วิตามินซี

  • Tab 1
  • Tab 2
  • Tab 3
  • Tab 4
  • Tab 5

วิตามินซีวิตามินซี

วิตามินซี (Ascorbic Acid)

วิตามินซี ในอาหารมี 2 รูปแบบ ซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้ได้มี 2 ชนิด คือ ascorbic acid และ dehydroascorbic acid แหล่งของ วิตามินซี อยู่ในพืช ผัก ผลไม้ ที่มี รสเปรี้ยว วิตามินซี เป็นสารที่สลายตัวง่ายเมื่อมีความร้อน โลหะหนัก และ ascorbic oxidase enzyme ที่มีอยู่ในผลไม้ ประโยชน์ของ วิตามินซี มีบทบาทกว้างขวางในหลายระบบได้แก่ Hydroxylation ของ prolin เพื่อสร้างcollagen ซึ่งเป็นองค์ประกอบของ กระดูก กระดูกอ่อน ฟันและผนังเส้นเลือด , ฤทธิ์ฆ่าเชื้อของเม็ดเลือดขาว, การ reduce เหล็กจาก ferric เป็นferrous ในกระเพาะอาหาร ช่วยเพิ่มการดูดซึมของเหล็ก , antioxidant เป็นต้น หากขาด วิตามินซี ผู้ป่วยจะมีอาการแสดงของการมีเลือดออกตามไรฟัน อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร เหงือกบวม ฟันหลุดง่าย และแสดงอาการของโรคลักกะปิดลักกะเปิด หากไม่ได้รับการรักษาอาจทำให้ตายได้ ทารกที่ขาด วิตามินซี จะทำให้ร่างกายไม่เจริญเติบโต มีเลือดออกตามเหงือก และผิวหนัง มีความบกพร่องในการเจริญเติบโตของกระดูก และอาจเป็นโรคโลหิตจางได้ การใช้ที่ไม่เหมาะสม ของ วิตามินซี ในการรักษาโรคต่อไปนี้ ยังไม่เป็นที่ยอมรับทางการแพทย์ เช่น โรคมะเร็ง เหงือกอักเสบ โรคติดเชื้อ bleeding ฟันผุ โลหิตจาง สิว เป็นหมัน ชะลอความแก่ หลอดเลือดแข็ง และโรคหวัด
ข้อห้ามใช้ของ วิตามินซี วิตามินซี ห้ามใช้กับยาจำพวกกันเลือดแข็ง เช่น wafarin sodium เพราะจะทำให้เลือดออกมากขึ้น และหากรับประทาน วิตามินซี มากเกินไป อาจทำให้เกิดเป็นโรคนิ่วในไต เนื่องจากกรดออกซาลิคที่มีมากขึ้นในปัสสาวะ

ข้อมูลทั่วไป

o วิตามิน C ในอาหารมี 2 รูปแบบซึ่งร่างกายสามารถนำไปใช้ได้ทั้ง 2 ชนิดคือ Ascorbic acid และ Dehydroascorbic acid ซึ่ง Ascorbic acid มีผลึกสีขาวมีรสเปรี้ยว วิตามินซี เป็นวิตามินชนิดที่ละลายน้ำได้ (WATER SOLUBLE) เมื่อละลายน้ำมีฤทธิ์เป็นกรด และเป็นวิตามินที่สลายตัวเร็วที่สุดในจำพวกวิตามินด้วยกันโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ไวต่อออกซิเจนมาก (ปฏิกิริยา oxidation) เมื่อตั้งทิ้งไว้ในบรรยากาศที่มีทองแดง และในสิ่งแวดล้อมที่มีสภาพเป็นด่าง และAscorbic oxidase enzyme ที่มีอยู่ในผลไม้ คุณสมบัติอย่างหนึ่งของ วิตามินซี ที่ทราบกันดีก็คือช่วยป้องกันและรักษา โรคลักปิดลักเปิด (scurvy)ได้

ความเป็นมา

เรื่องราวความเป็นมาของวิตามินซีในวงการแพทย์ย้อนนับไปได้กว่า ๒๐๐ ปีโดยมันถูกใช้เป็นยาหลักที่ใช้สู้กับโรคลักปิดลักเปิด หรือที่ภาษาแพทย์เรียก Scurvy ลักปิดลักเปิดเป็นโรคจากการขาดสารอาหารอันดับแรกทีมนุษย์รู้จัก เกิดจากการขาดวิตามินซี ซึ่งมีในผักผลไม้
ลักปิดลักเปิดเป็นโรคโบราณมีบันทึกย้อนไปกว่า ๒,๐๐๐ ปี พบมากในชาวเรือที่ออกจากฝั่งนานๆ หรือชาวฝรั่งที่ขาดผลไม้สดกินในฤดูหนาว อาการเริ่มต้นคือมีเลือดออกตามไรฟัน มีจ้ำเลือดใต้ผิวหนัง ถ้าขาดวิตามินซีติดต่อกันนานๆ จะเกิดโลหิตจาง แผลหายช้า และกระดูกอ่อนแอผิดปรกติ ด้วยภูมิปัญญาชาวบ้านคนโบราณ สังเกตเห็นว่า หากให้กินผักผลไม้สดเพียงไม่นาน โรคร้ายก็หายไป แสดงว่ามีสารสำคัญบางอย่างในผักผลไม้
ในราวปีค.ศ.๑๕๓๐ นักสำรวจชาวฝรั่งเศสบันทึกไว้ว่า เขาพบเห็นชาวพื้นเมืองของเกาะนิวฟาวด์แลนด์รักษาโรค ลักปิดลักเปิดโดยใช้น้ำคั้นหน่ออ่อนของพืชสีเขียว
อย่างไรก็ตาม ในช่วงนั้นยังไม่มีใครสามารถสรุปได้แน่ชัดว่า ทำไมชาวเรือจึงป่วยและควรรักษาอย่างไร
ลักปิดลักเปิดจึงยังคงเป็นโรคประจำตัวของชาวเริอนานต่อมาอีก ๒๐๐ ปี
จนเมื่อศัลยแพทย์ชาวอังกฤษ เจมส์ ลินด์ เริ่มศึกษาจริงจัง เขาได้ข้อสังเกตว่า อาหารรสเปรี้ยวมีแนวโน้มรักษาโรคลักปิดลักเปิด ดีกว่าอาหารรสอื่น
คุณหมอจึงได้ทดลองจับผู้ป่วยที่โดยสารกับเรือซาลิสเบอรี แยกเป็น ๖ กลุ่มทุกคนได้กินอาหารแบบชาวเรือ เหมือนกันหมด แต่มีการเพิ่มเครื่องดื่มพิเศษแตกต่างกัน ในแต่ละกลุ่ม
กลุ่มแรก โชคร้ายสุดได้รับกรดกำมะถันเจือจาง
กลุ่มที่สอง น้ำแอปเปิ้ล
กลุ่มที่สาม น้ำทะเล
กลุ่มที่สี่ น้ำส้มสายชู
กลุ่มที่ห้าได้น้ำสมุนไพรอันเป็นส่วนผสมของกระเทียมมัสตาร์ด และอื่นๆอีกสองชนิด
กลุ่มสุดท้าย โชคดีที่สุด คือได้ดื่มน้ำส้มและมะนาว
หมอลินด์พบว่ากลุ่มที่ดื่มน้ำส้มและมะนาวจะหายจากโรคเร็วที่สุด ใช้เพียง ๖ วัน กลุ่มกินแอปเปิ้ลอื่นหายใน ๒ สัปดาห์ ส่วนที่เหลือไม่หายเลย
หมอลินด์ตีพิมพ์ผลการค้นพบเป็นทางการครั้งแรก ในปีค.ศ.๑๗๕๓ เขาได้รับการยกย่องว่า เป็นแพทย์คนแรกที่สามารถพิสูจน์ให้เห็น ความสัมพันธ์ ระหว่างโรคกับอาหาร หลังจากหมอลินด์พบว่า ส้ม มะนาวแก้โรคลักปิดลัก เปิดเกือบ ๒๐๐ ปี ในปีค.ศ.๑๙๓๒ คาณ์ซิเมอ์ ฟุงค์ ได้ทดสอบยืนยันว่า โรคลักปิดลักเปิด สามารถป้องกันได้ด้วยวิตามิน และเสนอให้หาทางสกัดวิตามินตัวนี้จากส้มและมะนาว
ในปีค.ศ.๑๙๓๒ จึงพบว่าสารรสเปรี้ยวในส้มมะนาว ที่แท้เป็นกรดตัวหนึ่งเดิมตั้งชื่อว่า Hexuronic Acid แต่ต่อมาเปลี่ยนเป็นกรดแอสคอร์บิก หรือวิตามินซีนั่นเอง
คำว่าแอสคอร์บิก แปลว่า ปราศจากลักปิดลักเปิด
ปีค.ศ.๑๙๙๐ สถาบันมะเร็งแห่งชาติอเมริกาได้ประกาศว่า
วิตามินซีมีฤทธิ์ต่อกระบวนการทางชีวภาพอย่างซับซ้อน และหลากรูปแบบ บางทีอาจเป็นที่สุดของบรรดาวิตามิน และสารอาหารทุกชนิด

