้าจริงๆ (ไม่งงแล้วใช่มั้ยคะ) แปลง่ายๆ ค่ะ ก็คือ การเป็นนายหน้าสินค้าชนิดต่างๆ นั่นเอง เพียงแต่อันนี้ไม่ได้เป็นการแปะลิ้งค์อย่างที่พบเห็นกันทั่วไปจนน่ารำคาญใจ แต่เป็นการขายสินค้าโดยตรงเพียงแต่สินค้าจะยังไม่ได้อยู่ที่เราในเริ่มแรก เป็นธุรกิจออนไลน์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่อยากเริ่มธุรกิจออนไลน์แต่ยังขาดเงินทุนในการจัดหาซื้อสินค้ามาไว้เป็นสต็อกก่อน สำหรับคนที่สนใจธุรกิจออนไลน์รูปแบบนี้จะต้องทำการติดต่อและตกลงกับผู้ขายที่มีสินค้านั้นๆ ก่อนนะคะเพื่อให้ได้ราคาทุนหรือราคาส่ง เมื่อตกลงกันได้แล้วจึงค่อยนำข้อมูลเกี่ยวกับสินค้าดังกล่าวมาใส่ในเว็บไซต์ของตัวเอง จนเมื่อมีลูกค้าสนใจติดต่อสั่งซื้อเข้ามาค่อยแจ้งไปยังผู้ขายสินค้าที่มีสต็อกให้จัดส่ง รายได้ก็จะมาจากกำไรที่หักจากต้นทุนหรือราคาส่งนั่นเอง จะเห็นได้ว่า Drop Shiping มีข้อดีในแง่ของเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการขายสินค้าแต่ไม่มีทุนในการสต็อกสินค้า และไม่ต้องยุ่งยากในเรื่องของการจัดส่งสินค้าอีกด้วย

มีเคล็ดลับนิดนึงค่ะสำหรับขั้นตอนของการทำธุรกิจออนไลน์ Drop Shipping นี้ อันดับแรกเลยให้คุณเลือกกลุ่มลูกค้าก่อนว่าจะขายให้กับลูกค้าวัยใด เพศใด รวมถึงจะขายให้กับคนไทยหรือคนต่างชาติ เพราะการทำธุรกิจออนไลน์นี้ไม่ได้ครอบคลุมเฉพาะประเทศไทยเท่านั้นแต่ยังกระจายไปถึงต่างประเทศด้วย การเลือกลุ่มลูกค้านี้จะช่วยให้เราสามารถรู้ได้ว่า สินค้าดังกล่าวหากเมื่อการซื้อขายแล้วจะจัดส่งถึงมือลูกค้ากี่วันและต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจัดส่งสินค้าเท่าไร ถ้าเรามัวแต่สนใจว่าจะขายอะไร ต้นทุนสินค้าเท่าไร แต่ลืมคำนวณค่าจัดส่งสินค้าไปถึงมือลูกค้า แม้ว่าจะได้สินค้าในราคาต้นทุนที่ต่ำแต่หากต้องเสียค่าจัดส่งแพงก็จะขาดทุนกันเปล่าๆ

E-commerce กับธุรกิจผิดกฎหมาย

ปัจจุบันได้มีการนำอินเทอร์เน็ต มาใช้ในทางผิดกฎหมายมากขึ้น เช่น การขายหนังสือลามก, วีดีโอลามก, สื่อลามกประเภทต่างๆ เป็นแหล่งโอนเงินที่ผิดกฎหมายรวมทั้งใช้เป็นช่องทางในการหลอกลวงเพื่อกระทำความผิดเป็นต้น เนื่องจากอินเทอร์เน็ต เป็นเครือข่ายคอมพิวเตอร์ที่เปิดกว้างให้บุคคลใดก็ได้เข้ามาใช้งาน ทำให้มีบุคคลที่ทำผิดกฎหมายใช้อินเทอร์เน็ต เป็นช่องทางในการกระทำความผิด ทางภาครัฐได้เล็งเห็นความสำคัญในเรื่องนี้จึงได้มีการตั้งโครงการพัฒนากฎหมายเทคโนโลยีสารสนเทศ ขึ้นเพื่อใช้ในการศึกษาและ ยกร่างกฎหมายเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศโดยให้คณะกรรมการเทคโนโลยีสารสนเทศแห่งชาติ เป็นศูนย์กลางในการดำเนินงานและ ประสานงานระหว่างหน่ายต่างๆ ซึ่งในขณะนี้กำลังอยู่ในช่วงการร่างกฎหมาย ตัวกฎหมายที่ออกมาคาดว่าจะมีการกำหนดเกี่ยวกับกระบวนการและ นิติกรรมสัญญาแบบอิเล็กทรอนิค ความรับผิดชอบและ การคุ้มครองผู้ใช้รวมทั้งอาจจะมีบทลงโทษผู้ที่นำอินเทอร์เน็ต มาใช้ในทางที่ผิดกฎหมาย