หลัการบริโภคอาหารรวมกันและการควบคุมอาหาร
- Tab 1
- Tab 2
- Tab 3
- Tab 4
- Tab 5
- Tab 6
- Tab 7
- Tab 8
- Tab 9
หลัการบริโภคอาหารรวมกันและการควบคุมอาหาร
(Food Combining and Other Dietary Advice)
ในการอภิปรายกันในหลายๆด้าน เกี่ยวกับสุขภาพ, การมีอายุที่ยืนนาน, และการออกกำลังกายแบบ Five Tibetan Rites ผู้พันแบรดฟอร์ด(Bradford) ได้แนะนำการควบคุมอาหาร, หลักโภชนาการ และบทบาทความสำคัญของอาหารที่มีต่อชีวิตมนุษย์ ท่านได้อธิบายว่า การควบคุมอาหารที่เหมาะสม นำไปสู่การปรับปรุงร่างกายที่วิเศษสุด เราลองมาทบทวนคำแนะนำที่ท่านได้กล่าวไว้ดังต่อไปนี้
ผู้พันกล่าวว่า "กุญแจสำคัญในการมีสุขภาพที่ดีคือ หลักการกินอาหารอย่างง่ายๆพื้นๆ ลามะชาวธิเบตได้ผลิตอาหารเอง โดยส่วนใหญ่กินอาหารจำพวกมังสวิรัติ และมีเพิ่มเติม คือ เนย ไข่ และ ชีส ยิ่งไปกว่านั้น ลามะกินอาหารเพียงชนิดเดียวใน แต่ละมื้อ แต่พวกคุณอาจจะไม่ต้องปฏิบัติถึงระดับนั้นก็ได้ ผมขอแนะนำว่า คุณควรกินพวกแป้งคาร์โบไฮเดรต ผลไม้ และ ผักต่างๆ แยกออกจาก พวกเนื้อสัตว์, ปลา และ พวกสัตว์ปีก ในแต่ละมื้อ"
ท่านยังได้กล่าวถึงปัญหาที่พวกเราพบเจอกันบ่อยๆ คือ การกินมากเกินไป(Overeating) "หลังจากที่ผมไปอยู่วัดในธิเบตได้ สองปี และเมื่อผมได้แวะมาเมืองใหญ่เมืองหนึ่งในอินเดีย ผมพบว่า ปริมาณของอาหารที่แต่ละคนกินเข้าไปในแต่ละมื้อนั้น สามารถเลี้ยงดูพระลามะที่ทำงานหนัก ได้ถึง สี่คน ยิ่งไปกว่านั้น ส่วนผสมของอาหารที่คละเคล้ากันในแต่ละมื้อยิ่งน่าตกใจ จากที่ผมเคยกินอาหาร 1 ถึง 2 ชนิด ในแต่ละมื้อ" ท่านยังได้กล่าวต่อว่า "ผมเคยคลั่งไคล้กับการที่ได้นับอาหารนานาประเภทถึง 23 ชนิดบนโต๊ะในงานเลี้ยงที่ผมเป็นเจ้าภาพ ทำให้ไม่ต้องสงสัยเลยว่า ทำไมชาวตะวันตกจึงมีสุขภาพที่แย่ ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่รู้เรื่องราวของความสัมพันธ์กัน ของการควบคุมอาหาร ที่จะส่งผลให้พวกเขามีสุขภาพที่ดี และแข็งแรง
คำแนะนำสุดท้ายที่ยอดเยี่ยม ของผู้พันแบรดฟอร์ด คือ ให้เราเคี้ยวอาหารให้ละเอียดอย่างทั่วถึง และกินอย่างช้าๆ การบดเคี้ยวอาหารเป็นขั้นตอนที่สำคัญในการบดย่อยอาหารให้เป็นชิ้นเล็กละเอียด ซึ่งจะถูกดูดซึมโดยร่างกาย เขาได้กล่าวว่า "ทุกอย่างที่ถูกกินเข้าไป ควรจะถูกย่อยในปากก่อนที่มันจะถูกย่อยในกระเพาะอาหาร"
ผู้พันได้สรุป การกินอาหารที่เหมาะสม และถูกหลักแบบ Food Combining ไว้เป็นแนวทางดังนี้ "การกินอาหารที่ถูกประเภทกัน, กินในปริมาณที่เหมาะสม, การกินที่ถูกวิธี" สามประการรวมกันนี้จะให้ผลต่อร่างกายคุณอันวิเศษสุด ถ้าคุณมีน้ำหนักเกินปกติ (Overweight) น้ำหนักคุณจะลดลง ถ้าคุณน้ำหนักน้อยกว่าปกติ(Underweight) น้ำหนักคุณจะเพิ่มขึ้น
และเขาได้ให้หลักไว้ 5 ข้อที่จะเสริมสร้างสุขภาพที่ดีขึ้น ด้วยการกินที่เหมาะสม
1. ห้ามกิน แป้งคาร์โบไฮเดรต และ เนื้อสัตว์ ในมื้ออาหารเดียวกัน หากว่าคุณแข็งแรงและมีสุขภาพดี มันก็ไม่จำเป็นที่คุณต้องกังวลใจมากนัก
2. ถ้ากาแฟมีปัญหาต่อคุณ ให้ดื่มแบบกาแฟดำ ไม่ต้องใส่ ครีม หรือ นม ถ้ายังมีปัญหาอยู่อีก ก็ไม่ต้องดื่มมันเลย
3. เคี้ยวอาหารให้ละเอียดจนเหลว และลดปริมาณอาหารของคุณลง
4. กินไข่แดงดิบทุกวัน 1 ครั้ง ก่อนหรือหลังอาหาร อย่ากินระหว่างอาหาร
(ปัจจุบัน ไม่แนะนำให้ปฏิบัติ อาจมีเชื้อ Bacteria Salmonella จากไข่แดงดิบซึ่งทำให้อาหารเป็นพิษ)
5. ลดจำนวนอาหารหลากหลายชนิดลง ให้น้อยชนิดที่สุด ในอาหารหนึ่งมื้อ
จะได้ขยายความข้อแนะนำเกี่ยวกับการควบคุมอาหาร ของผู้พันแบรดฟอร์ดต่อไป
สุขวิทยาธรรมชาติ และบ่อน้ำพุแห่งความเป็นหนุ่มสาว(Natural Hygiene and The Fountain of Youth)
อย่างไรก็ตาม การปฎิบัติตัวควบคุมอาหารตามแนวทางของธิเบตนี้ Peter Kelder (ผู้เขียนหนังสือเล่ม original) อาจจะได้สืบทอดหลักการส่วนใหญ่ของผู้พันแบรดฟอร์ด จากโรงเรียนเสริมสร้างสุขภาพ (School of Health-Building) ซึ่งเป็นที่นิยมกันในปี คศ. 1930 (ปัจจุบันก็ยังเป็นที่นิยมอยู่) ซึ่งถูกเรียกว่า สุขวิทยาธรรมชาติ(Natural Hygiene)
สุขวิทยาธรรมชาติสมัยใหม่(Modern Natural Hygiene) มีความเห็นส่วนใหญ่สอดคล้องและยกย่องหลักของผู้พันแบรดฟอร์ด แต่นักสุขวิทยาก็ยังมีความเห็นแย้งในบางเรื่อง เช่น กาแฟไม่ควรดื่มเลย และ การกินไข่แดงดิบ เพราะอาจมีการปนเปื้อนของเชื้อ Salmonella
Peter Kelder อาจจะได้สืบทอดหลักของสุขวิทยาธรรมชาติ ผ่านงานของ Dr. Herbert M. Shelton ผู้ซึ่งทำงานด้านการฟื้นฟู โรงเรียนแห่งความคิด ในศตวรรษที่ 19 หรือที่เข้าใจกันง่ายๆ ในคำว่า "Hygiene"
Dr. Shelton ได้ปรับปรุงพัฒนาหลักของ Hygiene ให้ดีและทันสมัยขึ้น และตั้งชื่อใหม่ว่า Natural Hygiene นอกจากจะตีพิมพ์ในนิตยสารรายเดือนถึง 7 ฉบับในหัวข้อนี้ Dr. Shelton ยังได้เขียนบทความในแมกกาซีน Bernarr Macfadden's Physical Culture ซึ่งถูกตีพิมพ์และเป็นที่นิยม ของคนทั่วไปในการดูแลสุขภาพแบบทางเลือกใหม่เช่นกัน
เป็นเวลาหลายปีที่ Natural Hygiene ยังไม่เป็นที่แพร่หลาย และแล้วในปี 1985
Harvey และ Marilyn Diamond ทำหนังสือชื่อ "Fit for Life" เป็นหนังสือการควบคุมอาหาร อธิบายถึงหลักของ Natural Hygiene ด้วยบทความที่ง่าย ต่อการเข้าใจ
และ เรื่องราวของผู้ปฏิบัติแล้วประสบผลสำเร็จ ในไม่ช้า Fit for Life ก็กลายหนังสือ Bestseller หนังสือเล่มนี้ได้ทำให้หลายคนได้รู้จักกับ หลักการกิน และ การดำรงชีพ อย่างมีเหตุผล และ ทำให้แนวความคิดของ Natural Hygiene มาเป็นที่นิยมอีกด้วย
ทุกวันนี้ผู้คนหลายพันคนเป็นสมาชิกของ American Natural Hygiene Society
ถึงแม้จะมีหนังสือเป็นร้อยเล่มถูกเขียนเกี่ยวกับ Natural Hygiene แต่หัวใจของเรื่องกลับมีแค่ กฎการดำรงชีวิต อย่างเรียบง่ายเพียงไม่กี่ข้อ แต่ถ้าคุณได้ปฏิบัติตามกฎเหล่านี้ คุณจะได้พบกับการมีชีวิตและสุขภาพ ที่ปรับปรุงขึ้น อย่างที่คุณไม่เคยคาดคิดมาก่อน
1. กินอาหารหลัก ให้ส่วนใหญ่เป็น ผักสดผลไม้ ที่ยังไม่ได้ผ่านการหุงต้ม
2. กินอาหารแต่ละประเภทในหนึ่งมื้อให้ถูกหลัก Food Combining
3. หายใจแต่อากาศบริสุทธิ์
4. ให้ร่างกายโดนแดดบ้างแต่พอดี โดยไม่ให้ถึงกับถูกแดดเผา
5. ดื่มน้ำบริสุทธิ์ ในปริมาณที่ ร่างกายต้องการ
6. พักผ่อน และ นอนหลับ อย่างน้อย 8 ชม.