คุณประโยชน์

วิตามินซีเป็นสารอาหารที่จำเป็นมากสำหรับมนุษย์ แต่ไม่จำเป็นสำหรับสัตว์ส่วนใหญ่และพืช เพราะมันสามารถ สังเคราะห์วิตามินซี ได้จากน้ำตาลกลูโคส
บทบาทหลักของวิตามินซีคือ การช่วยสร้างและซ่อมแซมคอลลาเจน คงได้ยินชื่อ คอลลาเจนกันบ่อยๆนะครับ มันคือส่วนของผิวหนัง ที่ทำให้คุณดูเต่งตึง ไม่มีริ้วรอย ไม่หย่อนยาน ผิวหนังที่มีคอลลาเจนจะกระชับแลดูสดใส คงรูปสวย ใครๆจึงปรารถนาคอลลาเจน ถึงขนาดมีการฉีดคอลลาเจนใส่ผิวหน้าเพื่อให้เต่งตึง แต่ก็ได้ผลเพียงเล็กน้อยและชั่วครั้งคราว ไม่ดีเท่ากับที่ร่างกายเราสร้างใช้เอง
นอกจากจะช่วยให้ผิวพรรณเต่งตึง คอลลาเจนยังเป็นเนื้อเยื่อสำคัญที่ยึดเซลล์ และเนื้อเยื่ออื่นๆเข้าด้วยกัน (จึงได้ชื่อว่าเนื้อเยื่อเกี่ยวพัน) และเป็นเนื้อเยื่อหลักของหลอดเลือด ผิงหนัง และพังผืด
การศึกษาบางชิ้นพบว่า คนทั่วไปร้อยละ ๒๕ ได้รับวิตามินซีต่อวันต่ำกว่าปริมาณขั้นต่ำ ที่วงการแพทย์ยอมรับและมีคนเพียงร้อยละ ๙ ที่กินผักผลไม้เพียงพอตามคำแนะนำ
วิตามินซีสำคัญขนาดนี้แต่คนส่วนใหญ่ กลับได้วิตามินซีต่ำกว่ามาตรฐาน เพราะไม่ค่อยยอมกินผักผลไม้กัน
ถ้าคุณไม่กินผักผลไม้สด คุณอาจขาดวิตามินซี ร่างกายก็สร้างคอลลาเจนไม่เต็มที่ ผิวพรรณแห้งเหี่ยวเหมือนข้าวเหนี่นวปิ้ง
ใครกินผลไม้ทุกวันผิวพรรณสดใสปิ๊งๆ
วิตามินซียังช่วยเสริมการเจริญของกระดูกและฟัน เสริมการสังเคราะห์โปรตีนฮอร์โมน เสริมการดูดซึมแร่ธาตุสำคัญคือ ธาตุเหล็กและแคลเซียม และวิตามินซีก็ไม่ให้เราผิดหวัง มันช่วยเก็บกวาดอนุมูลอิสระ และช่วยเสริมภูมิคุ้มกันโรค ทำให้ร่างกายกำจัดโรคร้ายได้แต่เนิ่นๆ
ภูมิคุ้มกันถูกสร้างขึ้นในตับ วิตามินซีช่วยกระตุ้นขบวนการทางเคมีเพื่อสร้างภูมิ คุ้มกันซึ่งจะถูกกระตุ้นให้หลั่งเข้าสู่กระแสเลือดมากขึ้น เมื่อร่างกายถูกเชื้อโรคหรือสิ่งแปลกปลอมโจมตี
ดังนั้นประโยชน์หลักประการหนึ่งของวิตามินซี คือช่วยยับยั้งและต้านทานเชื้อโรค กระตุ้นการทำงานของเม็ดเลือดขาว และภูมิคุ้มกันของร่างกาย
ในแง่การกินวิตามินซีเพื่อป้องกันโรคภูมิแพ้นั้น เกิดจากแนวคิดที่ว่า หากวิตามินซีช่วยเสริมให้การสร้างภูมิคุ้มกัน เป้นไปโดยสมบูรณ์ไม่บกพร่อง บางทีโรคภูมิแพ้อาจหายได้ เท็จจริงไม่มีการพิสูจน์
อีกหนึ่งบทบาทคือ การปกป้องมะเร็ง เนื่อสัตว์แปรรูปหลายชนิดมีการเติมสารเคมี ที่อาจแปรเปลี่ยนเป็น ไนโตรซามีน ในกระเพาะเจ้าสารตัวนี้เป็นสารก่อมะเร็ง ที่ถูกยับยั้งได้ด้วยวิตามินซี

วิตามินซีสมานแผล
จากการศึกษาพบว่าแผลจะหายเร็วหรือช้าขึ้นกับ ปริมาณวิตามินซีที่คุณบริโภค ซึ่งกระตุ้นความเร็วในการสร้างคอลลาเจนใหม่
คอลลาเจนเป็นโปรตีนชนิดหนึ่ง มีองค์ประกอบหลักเป็นกรดอะมิโนสองตัว คือโพรลีนและไฮดรอกซีโพรลีน ร่างกายของเราได้ไฮดรอกซีโพรลีน โดยการสังเคราะห์จากโพรลีน ซึ่งจะเกิดขึ้นสมบูรณ์ภายใต้การช่วยเหลือของวิตามินซี
ดังนั้นเมื่อปริมาณของวิตามินซีน้อยเกินไป ก็จะไม่มีการสร้างคอลลาเจน ขบวนการซ่อมแซมก็จะเชื่องช้า ไร้ประสิทธิภาพ

วิตามินซีกับเส้นเลือดฝอย
เมื่อใดที่เกิดภาวะพร่องวิตามินซี เส้นเลือดฝอยจะเปราะง่าย สังเกตได้ในคนที่มีรอยช้ำง่าย หรือมีเลือดกำเดาไหลบ่อยๆ แสดงถึงความอ่อนแอของเส้นเลือดฝอย จากการขาดวิตามินซี
วิตามินซีทำงานคู่กับไบโอฟลาโวนอยด์ ผักสดและผลไม้เป็นแหล่งตามธรรมชาติทั้งของ วิตามินและไบโอฟลาโวนอยด์ เมื่อกินผักผลไม้เราจะได้สารทั้งสองเข้าสู่ร่างกาย พร้อมกัน ดีกว่าการซื้อวิตามินซีชนิดเม็ดมารับประทาน ซึ่งจะได้รับเฉพาะวิตามินซี

วิตามินซีต้านอนุมูลอิสระ
ทุกวันนี้คุณประโยชน์ที่กล่าวมาข้างต้น กลับเป็นรองฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสะ เมื่อมีการค้นพบว่า คนเราจะแก่ชราเสื่อมโทรมลงด้วย สองปัจจัยหลักคือ
- หนึ่ง แก่เพราะกาลเวลา คือเวลาทำให้เฒ่าชะแรแก่ชรา เรียกว่า แก่เลขอายุ
- สอง แก่เพราะอนุมูลอิสระ หากคุณมีอนุฒูลอิสระเกิดในร่างกายมาก คุณจะเหี่ยวหง่อม เกิดโรคเสื่อมของอวัยวะก่อนวัยอันควร คนแก่แบบนี้ต้องเรียกว่าแก่สุขภาพ อาการที่เห็นชัดคือหนังดหี่ยว หลังโก่ง ตาฝ้าฟาง ความจำเสื่อม
ดังนั้นใครที่กินอาหารต้านอนุมูลอืสระมาก สุขภาพจะแก่ช้าลง ส่วนเลขอายุก็เลื่อนไปเรื่อยๆ คือแก่แต่ไม่หง่อม เจ็ดสิบแต่หน้าตาผิวพรรณเหมือนห้าสิบ

ครีมผสมวิตามินซี
หากคุณเดินแผนกเครื่องสำอางในห้างสรรพสินค้า ทุกวันนี้ คุณจได้พบเครื่องสำอางบำรุงผิวชนิดผสม วิตามินวางเรียงภายในตู้โชว์ลานตา ข้างขวดครีม บำรุงผิวขนาดใหญ่อาจมีฉลากระบุว่า เติมวิตามินบี ๓ บี ๕ วิตามินเอซีและอี แม้แต่ลิปสติกก็มีการเติมวิตามินเอและอี
ผู้บริโภคส่วนใหญ่คงสับสนกับประโยชน์ของวิตามิน ดูราวกับว่าวิตามินสามารถก่อประโยชน์ต่อสุขภาพ ผิวด้วยการทา แทนการกิน บางคนพูดติดตลกว่า ต่อไปนี้คงมีนักวิชาการแขนงใหม่ คือนักโภชนาการทางผิวหนัง
โดยทั่วไปร่างกายไม่ยอมให้วิตามินและเกลือแร่ ซึมผ่านผิวเข้าไปบำรุงร่างกาย ดังนั้นวิตามินทั้งหลายในเนื้อครีม จึงมิได้ก่อประโยชน์ในแง่บำรุงร่างกาย แต่มันมีบทบาทในรูปแบบอื่นๆ เช่น ในกรณีของครีมผสมวิตามินซีมีการ ศึกษาเมื่อเดือนตุลาคมปีที่ผ่านมา(พ.ศ.๒๕๔๒) ตีพิมพ์ในวารสาร Applied Cosmetolosy บอกเงื่อนงำแก่เราว่าวิตามินซีซึ่งมีฤทธิ์เป็น สารต้านอนุมูลอิสระตัวเก่งนั้น เมื่อนำมาทาผิวหนัง มันสามารถช่วยต่อสู้กับ อนุมูลอิสระบนผิวหนังได้ดี จึงช่วยปกป้องผิวหนังจากฤทธิ์ทำลายของอนุมูล อิสระที่เกิดจากแสงแดด ทั้งยูวีเอ และยูวีบี
การศึกษาอีกชิ้นหนึ่งทำบนหนังสุกร พบว่าวิตามินซีมีประสิทธิภาพในการปกป้อง ผิว(สุกร) จากการถูกทำลายโดยรังสียูวี เมื่อใช้ร่วมกับครีมกันแดด
ผู้วิจัยคือ ดร.เชนดอน พินเนล ให้ความเห็นว่าฤทธิ์ของวิตามินซีอยู่ในระดับดีพอควร แม้จะไม่สามารถใช้ทดแทนสารกันแดดทั่วไป แต่เมื่อใช้ร่วมกับครีมกันแดด มันจะช่วยเสริมฤทธิ์ โดยเฉพราะวิตามินซีในรูปแอสคอร์บีล พาลมิเตท(Ascobyl Palmitate) ยังอาจช่วยฟื้นฟูผิวที่เกิดร่องรอยถูกทำลาย จากแสงแดดได้ด้วย
งานวิจัยตีพิมพ์ในปีค.ศ.๑๙๙๗ พบว่า แอสคอร์บีล พาลมิเตท ช่วยลดการอักเสบและผิวร้อนแดงจากแดด เผาได้ถึงครึ่งหนึ่ง และทำให้การอักเสบหายเร็วขึ้น หากซื้อผลิตภัณฑ์ผสมวิตามินซี มองหาชนิดที่ใช้ Ascobyl Palmitate

แหล่งในอาหาร
พบวิตามินซีในพืชผักส่วนใหญ่ เช่น ถั่วงอก กะหล่ำปลี กะหล่ำดอก ฝรั่ง มะละกอ ผลไม้รสเปรี้ยวส่วนใหญ่
มะนาวและส้มทุกชนิดนับเป็นแหล่งที่ดี ของวิตามินซี ฟลาโวนอยด์ และเบต้าแคโรทีน
ส้มหนึ่งลูกใหญ่บรรจุวิตามินซีถึง ๕๐ มิลลิกรัม