7. ออกกำลังกายอย่างน้อย 20 นาที 3 ครั้ง ต่อ สัปดาห์โดยให้เป็นประเภทที่ร่างกาย
ต้องการอากาศ หรือ อ็อกซิเจน เช่น jogging, ว่ายน้ำ, จักรยาน, เดินเร็ว
โดยการเดินเร็วๆ 30 นาที วันเว้นวัน ดูจะได้ผลดีที่สุด
8. รักษาร่างกายให้สะอาดสะอ้าน
9. รักษาอารมณ์ ให้สงบ ในทุกกิจกรรม โดยอย่าให้มีอารณ์ หรือปฏิกิริยา
เมื่อถูก ยั่วยุ
10. หลีกเลี่ยงสถานที่ อุณหภูมิสูง
11. ให้เวลา ในการดูแล ครอบครัว และ มิตรสหาย
แน่นอนหล่ะว่า คนส่วนใหญ่ไม่ชอบกินมังสวิรัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ผักผลไม้ดิบๆตามหลัก Natural Hygiene ดร.เชลตันได้ตระหนักถึงเรื่องนี้ดี จึงได้ทำการพัฒนาปรับปรุง หลักการกินอาหาร เพื่อให้เหมาะสม กับการที่ต้องกินอาหารหลายชนิด เพื่อให้ผลการย่อยที่ดีที่สุด
เมื่ออาหารแต่ละประเภท ถูกกินในส่วนผสมที่เหมาะสม การย่อยจะมีประสิทธิภาพสูงสุด, คุณค่าทางโภชนาการ จะถูกดูดซึมได้ง่าย สุขภาพโดยทั่วไปจะดีขึ้น
หลักการบริโภคอาหารรวมกันคืออะไร
(What is Food Combining?)
Food Combining หมายถึง การกินอาหารที่ผสมผสาน อาหารที่ต่างประเภทกัน ในชั่วขณะของการบริโภค ตัวอย่างเช่น กินสลัด 1 ช้อน แล้วตามด้วยผักนึ่ง ต่อท้ายด้วยข้าวและขนมปังอีกคำ และกินเนื้ออีก 1 ชิ้น แล้วจิบด้วยน้ำผลไม้ หรือ เครื่องดื่ม อื่นๆ แล้วก็กลับไปกินสลัดอีก
คนส่วนใหญ่มักจะกินอาหารวนเวียน สลับแต่ละประเภทไปมาเช่นนี้ จนอาหารหมดจาน และ ก็จบมื้ออาหาร ด้วยของหวาน สัก 2 อย่าง หรือ เครื่องดื่ม
การกินอาหารหลายประเภท ผสมกันแบบนี้ ก่อให้เกิดปัญหา เพราะอาหารแต่ละชนิด ใช้เวลาในการย่อย ต่างกัน (ดูตารางเวลาที่ใช้ในการย่อยของอาหารแต่ละประเภท) อาหารที่ต้องให้ความสนใจมากี่สุด คือ โปรตีน ใช้เวลาในการย่อยนานที่สุด และเป็นอาหารชนิดแรกที่จะถูกย่อยในกระเพาะอาหาร การย่อยอาจใช้เวลาหลายชั่วโมง และถ้ามีไขมันเพิ่มเข้าไปด้วย การย่อยก็ยิ่งใช้เวลานานมากยิ่งขึ้น
อาหารที่ถูกย่อยอย่างรวดเร็ว เช่น ผลไม้ ผัก จะต้องค้างรออยู่ในกระเพาะ รอให้อาหารดังกล่าวย่อยเสร็จเสียก่อน ขบวนการย่อยแบบนี้ อาจใช้เวลาถึง 8 ชม.จึงเสร็จสิ้น และในขณะที่รอคิว พวกผลไม้ ผักสด ผักที่ปรุงแล้ว และแน่นอน พวกแป้งคาร์โบไฮเดรตด้วย ก็เกิด การเน่าเสีย และ หมักบูด ขึ้น ขณะที่กระเพาะพยายามย่อยอาหารที่ปนเปกันนี้ มันก็จะผลิต แก๊ส กรด และ แม้แต่ อัลกอฮอล์ ยังไม่เอ่ยถึงส่วนที่อาหารไม่ย่อยอีก การย่อยจะเสร็จสิ้นบริบูรณ์เมื่ออาหารเดินทางถึงลำไส้แล้ว ที่ซึ่ง Enzyme จะต้องหลั่งมาจัดการกับ อาหารที่ยังไม่ย่อย(Undigested Food) และหลั่งแร่ธาตุออกมา เพื่อให้สภาพกรดนั้นเป็นกลาง แต่ถ้าท่านทำตามหลักง่ายๆ ในการบริโภคอาหารแต่ละประเภทร่วมกัน ซึ่งกล่าวถึง อาหารอะไร ที่ควร หรือ ไม่ควรกินร่วมกัน มันจะทำให้การย่อยของท่านมีผลที่น่าพอใจ และทำให้ท่านมีสุขภาพที่ดี
ปัญหาสุขภาพมาจากการกินอาหารร่วมกันที่ไม่เหมาะสม
(Health Problem from Improper Food Combining)
จะเกิดอะไรตามมาบ้าง ถ้าเรากินอาหารแต่ละประเภทร่วมกัน โดยไม่ถูกหลัก คำตอบคือ มันขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แต่โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่กินอาหารที่เข้ากันไม่ได้ จะต้องประสบกับ การบูดเน่าของอาหารในกระเพาะ และอย่างน้อยจะต้องมีอาหารที่ไม่ย่อย หรือมีอาการเสียดท้องหลังอาหาร ปัญหาอื่นที่ตามมาคือ เกิดแก๊ส, การหดตัวของกระเพาะ, ภาวะเกิดกรดมากเกินไป(hyperacidity) , อาการบวมที่เกิดจากลมในตัว, ปวดกระเพาะอาหาร, ภาวะของเหลวคั่งค้าง และ จิตใจเฉื่อยชาไม่มีสมาธิ หลังมื้ออาหารเป็นเวลาร่วมชั่วโมง หรือ มากกว่านั้น
ด้วยการกินอาหารที่ไม่ถูกหลัก การย่อยอาจกินเวลานานถึง 2-8 ชั่วโมง พลังงานจำนวนมากมาย สิ้นเปลืองไปกับขบวนการย่อย ทำให้เกิดอาการล้า และ ต้องการการพักผ่อนนอนหลับ ภาวะเช่นนี้ อาจก่อให้เกิด อาการอ่อนไหวในอารมณ์, ฉุนเฉียวง่าย, หดหู่เซื่องซึม, มองโลกในแง่ลบ, เกลียดชังสังคม(Cynicism) และยังก่อให้เกิดการสะสมสารพิษ ในกระแสเลือด และ ร่างกายด้วย
ยิ่งไปกว่านั้น การสะสมสารพิษ จากการที่อาหารไม่ย่อย นำไปสู่การเป็นหวัด และทำให้สภาพการทำงานของร่างกาย ลดประสิทธิภาพลง ความเจ็บป่วยและโรคร้าย ต่างเกิดขึ้น เพราะระบบภูมิคุ้มกันได้อ่อนแอลง ทำให้แก่ก่อนวัย สูญเสียพลังขับเคลื่อน และ ความสามารถทางเพศ สเปิร์ม และ เซลไข่ จะอ่อนแอ โดยสรุป การกินอาหารไม่ถูกหลัก Food Combining จะทำให้ร่างกายเสื่อมทรามลง ทั้งจิตใจ และ อารมณ์ และทำให้ช่วงชีวิตของท่านสั้นลงด้วย
รางวัลจากการกินอาหารที่ถูกหลัก Food Combining
(The Reward of Proper Food Combining)
ผู้ที่ปฏิบัติถูกต้องตามหลักการของ Food Combining จะสังเกตได้อย่างชัดเจนถึงสุขภาพที่ปรับปรุงดีขึ้น เพราะ ภาระอันหนักอึ้ง ของอวัยวะที่ใช้ในการย่อย ถูกลดระดับการทำงานที่หนักเกินไปให้เบาบางลง อาหารที่ถูกกินร่วมกันอย่างเหมาะสม ทำให้ได้รับสารอาหารที่ดีกว่า การย่อยที่ดีกว่าเดิม มีความสบายกาย ลดความไม่สบายตัวลง และมีแก๊สน้อย เพราะร่างกาย ลดการเกิดบูดเน่าของอาหาร และสารพิษลง หลายคนพบว่าปัญหาการแพ้อาหารได้หมดไป และผู้ที่มีปัญหาเรื่องแก๊สมากในท้อง อาการนี้จะบรรเทาในเวลาไม่กี่วัน เมื่อเขาได้เริ่มกินอาหารให้ถูกหลัก โดยเลือกประเภทของอาหารที่เข้ากันได้ ตามหลัก Food Combining และยังเพิ่มพลังงาน และสามารถลดน้ำหนักได้ด้วย