ประโยชน์ต่อร่างกาย

o จาก ที่ได้กล่าวมาแล้วว่า วิตามินซี ในอาหารมี 2 รูปแบบคือ Ascorbic acid กับ Dehydroascorbic acid ซึ่ง Ascorbic acid มีลักษณะโมเลกุลคล้ายกับน้ำตาลกลูโคส วิตามินซี เมื่อถูกออกซิไดซ์จะกลายเป็น Dehydroascorbic acid เป็นโมเลกุลที่มีความไวในการทำปฏิกิริยาทางเคมีในร่างกาย วิตามินซี ร่วมในปฏิกิริยา oxidation reduction และในปฏิกิริยาการขนส่ง อนุมูล hydrogen ด้วยเหตุนี้ วิตามินซี จึงเป็นโมเลกุลที่มีความไวในการทำปฏิกิริยาทาง reducing agent หรือ antioxidant ที่มีพลังโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในปฏิกิริยาการเผาผลาญสารอาหารไขมัน และ วิตามินซี มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการป้องกันไม่ให้เกิด oxidation ของ tetrahydrofolate ซึ่งเป็นโฟเลท coenzyme นอกจากนั้น วิตามินซี ยังเป็นตัวกระตุ้นให้มีการดูดซึมเหล็กในรูปแบบที่เป็น non-heme ในลำไส้ให้มากขึ้น
o ส่วนเหล็กที่อยู่ในเนื้อสัตว์ต่างๆ จะเป็น heme-iron ร่างกายจะดูดซึมได้ดี วิตามินซี ยังเกี่ยวกับการสังเคราะห์ collagen จะเป็นรากฐานของสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคลักปิดลักเปิด ( scurvy ) เมื่อมีการขาด วิตามินซี การทำงานของ enzyme dopamine - -hydroxylase จะลดลง ทำให้การสังเคราะห์ neurotransmitters เป็นไปได้น้อยลง วิตามินซี ยังมีความเกี่ยวพันกันกับการสังเคราะห์ carnitine ระบบการสร้างภูมิคุ้มกันและการรักษาบาดแผล ซึ่ง วิตามินซี มีผลต่อการทำงานของเม็ดเลือดขาว Macrophage,immune reponse,wounding healing และ allergic reaction
o จากการศึกษาทางระบาดวิทยามี ข้อมูลสนับสนุนว่า วิตามินซี อาจจะเป็นปัจจัยประกอบปัจจัยหนึ่ง ที่ช่วยลดอัตราการเสี่ยง ต่อการเกิดโรค มะเร็ง และโรคหัวใจ โดยที่ วิตามินซี จะทำปฏิกิริยากับอนุมูลอิสระ superoxide และ hydroxyl ( HO ) ป้องกันไม่ให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่ซึ่งมาจากการสะลายตัวของกรดไขมันที่ไม่ อิ่มตัว ( polyunsaturated fatty acid ) วิตามินซี อาจจะทำปฏิกิริยาโดยทางอ้อมในการป้องกันการสะลายตัวของไขมันใน เยื่อบุเซลล์ โดยช่วยในการสังเคราะห์วิตามินอีที่ติดกับ ผนังเซลล์ขึ้นมาใหม่เป็นการ ป้องกันโรคมะเร็ง อาจเนื่องมาจาก วิตามินซี ช่วยในการทำลายพิษของสารก่อมะเร็ง โดยการสกัดขบวนการ เกิดเซลล์มะเร็งเนื่องมาจากคุณสมบัติที่เป็น antioxidant โดยการจับกับอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้น และกระตุ้นให้มีภูมิต้านทาน

ฤทธิ์ของ วิตามินซี ที่มีผลต่อร่างกาย

+ วิตามินซี มีความสำคัญต่อสุขภาพเหงือก และฟัน กระดูกเยื่ออ่อนและผิวหนังคือ วิตามินซี จะช่วยร่างกายในการผลิต และการรักษาระดับของสารคอลลาเจน ( COLLAGEN ) ซึ่งเป็นโปรตีนที่ใช้ในการสร้างกระดูกและฟัน เส้นเอ็นและผิวหนัง ที่กระจายอยู่ทั่วไปในโครงสร้าง คอลลาเจนประกอบด้วยไฮดรอกซีโพรลีน ซึ่งได้จากการเปลี่ยนโพรลีน การขาด วิตามินซี จะทำให้ไม่มีการเปลี่ยนโพรลีนเป็นไฮดรอกซีโพรลีน ทำให้มีอาการของโรคลักปิดลักเปิด เกิดความผิดปรกติของกระดูกและฟัน ถ้ามีบาดแผลจะทำให้บาดแผลหายช้า เพราะการสร้างเนื้อเยื่อเกี่ยวพันที่แผลไม่ปรกติ
+ ช่วยในการเร่งให้แผลหาบเร็วขึ้นโดยเฉพาะแผลที่ถูกไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ซ่อมกระดูกที่สึกหรอ หรือแตกร้าว และกระดูกหัก
+ ช่วยในการสร้างสารในหลอดเลือดฝอย ที่ทำหน้าที่ป้องกันการฟกช้ำดำเขียวหรือเลือดออกใต้ผิวหนัง
+ ช่วย ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็ก ( IRON ) ดีขึ้น โดย วิตามินซี จะเปลี่ยนเหล็กในอาหารให้อยู่ในสภาพของ เฟอร์ริกไอออนให้เป็น เฟอร์รัสไอออน และยังรวมกับเหล็กเป็นสารอณูเล็กทำให้ดูดซึมได้ดีขึ้น และช่วยทำให้ทรานเฟอร์ริน ( transferrin ) ปลดปล่อยเหล็กออกมาสู่กระแสโลหิตเพื่อนำไปใช้สร้าง เฟอร์ริทิน ( ferritin )
+ ช่วยเปลี่ยนกรดโฟลิค ให้เป็น กรดโฟลินิค ซึ่งช่วยป้องกันโรคโลหิตจางชนิดเม็ดเลือดแดงมีขนาดใหญ่ ( megaloblastic anemia ) และมีบทบาทในแคลเซียมเมแทบอลิซึม
+ ช่วยในการเปลี่ยนทริปโทเฟน ไปเป็น เซโรโทนิน ( serotonin ) ซึ่งเป็นสารประกอบประเภทฮอร์โมน มีหน้าที่ทำให้เกิดการหดตัวของกล้ามเนื้อเรียบ เพิ่มความดันโลหิต จึงมีผล ช่วยลดความดันในลูกตา ช่วยคนที่เป็นต้อหินได้ ป้องกันตาบอดฉับพลัน
+ มีความสำคัญต่อระบบภูมิคุ้มกันต่อสู้กับแผลของมลภาวะและ เพิ่มความต้านทานต่อการอักเสบโรคติดเชื้อ ต่อเชื้อแบคทีเรียและไวรัส วิตามินซี ช่วยรักษาผิวของเม็ดเลือดขาว ไม่ให้ถูกทำลาย จึงทำให้การเคลื่อนย้ายตัวของเม็ดเลือดขาวไปยังเชื้อโรคต่างๆ ได้รวดเร็ว นอกจากนี้ วิตามินซี ยังช่วยเหลือการทำงานของน้ำย่อยขณะทำลายเชื้อโรคเหล่า นั้นด้วย และ วิตามินซี ช่วยลดการแพ้ต่างๆ รวมทั้งโรคภูมิแพ้โดยยับยั้งสารที่เรียกว่า ฮีสตามีน เป็นสารที่ร่างกายสร้างขึ้นถ้าถูกสร้างขึ้นมามากเกินไปจะทำให้เลือดซึมผ่าน ผนังเส้นเลือดฝอยมามาก ทำให้ผิวหนังบวมแดงมีอาการระคายเคืองตามระบบหายใจทำให้จามมีน้ำมูกไหล
+ วิตามินซี ช่วยกระต้นการผลิต อินเตอร์ดฟอรอน ( INTERFERON) ทำหน้าที่เป็นตัวที่ทำให้เกิดตัวที่ต่อต้านเชื้อไวรัส เช่น ในโรคเริม ( HERPE )ตับอักเสบ ( HEPATITIS ) เยื่อหุ้มสมองอักเสบ โรคหัด ปอดบวม เป็นต้น
+ ช่วยในการเมแทบอลิซึม ของกรดอมิโนบางตัว คือ เฟนิลอะลานีน ทรอปโทเฟนและไทโรซีน
+ ช่วยกระตุ้นการทำงานของน้ำย่อย การย่อย การเผาผลาญของเซลล์ภายในร่างกาย
+ ชะลอการสึกหรอตามธรรมชาติของสมอง และกระดูกไขสันหลัง
+ ช่วย ในการเปลี่ยนคอเลสเตอรอลไปเป็นกรดน้ำดี โดยทำหน้าที่เป็นสารเร่งปฏิกิริยาของน้ำย่อย คอเลสเทอรอล 7 โมโนออกซีจีเนส ซึ่งเป็นน้ำย่อยที่ใช้ในการเปลี่ยนคอเลสเทอรอลไปเป็นน้ำดี ทำให้ปริมาณคอเลสเทอรอลในเลือดลดลง จึงเท่ากับเป็นการลดการเสี่ยงต่อการเป็นโรคไขมันอุดตันในเส้นเลือดได้
+ ช่วยในการสังเคราะห์คาร์นิทีน ( carnitine ) จากไลซีน และเมทไธโอนีน ซึ่งคาร์นิทีน นี้มีประโยชน์ในการเผาผลาญกรดไขมันเพื่อเกิดพลังงานแก่ร่างกายแบบ active transport
+ เป็นสารต้านการออกซิไดส์ ( antioxidant ) ช่วยป้องกันสารอื่นไม่ให้ถูกออกซิไดส์ เช่น วิตามินบีหนึ่ง วิตามินบีสอง กรกโฟลิค กรดแพนโทเธนิค วิตามินเอและวิตามินอี
+ ช่วยในการสังเคราะห์ Epinephrine และ Steroids ที่ต่อมหมวกไต
+ วิตามินซี สามารถขับสารตะกั่วออกจากร่างกาย เมื่อได้รวมตัวกับสังกะสี ( ZINC)
+ วิตามินซี ช่วยร่างกายในการหลั่งฮอร์โมนเมื่อเกิดความเครียด ได้แก่ อีพิเนฟฟิน ( EPINEPHRINE ) และนอร์อีพิเนฟฟริน ( NOREPINEPHINE ) จากต่อมหมวกไต หรือในยามปรกติร่างกายใช้ วิตามินซี ไปช่วยผลิตไธรอกซิน ( THEYROXINE ) ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ควบคุมการเผาผลาญ และอุณหภูมิของร่างกาย