ต่อไปนี้ คือ สรุปผลลัพธ์สุขภาพที่ดี ที่ท่านจะชื่นชอบ จากการปฏิบัติหลักการกินอาหารร่วมกัน
1. ขบวนการย่อยอาหารดีขึ้น (Improved Digestion) ถ้าคุณทำตามหลักการ Food Combining (จะกล่าวถึงต่อไป) การย่อยของคุณจะดีขึ้นอย่างชัดเจน ในไม่กี่วัน ปัญหาเรื่องแก๊ส, เจ็บกระเพาะ, อาการเสียดท้อง และ อาการท้องผูกที่รบกวนคุณ เป็นเวลาหลายๆปี จะถูกปรับปรุงแก้ไข และหายไปในที่สุด มีหลายคนกล่าวว่า ไม่สามารถทำตามหลัก Food Combining ได้ มันยากเกินไปที่จะปฏิบัติตาม เราบอกเขาเหล่านั้นว่า ให้ลองสักอาทิตย์เพื่อเป็นการทดลอง เรามั่นใจว่าเขาจะต้องพอใจ กับการย่อยที่ดีขึ้น และจะกินตามหลักFood Combining โดยไม่หวนกลับไปกินแบบเดิมอีกเลย
2. น้ำหนักลด (Weight Loss) เมื่อคุณกินอาหารอย่างถูกหลัก คุณจะเห็นความก้าวหน้าของสรีระ ในกระจกห้องน้ำของคุณทุกวัน เพราะ น้ำหนักส่วนเกิน, ตะโพกอันใหญ่, เนื้อใต้แขนที่กระเพื่อม, รอยพับย่นของไขมันใต้ผิวหนัง จะถูกเผาไหม้ออกไปอย่างไม่น่าเชื่อ ผู้ที่ปฏิบัติตามหลักการนี้ จะชื่นชอบกับการที่ น้ำหนัก 3-5 ปอนด์ลดลง เกิดจากไขมันที่หายไปไม่ใช่น้ำในตัวที่หายไป และจะเห็นผลในแต่ละสัปดาห์ อย่างเช่น ผมเคยมีน้ำหนักตัวถึง 192 ปอนด์ ด้วยความสูง 5 ฟุต 7 นิ้ว และมันได้ลงมาอยู่ในระดับที่สบายๆ คือ 142 ปอนด์ ใน 4 เดือนแรก หลังจากผมได้หันมากินตามหลัก Food Combining และใช้ชีวิตตามหลักการ Natural Hygiene
เนื่องจากการย่อยที่ดีขึ้น ทำให้ร่างกายไม่ต้องการน้ำมากเพื่อทำความสะอาด เซลในตัว และร่างกายก็จะไม่บวม อันเกิดจากของเหลวคั่งค้าง คุณจะดูผอม และ เพรียวขึ้น เพราะคุณจะกินอาหารน้อยลงเมื่อคุณกินอาหารแต่ละประเภทได้อย่างเหมาะสม จำนวนแคลลอรี่ที่กินเข้าไปจะลดลง ร่างกายจะมีความต้องการอาหารที่น้อยลง เพราะร่างกายจะดูดซึม และมีความสามารถในการใช้คุณค่าโภชนาหารได้มากขึ้น
นอกจากนี้ คุณยังประหยัดเงินได้เพิ่มขึ้น เพราะคุณจะกินอิ่มด้วยจำนวนอาหารที่ลดลง และที่สำคัญ คือ คุณยิ่งกินน้อยเท่าไหร่ คุณจะมีอายุยืนมากขึ้นเท่านั้น(The less you eat The longer you will live)
มันจะมีผลกระทบ อันเกิดจากความเหนื่อยล้า และ บอบช้ำ จากการย่อยอาหาร น้อยลง ดังเช่น ลุยจิ คอร์นาโด Luigi Cornado ขุนนางชั้นสูงและเป็นนักเขียน ชาวอิตาลี ในศตวรรษที่ 14 ผู้มีอายุยืนถึง 102 ปี เขากินอาหารแค่วันละ 2 มื้อ โดยกินอาหารหนัก 12 ounces และน้ำองุ่น 14 ounces ต่อมื้อเท่านั้น เพราะเขากินส่วนผสมของอาหารได้อย่างถูกหลัก และ สงวนพลังงานที่ใช้ในการย่อยได้อย่างดีเยี่ยม เขาเริ่มปฏิบัติ ตั้งแต่ อายุ 35 ปี เริ่มดูแลสุขภาพ และใช้ชีวิตอย่างไม่ปล่อยเนื้อปล่อยตัว คุณหมอประจำตัวเคยบอกเขาว่า คุณต้องดำเนินชีวิตอย่างมีสติ หรือไม่คุณอาจจะตายได้ เขารับคำแนะนำของหมอ และ กลายมาเป็นนักเขียนผู้มีสุขภาพดีตลอดเวลา
3. มีพลังเพิ่มขึ้น(Energy Gain) เมื่อคุณผสมผสานอาหารในการกินได้อย่างเหมาะสม ร่างกายของคุณไม่ต้องสิ้นเปลือง พลังงานมากมาย ในขบวนการย่อย เป็นผลทำให้คุณจะรับรู้ได้ถึง ระดับของพลังงานในตัวที่เพิ่มขึ้นอย่างน่าฉงน
4. สุขภาพโดยทั่วไปดีขึ้น(Overall good Health) คุณจะรู้สึกตื่นตัวและสดชื่น จากการที่ระบบย่อยได้พักไม่ต้องทำงานหนัก เป็นผลมาจาก ส่วนผสมของอาหารที่ถูกย่อยเหมาะสม คุณจะรู้สึกดีขึ้น และตื่นตัว และความต้องการในการนอนน้อยลง อารมณ์จะร่าเริง เพราะคุณได้หลีกเลี่ยงอาหารที่ก่อให้เกิดการขัดแย้งในระบบการย่อย ซึ่งส่งผลให้มีสติความรู้ตัวดี และแน่นอนคุณจะมีความสุขขึ้นด้วย
การจัดประเภทของอาหารเพื่อการบริโภคที่ถูกหลัก
(Food Classification for Proper Food Combining)
การจัดประเภทของอาหารต่อไปนี้ เป็นแนวทางให้คุณเรียนรู้ ที่จะกินอาหารรวมกันได้อย่างเหมาะสม และช่วยวางแผนการกินอาหารแต่ละมื้อ ที่ดีต่อสุขภาพ ให้ดูตารางเวลาที่ใช้ในการย่อยอาหารทั่วๆไป ประกอบการกินอาหารแต่ละประเภทเข้าสู่ร่างกาย
โปรตีน (Proteins)
ผลไม้เปลือกแข็ง(nuts), เมล็ดพืช(seeds), ถั่วแห้ง(dried bean,pea), ถั่วฝักยาว(lentils), ถั่วลิสง(peanuts), ถั่วเหลือง(soybeans), เม็ดทานตะวัน(sunflower sprouts), ไข่(eggs), ชีส(cheese), เนื้อสัตว์(fish,poultry,meat), นม(milk) *ไม่แนะนำให้กิน นม และ ผลิตภัณฑ์นม
แป้งคาร์โบไฮเดรต(Starches)
มันฝรั่ง(potato, sweet potato), มันเทศ มันแกว(yam), ข้าวและธัญพืช(grains), ลูกเกาลัด(chestnuts), อาหารแป้งเคล้าไข่(pasta), ขนมปัง(bread), มะพร้าว(coconut), พืชที่เป็นฝัก legume, ถั่วเป็นฝักแบน(lima bean), อาหารแป้ง ข้าวโพด, แตงน้ำเต้า(winter squash), ฟักทอง(pumpkins), พืชรากขาวใหญ่(parsnip), ผัก salsify, ผัก artichoke
ไขมัน (Fats)
ผลอาโวคาโด(avocadoa), น้ำมันมะกอก(olives), เมล็ดพืช(seeds & nuts), ผักที่มีไขมัน(vegetable oils), ถั่วลิสง(peanuts), ถั่วเหลือง(soybeans), น้ำมันหมู(lard), เนยเทียม(magarine), เนยเหลว(butter), ครีม(cream) :ไม่แนะนำให้กินผลิตภัณฑ์ นม
ผักที่มีแป้งน้อย หรือ ไม่มีแป้งเลย (Low & Non-starchy Vegetable)