ขนาดบริโภค

ขนาดที่ควรบริโภคเพื่อป้องกันการ ขาดวิตามินซีในคนทั่วไป คือ ๓๐-๖๐ มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งหากคุณกินผักผลไม้สด ๓ ถ้วย ก็ได้รับวิตามินซีจาก อาหารเพียงพอ แน่นอน แต่นักวิชาการรุ่นใหม่แนะนำ ขนาดต่ำสุดที่ ๑๐๐-๑๕๐ มิลลิกรัม สำหรับการดำรงชีวิตที่ดีในยุคสังคมปัจจุบัน
คนที่รับประทานยาแอสไพริน จะต้องเพิ่มขนาดวิตามินซีเป็น ๒๐๐-๓๐๐ มิลลิกรัม ต่อการได้รับแอสไพรินหนึ่งเม็ด
คนที่สูบบุหรี่ หรือดื่มเหล้า ต้องการวิตามินซีขึ้นมากกว่าปรกติ ขนาดวิตามินซีที่เหมาะคือ ๑,๐๐๐ มิลลิกรัม ต่อบุหรี่และเหล้ามีฤทธิ์ขับวิตามินออกจากร่างกาย และยังทำลายวิตามินที่เหลืออยู่อีกด้วย ดร.ดับบลิวเจ. แมคดอร์แมค กล่าวว่าบุหรี่หนึ่งมวนทำลายวิตามินซีไปถึง ๒๕ มิลลิกรัม
คนที่มีความเครียดสูงควรบริโภควิตามินซีวันละ ๕๐๐ มิลลิกรัม
และขนาดที่บริโภคเพื่อป้องกันโรคอันเกิดจาก ผลของอนุมูลอิสระ เช่น มะเร็ง หรือโรคชราต่างๆ ที่การแพทย์ทาง เลือกนิยมใช้คือ ๒๕๐-๑,๐๐๐ มิลลิกรัมต่อวัน

ผลของการขาด

o การขาด วิตามินซี ทำให้เป็นโรคลักปิดลักเปิด ( scurvy )ซึ่งพบได้ทั้งในเด็กทารกและผู้ใหญ่
o ทารก ( infantile scurvy ) พบในทารกที่กินนมวัวที่มีปริมาณ วิตามินซี ต่ำและไม่ได้รับอาหารเสริมที่ถูก ต้องเด็กจะเป็นโรคติดเชื้อง่าย การเจริญเติบโตช้าลง เกิดภาวะโลหิตจาง ช่วงหายใจสั้น มีอาการทางประสาท อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ซีด กระวนกระวาย ร้องกวน มีอาการปวดตามกระดูกขาและขาบวม โดยเฉพาะบริเวณเหนือเข่า และข้อเท้า เด็กจะนอนในท่าแบะขาออกทั้ง 2 ข้าง ( scoebutic position ) ถาเด็กเริ่มมีฟันขึ้นมักจะมีเหงือกบวมสีคล้ำและอาจมีเลือดออก
o ผู้ใหญ่ พบในผู้ที่ไม่ได้บริโภคอาหารผักและผลไม้สดเป็นเวลานานๆ ผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยที่กินอาหารไม่เพียงพอจากการทดลองพบว่า ระยะ 2-3 เดือนหลังจากขาด วิตามินซี จะมีจุดเลือดออกเล็กๆใต้ผิวหนังก่อน ต่อมาจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเป็นจ้ำตามผิวหนัง ( petechial hemorrhages ) เนื่องจากผนังเส้นเลือดฝอยเปราะบาง เพราะมีโครงสร้างของคอลลาเจนที่ผนังเส้นเลือดฝอยไม่สมบูรณ์ ผิวหนังหยาบและมีตุ่มขึ้นตามบริเวณก้น และต้นขา ขนตามตัวหักและขดงอ ต่อมามีเหงือกบวม เลือดออกตามไรฟัน ที่ตาขาวมีเลือดออก นอกจากนี้จะพบอาการผิวหนังแห้ง ปากและตาแห้ง ผมร่วงด้วย ถ้าขาด วิตามินซี นานกว่า 3 เดือน จะมีอาการเหนื่อยง่าย ไม่มีแรง อ่อนเพลีย ปวดกล้ามเนื้อ ปวดตามข้อและขาทั้ง 2 ข้าง บวมที่เท้าและข้อเท้า น้ำตาแห้ง น้ำลายแห้ง ผมร่วง ผิวหนังแห้ง และฟันอาจโยกหลุด จิตใจผิดปรกติ และซึมเศร้า