ผักชี, ขึ้นฉ่าย (celery), กะหล่ำปลี, ผักคะน้า (Chinese cabbage), ต้นกะหล่ำดอก (cauliflower), ต้นกระเปาะกลม (kohlrabi), มะเขือสีม่วง (eggplant), หอม หัวใหญ่(onion), ถั่วเขียว (green beans), พืชคล้ายกะหล่ำ (Brussels) แตงกวา,แตงร้าน (Cucumber), แตงน้ำเต้า (Summer squash), พริกไทยหวาน (Sweet pepper) , หน่อไม้ฝรั่ง (asparagus), พืชมีรากใหญ่สีแดง(beets), กระเทียม (garlic), ถั่วหวาน (Sweet peas), กะหล่ำใบ (Collard), กะหล่ำสี (broccoli), แครอท (carrots), ผักขม (spinach), ข้าวโพดหวาน (Sweet corn), ผักตระกูลคะน้า(kale) Box choy, หัวผักกาด (turnip), พืชตะกูลถั่วมีฟัก (alfalfa sprouts), ผักกาดหอม (Lettuce)
น้ำมัน, เนย , ไขมัน ( Oil, Butter, Fat)
น้ำมันมะกอก (olive oil) หรือ น้ำมัน อาจถูกใส่เพิ่มเติมลงในสลัดผัก, ผักนึ่ง, หรืออาหารอื่นๆ
ในทำนองเดียวกัน ใช้ เนยเหลว (Butter) , ใส่เกลือ หรือไม่ใส่ดีกว่า ผลิตภัณฑ์นมไม่แนะนำให้กิน แต่ถ้าต้องกิน ควรไม่เกิน 1 -2 ช้อนโต๊ะ สำหรับ เนย (Butter) ส่วนไขมัน ไม่เกิน 1 Ounces
กฎ 9 ข้อในการกินอาหารผสมแบบ สุขวิทยา ธรรมชาติ
(The Nine Rules Of Natural Hygiene Food combining)
1. อย่ากินอาหารที่มีโปรตีนเป็นหลัก ร่วมกับ อาหารคาร์โบไฮเดรตเป็นหลัก ในมื้อเดียวกันผู้พันแบรดฟรอดและเหล่าลามะ เน้นหลักในการกินอาหาร ข้อนี้มาก ทำไมนะหรือ ก็เพราะโปรตีนจะย่อยได้ดี กระเพาะอาหารต้องผลิตกรดออกมาเป็นจำนวนมาก แต่กรดนี้จะไปทำลาย เอ็นไซม์ Salivary amylase ซึ่งเป็นตัวที่ทำให้แป้งย่อยได้ดี ดังนั้น โปรตีนและแป้งคาร์โบไฮเดรต ไม่ควรที่จะย่อยในเวลาเดียวกัน นั่นหมายความว่า ไม่ควรจะมีมื้ออาหารที่ประกอบด้วย เนื้อ (Meat) และมันฝรั่ง (Potato) ใช่ไหม คำตอบ คือ ใช่แล้ว ถ้าท่านต้องการการย่อยที่ดีและมีประสิทธิภาพ และจะได้สุขภาพที่ดีด้วย
2. อย่ากิน อาหารพวกคาร์โบไฮเดรต กับ อาหารที่เป็นกรด ในมื้อเดียวกัน (อธิบายเหตุผลเช่นเดียวกับข้อ 1 )
3. อย่ากิน อาหารที่เป็นโปรตีนเป็นหลัก 2 ชนิดในมื้อเดียวกัน เพราะโปรตีนที่ต่างชนิดกันต้องการเวลาในการย่อยที่ต่างกัน และใช้สภาวะน้ำย่อยที่ต่างกันในการย่อย ร่างกายต้องทำงานหนักมากแม้ในการย่อยโปรตีนเพียงชนิดเดียว การย่อยโปรตีนมากกว่า 1 ชนิด
บังคับให้ร่างกายต้องทำงานหนักเกินไป และสูญเสียพลังงานในการย่อย ด้วย การบริโภคโปรตีนชนิดเดียวใน 1 มื้อ คุณจะประหยัดพลังงานในการย่อย และหลีกเลี่ยงการอ่อนล้าโดยไม่จำเป็น
4. อย่ากิน ผลไม้ที่เป็นกรด (Acid Fruits) กับโปรตีน เพราะเอ็นไซม์ Pepsin ซึ่งจำเป็นในการย่อยโปรตีน จะถูกทำลายโดยกรดทั่ว ๆ ไปเป็นส่วนมาก รวมทั้งกรดจากผลไม้เหล่านี้ด้วย (ส้ม, ส้มโอ, มะนาว ฯลฯ) Pepsin จะยังทำงานได้กับกรดไฮโดรคลอริก (Hydrochloric Acid) เท่านั้น
5. อย่ากิน ไขมัน ร่วมกับ โปรตีน เพราะไขมันจะไปขัดขวางการไหลของน้ำย่อยในกระเพาะ และ รบกวนการย่อยโปรตีน
6. อย่ากิน คาร์โบไฮเดรต และ น้ำตาล (Sugars) ด้วยกัน เมื่อเรากินแป้งกับน้ำตาลด้วยกัน ร่างกายจะย่อย น้ำตาลก่อน น้ำตาลจะเกิดการหมักในกระเพาะอาหาร และสร้างกรด ซึ่งทำลายเอ็นไซม์ Salivary Amylase ซึ่งจำเป็นสำหรับการย่อยคาร์โบไฮเดรต ถ้าคุณต้องทนทุกข์จากอาหารไม่ย่อย เมื่อคุณกินผลไม้ และ ซีเรียล (Cereal ) ในตอนเช้า ตอนนี้คุณคงรู้เหตุผลแล้ว และทำอย่างไรจึงจะป้องกันปัญหานี้ได้ กินผลไม้เฉพาะผลไม้เท่านั้น ไม่รวมกับคาร์โบไฮเดรต และให้ร่างกายย่อยน้ำตาลธรรมชาติเหล่านี้เพื่อป้องกันการหมักเน่า อันเนื่องมาจากการผสมกันของน้ำตาล และคาร์โบไฮเดรต
7. อย่ากินโปรตีน และน้ำตาล (Sugars) ด้วยกัน น้ำตาลยังคงรบกวนการย่อยโปรตีน โดยการขัดขวางการหลั่งของน้ำย่อย จะเกิดการหมักเน่าขึ้นเพราะน้ำตาลจะถูกย่อยหลังโปรตีน และในระหว่างการย่อยอันยาวนานของโปรตีน น้ำตาลจะตกค้างรออยู่ในกระเพาะเพื่อรอให้โปรตีนย่อยเสร็จ
8. อย่ากิน แตงมีน้ำ (Melon) กับอาหารชนิดอื่น ๆ ร่างกายย่อย Melon เช่น แตงโมเร็วมาก กินมันในตอนเริ่มต้นของมื้ออาหาร หรือกินเฉพาะพวกมัน มันจะเคลื่อนผ่านขบวนการย่อยเร็วมาก ตลอดชีวิตของผม ผมจะหลีกเลี่ยงการกินแตงโมและแคนตาลูพ (Cantaloupe) ผสมกัน เพราะมันทำให้กระเพาะเกร็งและเกิดแก๊ส ผมกินแตงเพียงชนิดเดียวในแต่ละมื้อ หวานสดชื่นและย่อยง่าย
9. หลีกเลี่ยงนมและผลิตภัณฑ์จากนม แต่ถ้าต้องบริโภค อย่ากินกับอาหารชนิดอื่น มีเพียงเด็กทารกเท่านั้นที่มีเอ็นไซม์ Rennin ในปริมาณที่พอเพียง สำหรับการย่อยนม นักสุขวิทยารวมทั้งแพทย์หลายคนกล่าวว่า ให้กำจัดนมและผลิตภัณฑ์นมออกจากเมนูอาหาร การหายไปของเอ็นไซม์ชนิดนี้ในผู้ใหญ่ ทำให้นมไม่ย่อย หรือย่อยยาก ก่อให้เกิดปฏิกิริยา ภูมิแพ้ในหลายด้าน นอกจากนี้ นมไม่ควรกินรวมกับอาหารชนิดอื่น เพราะมันประกอบด้วยโปรตีน และไขมันสูง
กฎของการบริโภคอาหารร่วมกันนี้ อาจจะดูยุ่งยากซับซ้อนในตอนแรก แผนภาพในหน้าถัดไปจะทำให้ดูเข้าใจง่ายขึ้น เป็นแนวทางในการกินอาหารของคุณต่อไป
ทำอย่างไรจะใช้คำแนะนำของผ้พันแบรดฟอร์ด เพื่อให้ผลดียิ่งขึ้น
How Colonel Bradford's Advice Stacks up
ถ้าคุณลองเปรียบเทียบหลักการกินอาหารที่ผู้พันแบรดฟอร์ดได้รับคำแนะนำจากเหล่าลามะกับหลักของ "เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์สุขวิทยาธรรมชาติ" (Time Proven Teaching of Natural Hygiene) แตกต่างกันบ้างเล็กน้อยในบางเรื่อง เราลองมาสำรวจดูกันอีกครั้งหนึ่ง
ตัวอย่างเช่น ผู้พันกล่าวว่า "มันก็ OK นะ สำหรับมื้ออาหารที่มีแต่เนื้อ ถ้าคุณต้องการคุณกินเนื้อหลายชนิดในหนึ่งมื้อและยังสามารถกินเนยเหลว (butter) ,ไข่ (Eggs) และชีส (Cheese) กับอาหารมื้อที่เป็นเนื้อได้ หรือขนมปังเข้ม (Dark Bread) และดื่มน้ำชา & กาแฟ ในระดับพอดี แต่คุณต้องไม่ตบท้ายด้วยอาหารหวานหรือพวกแป้ง พาย ขนมเค้ก หรือขนมพุดดิ้ง
เห็นได้ชัดว่า นักสุขวิทยาธรรมชาติ จะไม่แนะนำให้คุณกินอาหารในมี้อที่มีเฉพาะเนื้อเท่านั้น (จากการวิจัยสมัยใหม่ทางการแพทย์) พบว่า มีโปรตีนมากเกินไปในอาหารที่เป็นเนื้อส่วนใหญ่ (Overload Protein) และนำมาซึ่งปัญหามากมาย และที่เพิ่มเติมคือ ถ้าเรากินขนมปังกับโปรตีน ในบางคนเกิดการหมักบูด ก่อให้เกิดแก๊ส และไม่สบายท้อง ในตอนแรกผู้พันแบรดฟอร์ด ได้แนะนำให้กินอาหารชนิดเดียว (Single Food) ในหนึ่งมื้อ ซึ่งเราก็ได้เห็นความจริงนี้ใน Paragraph แรกแล้ว เป็นหลักฐานว่า ที่เขาอนุญาตให้กินแบบนี้เพื่ออะลุ่มอล่วยในกับคนผู้ที่เพิ่งเริ่มปฏิบัติในการควบคุมอาหาร
ผู้พันอนุญาตให้ดื่มนม ชา และกาแฟได้ นี่ยังคงเป็นการอะลุ่มอล่วย ให้กับผู้เริ่มต้น หลักสุขวิทยาธรรมชาติแนะนำเราว่า สุขภาพจะดีกว่า ถ้าเราตัดสิ่งเหล่านี้ออกจากอาหารของเรา ชาและกาแฟ ประกอบด้วยอัลคาลอยด์ (Alkaloids) ซึ่งเป็นอันตรายต่อเนื้อเยื่อมนุษย์ และ นมฆ่าเชื้อ (พาสเจอร์ไรด์) มีส่วนประกอบของโปรตีนเรียกว่า CASEIN เคซีอีน ซึ่งเป็นสารตัวเดียวกันกับที่ใช้ผลิตกาวไม้ที่แข็งมาก ท่านเคยประหลาดใจไหมว่าเมื่อกิน Cheese หรือ ไอศกรีมมาก ๆ แล้วคุณท้องผูกในวันต่อมา และทำให้คุณต้องพึ่งพายาระบายอย่างมาก และตอนนี้คุณก็รู้สาเหตุแล้ว
ขออภัย กับสิ่งที่เรานำเสนอ อาจจะตรงกันข้าม กับสิ่งที่บริษัทอุตสาหกรรมนม ยักษ์ใหญ่ ได้โฆษณาไว้ซึ่งอาจทำให้คุณเชื่อ แต่ที่จริงแล้ว นมไม่ได้ทำให้ร่างกายดีขึ้นเลย ถ้าคุณไม่เชื่อ ผมมีประสบการณ์ที่มีริดสีดวงทวาร (Hemorrhoids) เรื้อรังมานาน มันได้หายไปหลังจากผมเลิกดื่มนมและผลิตภัณฑ์นม (คำแนะนำนี้ได้จากหมอผ่าตัดลำไส้ใหญ่) ถ้าคุณยังไม่เชื่อด้วยหลักฐานเหตุการณ์นี้ กรุณาไปตามห้องสมุดและอ่านการวิจัยทางการแพทย์ที่ผ่านมาตลอด 20 ปี ซึ่งได้พิสูจน์อย่างแจ่มแจ้งแล้วว่า เราไม่ควรดื่มนมโดยสิ้นเชิง
ถึงแม้ผู้พันไม่ได้พูดถึงเกี่ยวกับการดื่มเครื่องดื่มในมื้ออาหาร (อย่างอื่นนอกจาก ชา กาแฟ) คนโดยทั่ว ๆ ไปในวัฒนธรรมของเราจะบริโภคเครื่องดื่ม ในแต่ละมื้ออาหารด้วย ส่วนหลักของ Natural Hygiene แนะนำว่าไม่ควรดื่มอะไรระหว่างการกิน เพราะมันจะไปเจือจางเอ็นไซม์ และกรดในกระเพาะอาหาร ซึ่งทำหน้าที่ในการย่อยอาหาร ถ้าคุณดื่มเครื่องดื่มระหว่างการกินเท่ากับคุณขัดขวางการย่อยอันสมบูรณ์แบบไป นักวิจัยสมัยใหม่โต้แย้งความเห็นนี้ แต่พวกที่ปฏิบัติตามหลักไม่ดื่มอะไรในมื้ออาหาร ได้พบว่าระบบการย่อยมันทำงานได้อย่างดีขึ้น
แทนที่จะเชื่อการวิจัย คุณควรเชื่อตัวเอง โดยลองทดสอบด้วยตัวคุณเองว่าแบบใดดีที่สุดสำหรับคุณ
ผู้พันแบรดฟอร์ดได้ยกย่องการกินไข่ดิบและเราได้พิจารณาแล้วว่าไข่แดงคือ โปรตีนที่ดีที่สุดที่มีอยู่ แต่ทุกวันนี้ในตลาดไข่เกือบทั้งหมด มี "แบคทีเรีย salmonella อยู่ ดังนั้นเราไม่แนะนำการกินไข่แดงดิบ (raw egg yolks) ควรต้มอ่อน ๆ หรือลวก โดยการต้มน้ำจนเดือดแล้วปิดไฟ หย่อนไข่ลงในน้ำเดือด 3 นาที แล้วนำออก กินเฉพาะไข่แดง ทิ้งไข่ขาวไป ยกเว้นคุณเป็นนักกีฬาหรือเป็นพวกใช้แรงงานหนัก
มีการอ้างว่า การกินไข่แดง สนับสนุน การทำงานของสมอง และทำให้ร่างกายดีขึ้น ผู้พันแบรดฟอร์ด เห็นด้วยอย่างไม่ต้องสงสัย เราลองมาทบทวนคำแนะนำของเขาที่พูดว่า "ผมรู้ว่าไข่แดงของไก่มีโภชนาการมาก แต่ผมได้รู้คุณค่าที่แท้จริงของมัน หลังจากได้คุยกับชาวตะวันตกในอารามนั้น ผู้มีความรู้ด้าน biochemistry เขาบอกผมว่า ไข่ไก่ธรรมดาประกอบไปด้วยกว่าครึ่งของธาตุที่เป็นที่ต้องการของสมอง ระบบประสาท และอวัยวะในร่างกาย มันเป็นความจริงที่ว่า จำนวนที่ต้องการนั้นมีจำนวนน้อย แต่ไข่ ก็ยังต้องมีในเมนูอาหาร ถ้าคุณต้องการเป็นคนแข็งแรง ถ้ายังมีมีสุขภาพดีทั้งใจและกาย
และผู้พันแบรดฟอร์ดได้ให้คำแนะนำอันยอดเยี่ยมเมื่อได้บอกถึงการเคี้ยวอาหารให้ละเอียดทั่วถึง นักสุขวิทยาได้สอนเราให้เคี้ยวอาหารจนกว่าจะเป็นของเหลวก่อนการกลืน Abbe spallazani (1729 – 1799) ผู้อยู่ในยุคเริ่มแรกที่เป็นผู้สังเกตถึงการย่อยในกระเพาะอาหารได้พบว่า ลูกเชอร์รี่ องุ่น เมื่อกลืนทั้งผลโดยไม่เคี้ยว (ถึงแม้จะสุกแล้ว) มันจะผ่านจากร่างกายสู่คอห่าน (ส้วม) โดยมีสภาพเหมือนเดิม การสังเกตอันยิ่งใหญ่นี้ ชี้ให้เห็นถึงความสำคัญอย่างใหญ่หลวงของการเคี้ยวอาหารก่อนกลืนกิน ท่านจะสามารถดูดซึมอาหารได้เฉพาะอาหารที่ถูกเคี้ยวจนเหลว
การกินแบบเรียงลำดับ คือหลักการกินอาหารรวมกันขั้นสูงสุด
(Sequential Eating : The Ultimate in Food Combining)
คุณจะเห็นว่า การปฏิบัติตามหลักของ Food Combining จะช่วยพัฒนาการทำงานของระบบการย่อย และ สุขภาพโดยรวมอย่างชัดเจน แต่ถ้าคุณต้องการจะพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง และให้ได้ประสิทธิภาพในการย่อยมากขึ้น รวมทั้งสุขภาพที่ดีเยี่ยมเพิ่มขึ้นอีก คุณคงต้องเรียนรู้เกี่ยวกับ การกินแบบเรียงลำดับ(Sequential Eating) หรือที่เราเรียก "การกินตามหลัก Food Combining ขั้นสุดยอด พลังงานที่ใช้ในการย่อยจะถูกใช้อย่างประหยัด โดยการกินแบบนี้ ใช้เพื่อการรักษาโรคได้ และกำจัดของเสียของร่างกาย กำจัดเนื้อเยื่อที่ตายแล้ว ส่งผลทางใจและอารมณ์ที่ดี
ผู้พันแบรดฟอร์ดบอกเล่าเราว่า "เมื่อคุณกินอาหารชนิดหนึ่งเสร็จแล้ว ก่อนที่จะกินอย่างอื่นต่อ (เป็นการกินแบบ Sequential Eating) การย่อยอาหารของคุณจะทำงานในรูปแบบเป็นชั้น ๆ อาหารแต่ละชนิดถูกย่อยตามลำดับที่ถูกกินเข้าไป และเอ็นไซม์เฉพาะ ที่ใช้ในการย่อยอาหาร ที่เหมาะสมสำหรับอาหารแต่ละประเภท จะหลั่งมาย่อยในอาหารแต่ละชั้นโดยไม่รบกวนกัน (กลับไปดูหัวข้อรางวัลของการกินอาหารที่เหมาะสมตามหลัก Food Combining) ถ้าคุณกินเรียงลำดับได้อย่างถูกต้อง การย่อยอาหารของคุณจะเสร็จสิ้นในเวลา ไม่นาน ทำให้ปราศจากความอึดอัดอีกต่อไป
เมื่อมีคนไข้มาหาผม (Dr Bass) ด้วยปัญหาเกี่ยวกับการย่อยอาหาร ปวดหรือเจ็บกระเพาะอาหาร มีแก๊สมาก การหดตัว การเจ็บกระเพาะ ท้องผูก ท้องร่วง ผมมักจะแนะนำเขาว่าให้เลิกกินอาหารที่กินตามธรรมดานิยมทั่วไปเสีย แล้วหันมากินอาหารที่มีคุณค่า ผมบอกเขาให้หลีกเลี่ยงอาหารที่ผ่านการปรุงมาแล้ว หรืออาหารสำเร็จรูป ของกินเล่น และให้มากินพวกผักสดเป็นหลัก , Nuts เมล็ดพืช และผลไม้ แต่คนไข้บางคนก็ปฏิเสธที่จะกินอาหารแบบนี้ เขาเคยชินกับการกินแบบเดิม ๆ แทนที่จะปล่อยทิ้ง พวกเขาไปเลย เหมือนกับเป็น Case ช่วยไม่ได้แล้ว ผมแนะนำใ ห้พวกเขาเริ่มต้น การเปลี่ยนลำดับการกินอหารของเขา ภายในหนึ่งสัปดาห์ ปัญหาเกี่ยวกับการป่วยของคนไข้เหล่านี้หมดไป คุณคงจะจินตนาการได้ว่า พวกเขาจะมีความสุขแค่ไหนกับผลของมัน หลังจากได้พบกับ พัฒนาการของการย่อยอันวิเศษนี้ และคนไข้หลายคนเริ่มหันมาเปลี่ยนแปลง เพื่อพัฒนาการกินอาหารของพวกเขาเพิ่มขึ้น
ผมได้ปรับการกินอาหารของคนไข้ให้เข้มข้นขึ้น และพวกเขาดูตั้งใจ และสามารถที่จะทำตามคำแนะนำของผมได้ หลักพื้นฐานของผมคือ การกินเรียงลำดับที่เหมาะสม คนไข้คนหนึ่งได้พบว่าการย่อยของเขาดีขึ้น การดูดซึมคุณค่าทางอาหารดีขึ้น และความรู้สึกก็ดีขึ้น เป็นผลมาจากการกินแบบเรียงลำดับ เขาเหล่านั้น ตอนนี้เต็มใจที่จะเปลี่ยนแปลงมากินอาหารที่มีคุณค่าแล้วเช่นกัน
น้ำหนักลด คือผลที่ได้ตามมา ของการกินแบบเรียงลำดับ ซึ่งจะทำให้ส่วนเกินละลายออกไปอย่างรวดเร็ว ลองคิดดูซิว่า ในหนึ่งคำประกอบด้วยอาหารหลากหลายนิด ขณะที่ความต้องการอาหารของร่างกายยังคงที่ และ สิ่งนี้นำไปสู่การได้อาหารเกินความต้องการของร่างกาย ด้วยการกินแบบเรียงลำดับ แม้คุณจะอยู่กับสังคมปกติทั่วไป มีการควบคุมอาหารที่ยาก คุณก็ยังมีน้ำหนักที่ลดลง เพราะคุณจะกินน้อยลงโดยธรรมชาติอยู่แล้ว
หลักการกินแบบเรียงลำดับโดยสรุป
(The Principle of Sequential Eating Summarized)
มันอาจจะเป็นความเห็นที่ขัดแย้งกับความเข้าใจทั่ว ๆ ไป คือ อาหารแต่ละอย่างที่กินจะไม่ผสมผสานกันในกระเพาะ ถ้าเราไม่กินมันรวมกันในคราวเดียว เมื่อคุณกินอาหารชนิดหนึ่งในขณะหนึ่ง มันจะอยู่ในกระเพาะเป็นชั้นหนึ่ง และมันจะถูกย่อยในชั้นของอาหารนั้น
หนังสือของ Dr William Howell ชื่อ Textbook of Physiology เราได้เรียนรู้ว่านักวิจัยชาวยุโรปซึ่ง Dr Grutzner ประสบผลสำเร็จโดยการทดลองให้อาหารแก่หนูแต่ละคำ ด้วยสีของอาหารที่แตกต่างกันในแต่ละคำอาหาร หลังจากนั้นไม่นานหนูก็สังเวยชีวิตให้กับการทดลองกระเพาะที่ถูกแช่แข็ง ถูกผ่าซึกออก อาหารที่อยู่ในกระเพาะมีสภาพเป็นชั้น ๆ ของสีอาหารที่ถูกกินเข้าไป
อีกกรณีที่โด่งดังมากในการยืนยันการป่วย แบบเป็นชั้น ๆ ถูกเขียนในระหว่างสงครามกลางเมืองของอเมริกา โดยแพทย์ที่มีชื่อเสียงชื่อ Dr Beaumont โดยมีทหารถูกยิงบริเวณท้อง แผลเปิดกว้างที่กระเพาะอาหาร จนทำให้เห็นการทำงานของการย่อย แพทย์หลายคนได้มาศึกษา ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง และเหล่าแพทย์ได้สังเกตพบว่าการย่อยของเขา เป็นการย่อยแบบตามลำดับชั้น
ถ้าคุณต้องการพิสูจน์ด้วยตัวเอง ลองกินสิ่งต่อไปนี้ตามลำดับ แตงโม, สลัด, ชีส กินแต่ละอย่างให้เสร็จสิ้นเป็นอย่าง ๆ และเมื่อถึงเวลาถ่ายทุกข์ ให้สังเกตในส้วม ถึงสีของอุจจาระที่ถ่ายออกมา แตงโม สีแดงๆ จะออกมาก่อน ตามลำดับ สีน้ำตาลเข้มของสลัด ส่วน ชีส สีออกสีแทนจาง ๆ จะออกมาหลังสุด ของเสีย จะออกมาตามลำดับของการกิน ใคร ๆ ก็สามารถทดสอบแบบนี้ได้ แต่คุณต้องกินเรียงลำดับอาหารตามที่กล่าวมาแล้ว
เมื่อคุณกินอาหาร การย่อยของคุณจะเริ่มในกระเพาะ แตกต่างกัน ในแต่ละชั้น การหลั่งเอนไซม์ช่วยย่อยจากผนังกระเพาะ จะต่างกันในแต่ละชั้นเป็นผลให้อาหารทั้งหมดถูกย่อยอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ผมจะบอก กุญแจดอกสำคัญของการกินของ Natural Hygiene คือ "กินอาหารที่เหลวหรือมีน้ำมากที่สุดก่อน ตามด้วยอาหารเหลว หรือมีน้ำรองลงมาตามลำดับ จนจบด้วยอาหารที่มีน้ำน้อยและเข้มข้นที่สุดเป็นชนิดสุดท้าย อย่ากลับลำดับการกินเป็นอันขาด"
แนวความคิด ของการกินแบบเรียงลำดับได้เสริมคำแนะนำของ ผู้พันแบรดฟอร์ด เมื่อคุณกินอาหารตามลำดับก็เปรียบเสมือนคุณกินอาหารเพียงอย่างเดียวในหนึ่งมื้อตามที่ผู้พันแบรดฟอร์ดได้แนะนำ (ใช้เวลาในการย่อยเท่ากัน) สัตว์โลกทั้งหลายที่กินอาหารเพียงชนิดเดียวมีอยู่มากมายได้รับประโยชน์สูงสุดจากการย่อยที่เรียบง่าย
การกินอาหารร่วมกันอย่างเหมาะสม
(Proper Food Combining)
ต่อไปนี้คือ ตัวอย่างของมื้ออาหารที่ถูกกินอย่างเหมาะสม สมมติว่าไม่มีการหยุดพักระหว่างการกิน
a. แครอท ผักชี แตงกวา 3 อย่างผสมปั่นเป็นน้ำผัก หนัก 8 Ounces ใช้เวลาย่อย 15 นาที
b. สลัดผสม (ผักกาดหอม, มะเขือเทศ, กะหล่ำ, ผักชี, แตงกวา, พริกไทยแดงผสมกันในเครื่องป่น) น้ำหนัก 8 – 12 Ounces ใช้เวลาย่อย 20 นาที
c. ผลไม้ 2 ชนิดจำพวกแตง Melon หรือผลไม้ฉ่ำน้ำ เช่น แอปเปิ้ล และแพร์ น้ำหนัก 12 – 16 Ounces ใช้เวลาย่อย 30 นาที
d. (กินหรือไม่ก็ได้ Optional) เม็ดพืช (Seed) ผลไม้เปลือกแข็ง (Nut) น้ำหนัก 1–2 Ounces ใช้เวลาย่อย 2 – 3 ชั่วโมง
- ในแผนภาพด้านล่างจะเห็นได้ว่าน้ำผักส่วน a. ใช้เวลา 15 นาที ก่อนออกจากกระเพาะอาหาร
- สลัดผักผสม ส่วน b. ออกจากกระเพาะใน 20 นาที หลังจากน้ำผัก a 5 นาที
- แตงหรือผลไม้ 2 ชนิด ในส่วน d ใช้เวลา 30 นาทีก็เดินทางจากกระเพาะโดยประมาณ 10 นาที หลังสลัดผสม
- ถ้าคุณกินเม็ดฟักทอง, เม็ดทานตะวัน d มันจะค้างอยู่ในกระเพาะ 2 และ 1 ½ ชั่วโมง จะออกจากกระเพาะอาหารตามหลังผลไม้
ต่อไปนี้ คือ แนวทางเพื่อการเป็นหลักการกินแบบเรียงลำดับอย่างเหมาะสม
1. เริ่มต้นด้วยอาหารที่มีน้ำมากที่สุดก่อน จบท้ายด้วยอาหารที่เข้มข้นที่สุด (มีน้ำน้อยที่สุด)
2. เครื่องดื่มเป็นส่วนมากจะไปเจือจางและชะล้าง เอ็นไซม์ช่วยย่อยในแต่ละชั้นอาหารทำให้ย่อยยาก ดังนั้นอย่าดื่มขณะมื้ออาหาร
3. ผลไม้และผัก เป็นอาหารที่เข้ากันได้ในอาหารมื้อเดียวกัน ถ้าคุณกินอย่างถูกลำดับ เช่น สลัดผัก (ปราศจากการปรุงแต่งด้วยน้ำมัน) ควรถูกกินก่อนผลไม้ เพื่อการดูดซึมแร่ธาตุได้อย่างสูงสุด
4. หลีกเลี่ยงผลไม้กับมื้ออาหารที่มีการปรุง ยกเว้นถ้าคุณกินอาหารมื้อเดียว ต่อวันในกรณีนี้ ให้กินผลไม้ก่อน กินอาหารที่ปรุง ถ้าผลไม้ถูกกินภายหลัง อาหารที่ปรุงโดยทั่วไปจะเป็นแป้ง โปรตีน หรืออาหารไขมัน มันจะค้างอยู่ในกระเพาะ ตลอดเวลาย่อยอันยาวนานของอาหารที่กินก่อน ถ้าผลไม้ค้างอยู่ในกระเพาะหลายชั่วโมง การบูดเน่าจะเกิดขึ้นแน่นอน มันจะผลิตแก๊สจำนวนมาก เกิดการบวมจากลมภายใน มีกรด และอาหารไม่ย่อย ถ้าคุณกินผลไม้มีกรดบ้าง (Sub-acid Fruits) ก่อนอาหารพวกแป้งส่วนใหญ่จะไม่มีปัญหาอะไร
ถ้าคุณกินอาหารมื้อเดียวต่อวันให้ทิ้งช่วงสัก 20 – 30 นาที ระหว่างการกินผลไม้สดและพวกผักที่ปรุงแล้ว เพื่อการย่อยที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
5. พวกกรด หรือ ผลไม้ที่เป็นกรด ไม่ควรบริโภคหลังอาหารจำพวกแป้ง
6. อย่าบริโภค น้ำตาล น้ำหวาน ผลไม้สด ผลไม้แห้ง หลังอาหาร แป้ง โปรตีน หรือไขมัน
7. สำหรับนักกินที่ต้องเข้าสังคมทั่วไป ปลา สามารถถูกกินก่อนหรือหลังมันฝรั่งได้ เพราะมันจะถูกย่อยอย่างรวดเร็ว มันฝรั่งมีความเข้มข้นเพียง 1 ใน 10 ของอาหารพวกข้าว และถูกย่อยอย่างรวดเร็ว นี่คือข้อยกเว้นข้อหนึ่งที่คุณสามารถกินพวกโปรตีนร่วมกับคาร์โบไฮเดรตได้ในอาหารมื้อเดียวกัน
8. คุณอาจกินอาหารร่วมกันในกลุ่มของอาหารเดียวกันในหนึ่งมื้อ เพราะมันมีเวลาที่ใช้ในการย่อยใกล้เคียงกัน ตัวอย่างเช่น
* แตงโมอาจจะถูกกินได้หลังจากแตงชนิดอื่น ๆ โดยได้อย่างมาก 2 ชนิด
* ผลไม้ที่มีน้ำฉ่ำอาจถูกกินหลังจาก อีกชนิดหนึ่งที่ถูกกินไป 3 ชนิดเป็นอย่างมาก
* สลัดผักที่ฉ่ำน้ำอาจกินร่วมกับสลัดผักสดได้ เช่น มะเขือเทศ กะหล่ำชนิดต่าง ๆ ผักชี แตงกวา พริกไทยแดง/เขียว ถ้าคุณต้องการผักสดอื่น ๆ ก็เพิ่มได้รวมทั้งถั่วงอก
• ผักนึ่งหรือผักที่ปรุงแล้วอาจกินรวมกันได้ ให้กินจำพวกใบก่อน และตามด้วยพวกที่แข็งขึ้น เช่น Zucchini กะหล่ำดอก กะหล่ำปลี ตามด้วยพวกที่แข็งที่สุด พืชจำพวกรากใหญ่ เช่น แครอท beat (รากใหญ่ สีแดง) Rutabagas (พืชมีหัวใต้ดิน) หัวผักกาด (Turnip)
• มันฝรั่ง (Potatoes) นานาชนิด กินด้วยกันได้ตามด้วย Sweet Potato หรือ มันเทศ, ข้าวโพด ควรกินก่อนมันฝรั่ง และถ้ากินดิบ ๆ ควรกินเป็นผลไม้
• เมื่อระบบการย่อยของคุณแข็งแรงดี คุณอาจจะผสมข้าวกับอย่างอื่นบ้าง เช่นพวกถั่วมีฝักจำนวนหนึ่ง อาจกินกับข้าว มันเข้ากันได้ดี ตัวอย่างเช่น คุณกินข้าว 4 Ounces (นน.แห้ง) คุณอาจเติมถั่วมีฝักได้ 1 Ounces (นน.แห้ง)
• ถ้าคุณกินพวกเมล็ดพืช (Seeds) อาจกินได้ 2 ชนิด ตัวอย่างเช่น เม็ดทานตะวัน กับเม็ดฟักทอง หรืองา ผลไม้เปลือกแข้ง (Nut) 2 อย่างอาจกินตามไป ในบางโอกาส แต่กินชนิดเดียวดีที่สุด แช่เม็ด Seeds & Nuts ในน้ำค้างคืน แล้วป่นให้ละเอียด จะช่วยทำให้ย่อยง่ายขึ้น
• ถ้าคุณกินปลา อาจกินได้ 2 – 3 ชนิดด้วยกัน พวกสัตว์ปีก และเนื้อ อาจกินได้ 2 ชนิด เหมือนกัน แต่จำไว้ว่า กินอาหารมากชนิดโดยไม่จำเป็น จะนำไปสู่การกินอาหารเกินขนาด Overeating และควรหลีกเลี่ยง, กินเฉพาะ แป้ง หรือ โปรตีน อย่างใดอย่างหนึ่งในมื้ออาหาร
อาหาร 3 มื้อของ Dr Bass
(Dr Bass's Three Meal Plan)
ให้กินข้อ A, B, C, D (4 ส่วน) ตามลำดับ กิน A จบก่อน ต่อด้วย B, B จบต่อด้วย C,D ตามลำดับ
Note: แต่ละมื้อมีคุณค่าสารอาหารพอเพียง สมดุลต่อสุขภาพที่ดีอยู่แล้ว
มื้อเช้า (Breakfast)
A: น้ำผัก: 1/3 ของ หัวแครอท ผักชี แตงกวา ทำให้ได้น้ำหนัก 8 Ounces
B: สลัดผสมป่น ส่วนผสมของ มะเขือเทศ ผักกาดหอม แตงกวา ผักชี พริกไทย น้ำหนัก 8 – 12 Ounces
C: แตง (Melon) 1/8 – ¼ ผลของแตงโม น้ำหนัก 10 Ounces อาจกินผลไม้ 2 ชนิด แทนก็ได้ เช่น กล้วย 2 – 4 ผล ให้ได้น้ำหนัก 16 Ounces
D: เลือกส่วนผสมต่อไปนี้ให้ได้น้ำหนัก 16 Ounces
- ไข่แดงลวก 1 – 2 ฟอง (แนะนำให้กินไข่แดงมากกว่า seeds & nuts)
- Seeds หรือ Nuts น้ำหนัก 1 Ounces
- ข้าว เช่น ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ท ข้าวฟ่าง (Millet) มันฝรั่ง ข้าวโพด ผักน้ำเต้า
Note: เพิ่มอาหารข้อ D สำหรับผู้ที่ต้องใช้แรงงานหรือผู้ที่กำลังเริ่มเปลี่ยนมากินแบบ Nature Hygiene , ในช่วงหน้าร้อนร่างกายต้องการน้ำเพิ่ม คุณอาจเพิ่มจำนวนของแตงเพิ่มขึ้น สำหรับมื้อเช้า
มื้อกลางวัน (Lunch)
(A) น้ำผัก : 1/3 ของหัวแครอท + ผักชี + แตงกวา น้ำหนัก 8 Ounces
(B) Blended Salad (สลัดผสม) หรือสลัดผัก น้ำหนัก 8 – 12 Ounces
(C) ผลไม้ 1 ชนิด หรือ ข้าวโพด 1 – 2 ผัก น้ำหนัก 8 Ounces
(D) * เมล็ดพืชดิบ Seeds หรือ Nuts น้ำหนัก 1 – 2 Ounces
* อาโวการ์โด น้ำหนัก 8 Ounces
* กินได้ 2 ครั้งต่ออาทิตย์ แทน Seeds หรือ Nuts
- Ricotta Cheese น้ำหนัก 8 Ounces
- Pot cheese, low – fat cheese, Unsalted Raw milk cheese น้ำหนัก 2 – 4 Ounces
* ผู้ที่ไม่กินมังสวิรัติ กินปลา ได้ 2 ครั้ง ต่ออาทิตย์
Note: (D) ให้เลือกกินแต่ละชนิด อย่างใดอย่างหนึ่ง
มื้อค่ำ (Dinner)
(A) น้ำผัก : มะเขือเทศ, แตงกวา, Zucchini น้ำหนัก 8 Ounces
(B) สลัดผัก เติมน้ำมัน 1 ช้อนโต๊ะ และมะนาว 1 ช้อนชา น้ำหนัก 8 – 12 Ounces
(C) ผักนึ่ง 1 – 2 ชนิด
น้ำหนัก 4 Ounces (แต่ละชนิด)
(D) ให้เลือก 2 อย่าง ต่อไปนี้ โดยกินสลับวันเว้นวัน
*ข้าวโพด 1 ฝัก หรือ ฟักทองผสมมันฝรั่ง หรือ มันฝรั่งผสมมันเทศ 16 Ounces
*ข้าว 3 – 4 Ounces (นน.แห้ง) + ถั่วมีฝัก หรือ ถั่วเขียว (Chicken Pea)
สำหรับผู้ที่ไม่ใช่มังสวิรัติ และกินเนื้อได้ ให้ยกเลิก ข้อ (D) ในมื้อค่ำ และหลังจากกิน (A), (B), (C) แล้วคุณอาจกินมั่นฝรั่ง 8 – 12 Ounces หรือพวกข้าว 4 Ounces (นน.แห้ง) ตามด้วย ปลาหรือไก่ หรือเนื้อ หรือไก่งวง 4 Ounces อย่ากินอาหารเนื้อสัตว์มากกว่า 5 ครั้ง ต่อสัปดาห์ในช่วงเริ่มต้น จากนั้นให้ลดลง เป็น 2 – 3 ครั้งต่อสัปดาห์ในหนึ่งเดือน
คุณอาจจะกินปลา 2 – 3 ครั้งต่อสัปดาห์ หรือแทนที่ด้วยการกินไก่ 1 ครั้งต่อสัปดาห์ ไข่ 2 ใบ อาจกินได้ เป็นครั้งคราวในการกินแทนไก่
เมื่อคุณไปทานอาหารเข้าสังคมและกินตามปกติทั่วไป คุณอาจเริ่มด้วยการกินสลัดผัก ตามด้วยมันฝรั่ง ต่อด้วยปลาหรือไก่, ในภัตตาคารจีน คุณอาจกินผักก่อน ต่อด้วยปลา ตามด้วยข้าว, นักมังสวิรัติจะละเว้นเนื้อสัตว์ โดยกินผักก่อน ตามด้วยข้าว
ถ้าคุณต้องการลดน้ำหนักให้คุณกินแค่ 2 มื้อพอ โดยงดมื้อเช้าหรือมื้อเที่ยง แต่ต้องคงมื้อเย็นไว้ น้ำหนักส่วนเกินจะลดลงอย่างแท้จริง ถ้าคุณกินเฉพาะอาหารสด ให้แทนที่มื้อค่ำด้วยมื้อเที่ยง (คือกินสูตรอาหารมื้อเที่ยงสำหรับตอนเที่ยง และตอนค่ำ 2 มื้อ)
ถ้าคุณยังเลิกกินอาหารแบบเดิม ๆ ไม่ได้ มันก็ยังคงเป็นปัญหาที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ที่จะเกิดความปั่นป่วนในอาหารที่ผสมผสานกัน ทำตามหลักการกินแบบเรียงลำดับง่าย ๆ นี้ "กินอาหารที่เหลวหรือมีน้ำมากที่สุดก่อน แล้วตามด้วยอาหารที่แข็งและหนาแน่นที่สุด" ยังไงก็ตาม คนฉลาดจะพยายามบากบั่น ใช้ชีวิตอย่างชาญฉลาด ที่จะได้รับคุณค่าทางอาหารที่ดีที่สุด
ปริมาณอาหารที่เหมาะสมควรจะเป็นเท่าไร? มันก็คือ จำนวนที่น้อยที่สุดที่ร่างกายคุณต้องการ จากสารอาหารที่จำเป็น เพื่อชีวิตที่แข็งแรง มีความสุข และยืนยาวนาน เป็นอิสระจากโรคภัยไข้เจ็บ และความอ่อนแอ (Infirmity) นักปราชญ์ทางด้านโภชนาการ แนะนำเราว่า ให้กิน 1 ใน 3 ของที่เราเคยกิน ผู้ชำนาญการท่านอื่นได้บอกเราว่า ให้ลุกจากโต๊ะอาหารในขณะที่เรายังหิวอยู่ ผู้พันแบรกฟอร์ดได้บอกว่า เหล่าลามะกินเพียงน้อยนิด แต่อยู่อย่างมีความสุขโดยไม่ต้องควบคุมอาหารมากมายเลย
Summarize the basic Principle of Food Combining
1. ยิ่งกินน้อยเท่าไหร่ เวลาที่ใช้ในการย่อยก็ยิ่งน้อยเท่านั้น ยิ่งกินมากยิ่งย่อยนาน
และต้องใช้พลังงานมาก สำหรับการย่อย
2. การเคี้ยวอาหารของคุณให้ละเอียดอย่างทั่วถึง การย่อยจะยิ่งเร็วขึ้น
3. คุณยิ่งกินอาหารน้อยชนิดในมื้อหนึ่ง การย่อยของคุณก็ยิ่งง่ายเข้า และมันก็มี
โอกาสน้อยที่คุณจะกินอาหารเกินขนาด ยิ่งคุณกินอาหารมากชนิดมันก็มีโอกาส
ให้คุณลุ่มหลงกับอาหารมากเกินไป (Overeat)
4. ท้ายที่สุด ดังที่ผู้พันแบรดฟอร์ดได้แนะนำ ให้คุณพัฒนาความก้าวหน้าของ
คุณ ชาวโรมันไม่ได้สร้างกรุงโรมเสร็จในวันเดียว คุณอาจไม่ได้รับผลอันเลอเลิศ
ใน 1 อาทิตย์ ให้คุณพัฒนาอย่างช้า ๆ และสบาย ๆ โดยปฏิบัติโยคะทั้ง 5
กระบวนท่า แบบ Five Tibetan Rites และการกินอาหารแบบ Food Combining
คุณจะได้รับ สุขภาพที่ดีที่สุด เท่าที่คุณเคยมีในช่วงเวลาหลายปีที่ผ่านมา