ผลของการได้รับมากไป

o มี รายงานว่า การบริโภค วิตามินซี มากๆ ทุกวัน จะช่วยลดหรือบรรเทาอาการหวัด โรคทางเดินหายใจ และลดระดับของโคเลสเตอรอลในเส้นเลือด แต่การทดลองเหล่านี้ไม่สามารถทำซ้ำได้ นักวิทยาศาสตร์จึงไม่คิดว่า การบริโภค วิตามินซี ปริมาณมากๆ จะช่วยอะไรได้ จึงไม่ขอแนะนำ มีงานวิจัยมากมายที่ศึกษาผลการได้รับ วิตามินซี มาก ซึ่งสรุปผลของงานวิจัยมีทั้งที่แสดงถึง ข้อดีและข้อเสีย จากการได้รับ วิตามินซี มาก ดังเช่น
o คศ. 1970 ดร. ไลนัส พอลลิ่ง ( Linus Pauling ) ได้ทำการทดลองโดยผู้ถูกทดลองได้รับ วิตามินซี สูงประมาณ 20-100 เท่าของปริมาณที่แนะนำ เพื่อรักษาโรคหวัดพบว่าได้ผลดี และไม่เป็นอันตรายแก่ผู้ทดลอง
o คศ. 1971 ฮอดจส์ และ เบเกอร์ ( Hodges & Baker ) รายงานว่าการได้รับ วิตามินซี มากเกินไป ประมาณ 4-9 กรัม/วัน จะทำให้อัตราการดูดซึมเหล็กสูงกว่าปกติ และมีการเคลื่อนย้ายแคลเซียมจากกระดูกเพิ่มขึ้นด้วยจนทำให้เกิดอุปสรรคในการ รักษาโรคที่ต้องใช้ยาต้านการแข็งตัวของหลอดเลือด นอกจากนี้ยังมีผลทำให้เกิดก้อนกรดยูริคเพิ่มขึ้นในปัสสาวะและเลือด ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเกิดโรคเก๊าท์ ( gout ) และเกิดก้อนออกซาเลต ทำให้มีความเสี่ยงต่อการเป็นนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ทั้งนี้เพราะการเมแทบอลิซึมของ วิตามินซี จะให้กรดออกซาลิค
o คศ. 1974 แอนเดอร์สัน และคณะ ทำการทดลองพบว่า คนที่ได้รับ วิตามินซี ทุกวัน เป็นหวัดน้อยกว่าคนที่ไม่ได้รับ วิตามินซี และคนที่ได้รับ วิตามินซี เป็นประจำ จะหายเร็วกว่าคนที่ไม่เคยได้รับ วิตามินซี เล็กน้อย
o นอกจากนี้มีรายงานว่าถ้ากิน วิตามินซี วันละ 1 กรัม ทุกวันจะทำให้มีอาการท้องเสียได้ และในผู้หญิงตั้งครรภ์ที่กิน วิตามินซี ขนาดสูงเป็นประจำจะทำให้ลูกเกิด โรคลักปิดลักเปิดได้หลังคลอด

o การดูดซึม
+ วิตามินซี จะถูกดูดซึมได้งายที่ลำไส้เล็ก แล้วถูกนำไปยังเนื้อเยื่อและน้ำในส่วนต่างๆ ของร่างกายทางกระแสโลหิต จากการศึกษาพบว่าร้อยละ 80-90 ของ วิตามินซี ซึ่งมีอยู่ในอาหารจะถูกดูดซึม อาหารซึ่งมีเพคตินมากจะขัดขวางการดูดซึมของ วิตามินซี ในร่างกาย วิตามินซี จะอยู่ในสภาพกรดแอสคอร์บิก และกรดฮัยโดรแอสคอร์บิก ส่วนใหญ่จะอยู่ในสภาพกรดแอสคอร์บิก เนื้อเยื่อที่มีเมแทบอลิซึมสูงจะมี วิตามินซี มาก เช่น ต่อมหมวกไต ตา สมอง เนื้อเยื่อที่มี วิตามินซี น้อย คือ เนื้อเยื่อไขมัน ผิวหนัง เนื้อเยื่อเกี่ยวพันและกล้ามเนื้อ
+ ไตทำหน้าที่ควบคุมระดับของ วิตามินซี ในเลือด ถ้าร่างกายได้รับ วิตามินซี มากจะทำให้เนื้อเยื่อต่างๆ มี วิตามินซี อิ่มตัว วิตามินซี ส่วนที่มากเกินพอ ไตจะขับออกจากร่างกายทางปัสสาวะในรูปกรดแอสคอร์บิกและในรูปเมแทบอไลต์ เช่น กรดออกซาลิค และ แอสคอร์บิก ซัลเฟต ความสามารถของร่างกายในดูดซึมจะลดการในดูดซึมจะลดลงถ้าสูบบุหรี่ เครียด ไข้สูง การได้รับยาปฎิชีวนะมาก การสูดดูด ดีดีที หรือกินยาแก้ปวดเช่น แอสไพริน
o อาหารหรือสารเสริมฤทธิ์
+ ใน การให้ วิตามินซี ที่รับประทานเข้าไปในร่างกายนั้นได้ผลเต็มที่ ร่างกายจำเป็นต้องมีวิตามินและเกลือแร่ดังต่อไปนี้คือ วิตามินบี1 บี3 บี5 บี6 บี12 กรดโฟริค ( FOLIC ACID) และเกลือแร่ ได้แก่ สังกะสี ( ZINC ) ในเวลาเดียวกันกับที่รับประทาน วิตามินซี ถ้าขาดวิตามินและเกลืแร่ดังกล่าวแล้ว จะยังผลให้การดูดซึมของ วิตามินซี เข้าร่างกายได้น้อยลง และส่วนที่ดูดซึมเข้าร่างกายไปได้แล้ว ยังจะทำประโยชน์ให้แก่ร่างกายได้น้อยมากด้วย และที่น่าสนใจคือทำให้เมล็ดโลหิตขาวไม่มีกำลังและไม่มีประสิทธิภาพในการฆ่า หรือทำลายเชื้อโรคได้มากเท่าที่ควร เพราะว่าวิตามินและเกลือแร่ทำงานร่วมกัน พึ่งพาอาศัยกันและกัน ประสานกัน และส่งเสริมกัน ซึ่งมีตัวอย่างที่เห็นง่ายๆ เช่น วิตามินบี 12 จะทำประโยชน์ให้แก่ร่างกายได้ดี และมากขึ้นถ้ามีวิตามินเออยู่ด้วยและวิตามินเอยังจะให้ประโยชน์แก่ร่างกาย มากขึ้นถ้ามีแมกนีเซียม ( MAGNESIUM ) เพียงพอเหล่านี้เป็นต้น
+ ดังนั้นอาหารที่ควรรับประทานควบคู่กันไปพร้อมๆกับ วิตามินซี ก็ได้แก่ อาหารซึ่งมีวิตามิน บี1 บี3 บี5 บี6 กรดโฟลิค และสังกะสี ได้แก่ บริวเวอร์ยีสต์ จมูกข้าวสาลี ( WHEAT GERM ) น้ำเหลือง น้ำอ้อย ( MOLASSE ) เนื้อแดง ปลา ถั่วลิสง เครื่องในสัตว์ ไข่แดง เมล็ดพืช ผักสีเขียวและเมล็ดฟักทอง ซึ่งมีสังกะสีมากเป็นพิเศษ นอกจากนี้มีแคลเซียม และแมกนีเซียม ซึ่งช่วยร่างกายในการใช้ วิตามินซี ให้ดียิ่งขึ้น
o อาหารหรือสารต้านฤทธิ์
+ บุหรี่ สุรา ยาปฏิชีวนะ ยาแก้โรคแพ้พิษ แอสไพริน ผงโซดาที่ใช้ทำขนมปัง ยาระงับประสาท ยาพวกคอร์ติโซน ยาฆ่าแมลง ดีดีที ฮอร์โมนเอสโทรเจน ยาคุมกำเนิดชนิดรับประทาน และยาซัลฟารักษาแผล
o การเสื่อมสลาย
+ การ ตากลมถูกแสง หรือความร้อนจะกระทบกระเทือนต่อการสลายตัวของ วิตามินซี อย่างมาก การตากแห้งและการเก็บไว้นานๆ หรือผสมกับด่างแม้เพียงเล็กน้อย วิตามินซี จะไม่เหลือเลย ไม่ควรเติมโซดาในการต้มผัก ผลไม้ถึงแม้จะรักษาสีของมันให้คงที่ก็ตาม การล้างไม่ควรแช่น้ำนานๆ การแกะสลักและการปอกผลไม้ก็เป็นการทำลาย วิตามินซี ควรพยายามเลี่ยง ถ้าเป็นไปได้วิธีที่ดีที่สุดในการถนอม วิตามินซี ใช้เวลาหุงต้มให้สั้นที่สุด การต้มควรจะใช้น้ำหรือน้ำแกงเดือดเต็มที่ก่อนใส่ผัก แล้วปิดฝาทันที การหั่นหรือการสับถ้าไม่จำเป็นอย่าทำ ผักบางชนิดควรต้ม หรือนึ่งทั้งเปลือก เช่น มันฝรั่ง มันเทศ ฟักทอง และเผือก และพยายามหลีกเลี่ยงการใช้ภาชนะที่ทำด้วยทองแดง

การประเมิน

+ วิธี การประเมิน วิตามินซี ในร่างกายยังค่อนข้างมีจำกัด เมื่อเทียบกับวิตามินชนิดอื่นๆ วิธีที่ใช้กันมากในขณะนี้คือ การวัดปริมาณ วิตามินซี ในซีรัม หรือพลาสมา และในเม็ดเลือดขาว การปริมาณ วิตามินซี ในพลาสมาวิธีดังเดิมคือวิธีการใช้ spectrophotometer หรือ fluorometer ในปัจจุบันนี้มีเทคนิคในการวิเคราะห์ใหม่ ให้เลือกใช้ได้คือ high performance liquid chromatography ที่สามารถวิเคราะห์ได้ทั้ง วิตามินซี ( ascorbic acid ) และ dehydroascorbic acid ซึ่งเป็น oxidized form
+ ระดับ วิตามินซี ในพลาสมาหรือซีรัมในช่วง 11 23 micromol/l หรือ 0.2 0.4 mg/dl จะเป็นค่าที่บอกถึงภาวะที่ก้ำกึ่งของ วิตามินซี คือ มีปัจจัยเสี่ยงปานกลางที่จะทำให้เกิดอาการทางคลีนิกได้ ทั้วนี้ก็เนื่องมาจากได้รับ วิตามินซี จากอาหารน้อยหรือวิตามินในร่างกายที่ สะสมอยู่ในร่างกายมีน้อยลง ระดับที่ต่ำกว่า 11 micromol/l จะถือว่าขาด วิตามินซี ( frank deficiency ) นักวิจัยกลุ่มอื่นๆใช้เกณฑ์ตัดสิน 28 micromol/lหรือ 0.5 mg/dl ว่าขาด วิตามินซี
+ การวัดปริมาณ วิตามินซี ในเม็ดเลือดขาว เมื่อใช้ตัวอย่างเม็ดเลือดขาวทั้งหมดเรียกว่า buffy coat ผลที่ได้ไม่แน่นอน จึงทำให้การแปลผลผิดไปได้ วิธีที่ใช้ต่อมาคือวัดปริมาณ วิตามินซี ใน mononuclear cell ( MN ) และ polymorphonuclear cell ( PMN ) ซึ่ง MN จะมี วิตามินซี มากกว่า 2- 3 เท่า วิตามินซี ในเม็ดเลือดขาวจะอยู่ในรูปแบบที่เป็นกรด dehydroascorbic และการแยกเม็ดเลือดขาวให้ได้จำนวนตามความต้องการจะต้องใช้เม็ดเลือดในปริมาณ มาก ประกอบกับค่าที่ได้จากการใช้วิธีต่างๆ วิเคราะห์ปริมาณ วิตามินซี ในเม็ดเลือดขาวยังไม่เป็นมาตรฐานเดียวกันถึงแม้ว่า จะใช้วิธีการเดียวกัน จะต้องมีการค้นหาตรวจสอบความเป็นจริงต่อไป
+ วิตามินซี ในพลาสมา หรือในซีรัมจะมีความสัมพันธ์กับปริมาณ วิตามินซี ที่ได้รับจากอาหาร ส่วน วิตามินซี ที่ประเมินได้จากเม็ดเลือดขาวก็ไม่เป็นดัชนีบ่งชี้ถึงปริมาณ วิตามินในเนื้อเยื่อต่างๆ ปริมาณที่วัดได้ยังมีความแตกต่างกันมาก นอกจากนั้นยังมีปัจจัยอื่นๆที่มีผลต่อการเปลี่ยนแปลงระดับ วิตามินซี ในพลาสมา เช่น ปัจจัยเกี่ยวกับ อายุ เพศ การสูบบุหรี่ ยารักษาโรคบางชนิด ระดับ วิตามินซี ในพลาสมาจะเป็นตัวบ่งชี้ที่ดีเกี่ยวกับบริโภคนิสัย และความเชื่อของแต่ละบุคคล เช่น ประชาชนของประเทศฟินแลนด์ในชนบทมีความเชื่อว่า ผลไม้และผักเป็นอาหารสำหรับวัว ส่วนเนื้อ นม และเนย เป็นอาหารสำหรับมนุษย์ ทั้งนี้เพราะสภาพ วิตามินซี ในร่างกายจะขึ้นอยู่กับผัก และผลไม้ที่บริโภค การประเมินภาวะ วิตามินซี จะมีประโยชน์ในการติดตาม ดูแลสุขภาพของตัวเอง ภาวะที่มีระดับ วิตามินซี ในเลือดต่ำ อาจมีความสัมพันธ์กันกับระดับความดันโลหิต ซึ่งเป็นดัชนีบ่งชี้ที่ทำให้เพิ่มปัจจัยเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ

สรรพคุณ (ลับเฉพาะ) ของวิตามินซีผลไม้วิตามินซี

วิตามินซี หรือที่เรียกว่า กรดแอสคอร์บิคใครที่เคยเรียนสุขศึกษาย่อมรู้ดีว่ามีมากในผลไม้ตระกูลส้ม วิตามินชนิดนี้สามารถช่วย ปกป้องดีเอ็นเอ ที่อยู่ในตัวสเปิร์มได้ ผลที่ตามมา ก็คือ ลูกหลานที่จะเกิดจากสเปิร์มนั้น จะแข็งแรงปลอดจาก ความผิดปกติ ทางพันธุกรรม หลายอย่าง นอกจากนี้กรดแอสคอร์บิคยังช่วยคุ้มครองโมเลกุลบางชนิด ซึ่งมีหน้าที่ช่วยการเคลื่อนไหวของสเปิร์ม (เช่น สารจำพวกไขมัน) สเปิร์มจึงมีกำลังวังชาดีขึ้นด้วยและวิตามินซี ยังมีส่วนในการป้องกันอันตรายจากสารพิษ คือโมเลกุลออกซิเจน ที่มีอิเล็กตรอนไม่พอดี (oxygen radicals) ซึ่งมักจะออกอาละวาด ทำให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน (oxidation) ที่รุนแรง จนส่วนประกอบของเซลล์ต้องบอบช้ำอยู่เสมอ
คุณบรูซ เอมส์ แห่งมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย เมืองเบอร์คลีย์ กล่าวว่า เซลล์แต่ละเซลล์ในร่างกายของคนเรา ต้องเผชิญกับ ปฏิกิริยาออกซิเดชันไม่น้อยกว่าวันละ 10,000 ครั้ง ทำให้เซลล์ของเรา "โทรม" ไปทีละเล็กละน้อย เป็นสาเหตุหนึ่งของความแก่ชรา และโรคาพยาธิทั้งหลาย ปฏิกิริยาเหล่านี้เป็นสิ่งที่ยากจะหลีกเลี่ยง เพราะสารอันไม่พึงประสงค์ เช่น เปอร์ออกไซด์ และซูเปอร์ออกไซด์ นั้นล้วนแต่มีปฏิกิริยาที่ "ไวไฟ" และเกิดขึ้นจากกระบวนการเมแทบอลิซึมตามปกติธรรมดา ซึ่งสิ่งมีชีวิตจะขาดเสียมิได้ เพราะจำเป็นสำหรับการสกัดและการถ่ายทอดพลังงานในร่างกาย
แม้ว่าจะมีสารยับยั้งปฏิกิริยาออกซิเดชัน แถมด้วยเอนไซม์ที่เร่งปฏิกิริยารีดักชัน คอยต่อต้านแผลร้ายต่าง ๆ ดังกล่าวอยู่แล้ว โดยธรรมชาติ แต่ถ้าเมื่อไหร่ต่อต้านไม่ไหว ความเสียหายก็จะเกิดขึ้นกับไขมัน โปรตีน และดีเอ็นเอของเซลล์ต่าง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ดีเอ็นเอของสเปิร์มในเพศชายและของไข่ในเพศหญิง ความเสียหายเหล่านี้จะนำไปสู่ความพิการตั้งแต่แรกเกิดของทารก โรคพันธุกรรมและโรคมะเร็งบางชนิด ที่มักจะเกิดในวัยเด็ก
ถ้าจะพูดกันตรง ๆ แล้ว ความผิดปกติทางพันธุกรรมทั้งหลาย มักมีสาเหตุจากดีเอ็นเอของพ่อมากกว่าแม่ เช่น มะเร็งที่มีชื่อว่า เรติโนบลาสโตมา (Retinoblastoma) มะเร็งชนิดนี้มีความเกี่ยวโยงกับความผิดปกติของสเปิร์มอย่างแน่นอน เหตุที่สเปิร์มมีโอกาสผิดเพี้ยนได้มากกกว่าไข่นั้น อาจเป็นเพราะว่าการสร้างสเปิร์มต้องมีการแบ่งเซลล์มากครั้งกว่าคือ ต้องแบ่งถึง 380 ครั้ง ในขณะที่ไข่ซึ่งเป็นเซลล์สืบพันธุ์ของเพศหญิงแบ่งตัวเพียง 23 ครั้ง ความผิดเพี้ยน (mutation) ก็เกิดขึ้นในระยะการแบ่งตัวนี่เอง เพราะเป็นช่วงเวลาที่การ ซ่อมแซมเซลล์หยุดชะงัก
ความเข้มข้นของกรดแอสคอร์บิคในน้ำอสุจินั้น เมื่อวัดดูก็ปรากฏว่าสูงกว่าในพลาสมาของเลือดถึง 8 เท่า เอมส์จึงเชื่อว่า วิตามินซีมีส่วนช่วย ป้องกันสเปิร์มแน่ โดยเฉพาะในระหว่างการแบ่งเซลล์ซึ่งเซลล์จะอ่อนแอเป็นพิเศษ
กรดแอสคอร์บิค ละลายได้ในน้ำและเป็นตัวรีดิวซ์ (reducer) นั่นคือ มีฤทธิ์ตรงข้ามกับสารที่ก่อปฏิกิริยาออกซิเดชัน ดังนั้นถ้ามีกรดแอสคอร์บิคน้อยเกินไป ก็แสดงว่า อาจเกิดความเสียหายแก่ดีเอ็นเอของสเปิร์มได้มาก

ปริมาณของกรดแอสคอร์บิคมีผลต่อความเสียหายของดีเอ็นเอ อย่างไร ?

ด้วยความอยากรู้ เอมส์จึงได้ทำการวิจัยจากผลการวิจัย ทีมงานของเอมส์เชื่อว่า ขณะที่เชื้ออสุจิยังอยู่ในท่อนำน้ำอสุจิ (seminiferous tubules) หลังจากการผลิตขึ้นมาใหม่ ๆ นั้นกรดแอสคอร์บิคจะร่วมกับสารต่อต้านปฏิกิริยาออกซิเดชัน ทำหน้าที่เป็นปราการด่านแรก เพื่อปกป้องยีนที่อยู่ในสเปิร์ม
คนสูบบุหรี่ยิ่งต้องการวิตามินซีในอาหารมากขึ้น เพราะสารพวกไนโตรเจนออกไซด์ที่มากับควันบุหรี่นั้น มีฤทธิ์ทำให้เกิดปฏิกิริยาออกซิเดชัน (oxidation) อย่างรุนแรง และยังมีรายงานวิจัยใหม่ ๆ ชี้ให้เห็นว่า ถ้าผู้ที่กำลังจะเป็นพ่อคนยังสูบบุหรี่ ลูกที่เกิดมาอาจมีโอกาส เป็นมะเร็งของเม็ดเลือด มากกว่าลูกของครอบครัวที่ปลอดบุหรี่
เอมส์สรุปลงท้ายว่า ความรู้ใหม่นี้จะทำให้คนเห็นคุณค่าของวิตามินซี และนักโภชนา การจะได้ช่วยกันคิดคำนวณว่าคนเราควรจะได้รับสารต่อต้านปฏิกิริยาออกซิเดชัน เช่น วิตามินอี และเบต้าแคโรทีน วันละสักเท่าใด จึงจะพอเหมาะและเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพ