ชีส เนยแข็ง

  • ที่มา
  • ชีส
  • ประเภท
  • แบ่งตามพื้นฐาน
  • ประโยชน์ต่อร่างกาย

ชีส Cheese เนยแข็ง

ชีส

ชีสมีรากศัพท์มาจากคำภาษาละตินว่า caseus รากศัพท์ caseus ในภาษา ละติน นี้เป็นรากศัพท์ของคำว่า เนยแข็ง ในภาษาอื่นๆอีก มากมาย เช่น queso ใน ภาษาสเปน queijo ในภาษาโปรตุเกส keju ในภาษามาเลย์ cacio ในภาษาอิตาลี เป็นต้น caseus มีความเกี่ยวข้อง และใกล้เคียงกับ คำว่า casein ในปัจจุบัน ศัพท์คำนี้มีความหมายถึง ก้อนโปรตีนที่ได้จาก น้ำนมวัว ซึ่งเป็นส่วนประกอบ สำคัญของเนยแข็ง เนยแข็ง หรือ ชีส (Cheese) เป็นสิ่งที่คนไทยมักจะเรียกว่า เนย ด้วยความเข้าใจผิด เพราะเห็นว่า มีลักษณะคล้าย คลึงกัน เป็นผลิตภัณฑ์ที่ได้มาจากนม เหมือนกัน ดังนั้นจึงคิดเข้าใจว่าเป็นอาหารประเภทเดียวกัน ในความเป็น จริงแล้ว เนยแข็งไม่ถือว่า เป็นเนย เพราะเนยแข็งเป็น การนำเอา ส่วนโปรตีนของนมมาใช้แปรรูป ต่างจากเนยที่นำเอาส่วนของไขมันมาใช้ ดังนั้นในทางโภชนาการ เนยและเนยแข็ง จึงจัดว่าเป็น อาหารคนละ ประเภทกัน เนื่องจากในนมมีโปรตีนคุณภาพดีอยู่ในจำนวนมาก

ประวัติของ Cheese (ชีส)

เนยแข็งนั้นเกิดด้วยความบังเอิญจากการเดินทางของชนเผ่าเร่ร่อนเบดูอิน ในทะเลทราย เนื่องจากชายอาหรับคนหนึ่ง ได้พยายาม นำน้ำนมบรรทุกไว้บนหลังอูฐเพื่อใช้เป็นเสบียงอาหารระหว่างการเดินทาง จึงนำกระเพาะอาหารของแพะ มาใช้เป็นภาชนะ บรรจุน้ำนม ไว้ภายใน ขณะที่เดินทางนั้น กระเพาะอาหารของแพะได้รับความร้อนจากอากาศในทะเลทรายและบวกกับการถูกเขย่าตลอดระยะทาง ส่งผลให้เอนไซม์เรนนินในกระเพาะสัตว์ไปแยกน้ำ และไขมันในนมออกจากกัน เมื่อชายผู้นี้เกิดความกระหาย หมายจะดื่มน้ำนม ก็ต้องประหลาดใจ เมื่อเค้าพบกับก้อนนมแทน ชายผู้นี้จึงนำก้อนนมที่ได้มาใช้รับประทานเป็นอาหารแทน และกลายเป็นที่มาของ การผลิตเนยและเนยแข็งในปัจจุบัน

เนยแข็งในสมัยกรีกโบราณมีหลักฐานการบันทึกในคัมภีร์ไบเบิลว่าอริสเตอุส บุตรชายแห่ง เทพเจ้าอะพอลโล เป็นผู้ค้นพบวิธีการผลิตเนยแข็ง แต่ก็มีอีกหลายคนที่เชื่อว่า ชนเผ่าเบดูอินเป็นผู้นำความรู้มาถ่ายทอดต่อให้กับ โรมันโบราณอีกที อย่างไรก็ตามชาวโรมันถือว่า เนยแข็งเป็นอาหารประจำวันที่สำคัญ บ้านของชาวโรมัน ในสมัยโบราณจึงมีห้องสำหรับเก็บเนยแข็งทุกหลังคาเรือน ทหารโรมันเป็น กลุ่มคนที่มีอิทธิพลอย่างมาก ในการเผยแพร่เนยแข็ง ให้คนทั่วโลกได้รู้จัก เพราะเมื่อใดก็ตามที่กองทหารโรมันออกศึกไปที่ใด ทหารเหล่านี้มักจะแบ่งปันเนยแข็ง ส่วนหนึ่งให้กับทหารท้องถิ่นบริเวณนั้นด้วย ดังนั้นเนยแข็งจึง ถูกเผยแพร่เป็นที่รู้จักไปทั่วยุโรป ต่อมาในสมัยกลางบาทหลวงในคริสต์ศาสนา ได้ผลิตเนยแข็งออก จำหน่ายเพื่อเป็นการหารายได้เข้าโบสถ์ ส่งผลให้โบสถ์เปลี่ยน สถานะจากที่เคยเป็นเพียงศาสนสถานมาเป็นแหล่งรวบรวมความรู้เกี่ยวกับ กรรมวิธีการผลิตเนยแข็งด้วย หลังจากนั้นเป็นต้นมาเนยแข็ง ก็ได้รับการปรับปรุงรสชาติและกลิ่นไปตาม ความหลากหลายของวัตถุดิบ ในแต่ละท้องถิ่น จนก่อให้เกิดเนยแข็งแบบดั้งเดิม (Traditional Cheese) ที่จะมีเฉพาะท้องถิ่นนั้นๆ แต่เนื่องจากในแต่ละท้องถิ่น มีการผลิตเนยแข็งชนิดใหม่ๆ ออกมาอย่างสม่ำเสมอ บวกกับในยุคนั้นเกิด การผลิตเนยแข็งใน ระบบโรงงาน อุตสาหกรรม ที่เน้นแต่ปริมาณผลผลิต วิธีการทำเนยแข็งแบบดั้งเดิม จึงค่อยๆสูญหายไป ปัจจุบันนี้มีเพียง หกประเทศเท่านั้นที่ยังคงรักษาวิธีการผลิตเนยแข็งแบบดั้งเดิมไว้อยู่ ได้แก่ ประเทศ อิตาลี ฝรั่งเศส เยอรมนี อังกฤษ สวิตเซอร์แลนด์ เนเธอร์แลนด์ โดยเฉพาะในประเทศอิตาลี และฝรั่งเศส ที่มีระบบการันตีคุณภาพ และมาตรฐานของเนยแข็งแบบดั้งเดิม ซึ่งช่วยรักษาเอกลักษณ์ของเนยแข็งมาจนถึงปัจจุบัน

ชีส Soft-White CheeseCheese (ชีส) คือผลิตภัณฑ์นม ซึ่งเปลี่ยนลักษณะไปเป็นของแข็ง ด้วยกระบวนการทาง อุตสาหกรรมอาหาร โดยการเติมเชื้อจุลินทรีย์ ลงไป ในนม ให้นมจับกันเป็นลิ่ม และแยกตัวเป็นชั้น ของแข็งเรียกว่า "เคิร์ด" ซึ่งในส่วนนี้จะถูกนำมาทำเป็น Cheese (ชีส)และในชั้นของเหลวเรียกว่า "เวย์" ที่มีคุณค่าทางอาหารจะถูกนำไปเลี้ยงสัตว์ บางครั้งยังสามารถนำไปทำยา หรือ เครื่องบำรุงผิว

Cheese(ชีส) เป็นแหล่งอาหาร ที่ประกอบไปด้วยโปรตีน แคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส สังกะสีสูง ไม่แพ้นม และวิตามินบี 12 ของอาหารประเภทมังสะวิรัตน์อีกด้วย ขณะที่มีน้ำตาลแลคโตสใน อัตราที่ต่ำกว่านม ซึ่งเป็นผลดีต่อผู้ที่มีปัญหาในการดื่มนม

สำหรับท่านที่มีปัญหาในการดื่มนม อธิบายเพิ่มเติมดังนี้ บางคนร่างกายขาด"น้ำย่อยแลคโตส" หรือมีน้อย ทำให้เมื่อดื่มนมแล้ว ร่างกายไม่สามารถที่จะย่อย "น้ำตาลแลคโตส" ที่มีอยู่ในนมได้ ส่งผลให้น้ำตาลแลคโตสที่เหลือ อยู่ในร่างกายผ่านเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ และถูกย่อยโดยแบคทีเรีย จนเกิดการหมักหมมเป็นก๊าซ และกรด ทำให้เกิดอาการ ท้องอืด ท้องเสีย หรือปวดท้อง

*ดังนั้นผู้ที่มีปัญหาในการดื่มนม จึงหันมารับประทาน Cheese (ชีส) แทนโดยไม่เกิดอาการแพ้เหมือนการดื่มนม*

ชีสเอร์เกอร์เนื่องจาก Cheese (ชีส) เป็นอาหารที่มีสารอาหารเข้มข้น Cheese (ชีส) จึงเหมาะสมสำหรับ เด็กวัยกำลังเจริญเติบโต ซึ่งต้องการอาหาร ที่มีพลังงาน และสารอาหารสูง โดยเฉพาะโปรตีน และแคลเซี่ยม ซึ่งเป็นส่วนประกอบ ที่สำคัญของเนื้อกระดูก ช่วยทำให้กระดูกแข็งแรง และสามารถ ป้องกันโรคกระดูกพรุนได้ (การเสริมสร้างกระดูก ให้แข็งแกร่งควรจะเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก จนเป็นผู้ใหญ่และเข้าสู่วัยสูงอายุ) นอกจากนี้ Cheese (ชีส) ยังเป็นอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพฟัน เพราะมีน้ำตาลใน ปริมาณต่ำ แต่มีโปรตีนในรูปของแคลเซี่ยม ที่ช่วยเคลือบผิวฟัน และป้องกันฟันผุ

การรับประทาน Cheese(ชีส) อาจจะได้รับไขมันมากกว่า การดื่มนมเล็กน้อย แต่จะให้้คุณประโยชน์ มากกว่า การรับประทานเค้ก คุกกี้ หรือช็อกโกแลต ซึ่งให้แต่พลังงาน และไขมัน เป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ Cheese (ชีส) ให้สารอาหารที่มีประโยชน์มากมาย เหมือนนม สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่อง น้ำหนัก อาจเลือกรับประทาน Cheese(ชีส) ที่ทำจากไขมันต่ำ เพราะจะมี คลอเรสเตอรอล ต่ำด้วย ดังนั้น Cheese(ชีส)จึงเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับ บุคคลทุกเพศทุกวัย

Mascarponeประเภทของชีส

เนยแข็งมีมากกว่า 3,000 ชนิดทั่วโลก ดังนั้นเกณฑ์การแบ่งประเภทและชนิดของเนยแข็ง จึงมีความหลากหลาย เนยแข็งบางประเภท แม้จะมีลักษณะเหมือนกันทุกประเภท แต่ก็มีชื่อเรียกต่างกันตามแต่ละท้องถิ่น วิธีการจำแนกประเภท ของเนยแข็ง จึงทำได้โดยอาศัย หลักเกณฑ์บางอย่าง เช่น ชนิดของน้ำนมที่ใช้ ระยะเวลาในการบ่ม เชื้อราที่ใส่ลงไปเพื่อ แยกไขมันออกจากน้ำนม อุณหภูมิที่ใช้ใน การหมักบ่ม พื้นผิวและความราบเรียบของเนยแข็ง แบ่งออกเป็นหลักใหญ่ ๆ 2 ชนิดคือ

1. ชีสธรรมชาติ (Natural Cheese) มีประมาณ 1,500 กว่าชนิด
2. ชีสสกัดตามกรรมวิธี (Process Cheese)

หรือเนยแข็งจึงสามารถ แยกออกเป็นสี่ประเภทใหญ่ดังนี้

เนยแข็งประเภท Fresh Cheese เป็นเนยทีมีปริมาณน้ามากประมาณ 80-85 %

คือ เนยแข็งที่ไม่ต้องผ่านความร้อนและไม่ต้องหมักบ่ม มีกลิ่นและรสไม่จัด ออกรสเปรี้ยวอ่อนๆ เนื้อในนิ่มเป็นครีม มีความชื้นสูง เช่น Cream Cheese, Feta, Mozzarella, Ricotta, Cottage Cheese, Mascarpone

เนยแข็งประเภท Soft-White Cheese

คือ เนยแข็งที่ทำจากนมที่มีความเข้มข้นของครีมสูง เนื้อในจึงมีลักษณะเป็นครีมแข็ง ผิวนอกจะค่อนข้างบาง
เมื่อทานแล้วจะค่อยๆละลายในปาก มีความชื้นน้อยกว่าเนยแข็งประเภท Fresh Cheese และจะต้องผ่านกระบวนการบ่ม
ด้วยราสีขาวก่อนนำมาบริโภค เช่น Brie, Camembert, Neufchatel

เนยแข็งประเภท Natural-Rind Cheese

เนยแข็งประเภท Natural-Rind Cheese คือ เนยแข็งที่ทำจากนมแพะตามแบบฝรั่งเศส มีพัฒนาการมาจากเนยแข็ง
ประเภท Fresh Cheese แต่จะต้องผ่านการขับน้ำทิ้งมากกว่าจึงมีความชื้นน้อยกว่า หลังจากการบ่มเนยแข็งประเภทนี้
จะมีรอยย่นพื้นบนผิวรอบนอกมาก มีรสชาติที่เด่นขึ้นด้วย เนยแข็งประเภทนี้จะบ่มด้วยราสีฟ้าค่อนข้างเทา มีจุดสีน้ำเงิน
ออกน้ำตาลที่ผิวเนยแข็ง และเมื่อมีอายุมากขึ้นก็จะมีกลิ่นแรงขึ้นด้วย เช่น Crottin de Chavignol,
Sainte-Maure de Touraine

เนยแข็งประเภท Wash-Rind Cheese

เนยแข็งประเภท Wash-Rind Cheese คือ เนยแข็งผิวนอกมีความเหนียวและมีสีน้ำตาลส้ม ซึ่งเกิดจากการล้าง
ด้วยน้ำเกลือระหว่างการบ่ม มีตั้งแต่กลิ่นหอมจากเครื่องเทศไปจนถึงกลิ่นฉุน เช่น Herve, Limburger, Munster

เนยแข็งประเภท Hard Cheese

เนยแข็งประเภท Hard Cheese คือ เนยแข็งที่เกิดจากการนำหางนมออกไปมากจนความชื้นในเนยแข็งเหลือ เพียงเล็กน้อย เปลือกเนยแข็งจะหนา เนื้อแข็ง ใช้เวลาบ่มนาน เช่น Cheddar, Emmental, Gouda, Pecorino Romano Beaufort

การแบ่งเนยแข็งออกเป็น 5 ประเภทที่ได้กล่าวไปนี้เป็นเพียงตัวอย่างของการแบ่งประเภทเนยแข็งเพียงคร่าว ๆ
ในความเป็นจริงแล้วเนยแข็งทั้ง 5 ประเภทยังสามารถแบ่งย่อยได้อีก เช่น แบ่งตามประเทศที่ผลิต แบ่งตามการกดอัดและ
การปรุงแต่ง แบ่งตามใยหุ้มเชื้อรา เป็นต้น

ชีสก็จะแบ่งตามพื้นฐาน (คุณลักษณะ)ออกเป็นอีกหลายอย่างเช่น

  1. Fresh Cheese คือชีสที่ทำมาสด ๆ ใหม่ ๆ แล้วไม่ผ่านขั้นตอนการปรุงแต่งใด ๆ ทั้งสิ้น หรือเรียกว่า uncooked หรือ unripened cheese อาจมีการผสมด้วยพืชสวนครัวหรือสมุนไพรหรือน้ำตาลลงไปด้วย และการเก็บรักษามักจะอยู่ได้ไม่นาน ชีสพวกนี้ได้แก่ Ricotta,Cottage,Chevre,Fromage Blance,Mascarpone เป็นต้น
  2. Soft Cheese ชีสพวกนี้จะมีกลิ่นหอมของชีสที่มีความสดใหม่ ตัวชีสจะออกเหลว (runny) อ่อนแบบเละ(Spread) เป็น Ripened Cheese แต่ Ripen แค่ช่วงสั้น ๆ ชีสประเภทนี้ได้แก่ Brie,Brillart-SAvarin,Camenbert,St. Andre,Telema และ Toma
  3. Semi-Soft Cheese ชีสนี้เป็นชีสที่เรียกว่า "เอนกประสงค์" น่าจะได้ ตัวชีสจะค่อนข้างอ่อน แต่ตัดสไลด์ได้และก็ละลายได้ดี มีกลิ่นเนยแบบอ่อน ๆ ไปจนถึงกลิ่นฉุนรุนแรง ชีสประเภทนี้ได้แก่ Butterkaese,Colby,Edam,Fontina,Havarti,Monterey Jack,Saint-Nectaire เป็นต้น
  4. Pasta Filata(Spun Paste) เป็นภาษาอิตาเลี่ยน แปลว่า "Spun Paste" เป็นชีสที่แช่ในอ่างหางนมร้อน ๆ มีขั้นตอนการผลิตที่ไม่เหมือนใคร และมีคุณสมบัติเป็นเอกลักษณ์พิเศษคือสามารถเป็นได้ทั้ง Fresh Cheese หรือ Aged หรือ Soft หรือ Hard หรือ Smoked หรือ Mild หรือ Tangy ซึ่งขึ้นอยู่กับชนิดต่าง ๆ ของชีสนี้เอง ชีสประเภทนี้ได้แก่ Asadero,Kasseri,Provolone และ Scamorza
  5. Hard/Firm Cheese ชีสแบบนี้ผ่านกรรมวิธีทุกอย่างของชีสก็ว่าได้ (cooked,pressed,aged) จะแห้งกว่า Soft Cheese ใช้เวลาหลายสัปดาห์จนกระทั่งถึงปีในการผลิต บางชนิดจะมีแบบ "ตา" หรือ "ฟองอากาศ" ในตัวด้วย เช่น Emmentel และ Gruyre เป็นต้น ชีสประเภทนี้เช่น Cheddar,Cotija,Dry Jack,Emmentel,Gruyere,Parmesan และ Romano
  6. Washed-Rind Cheese WASHED-RIND CHEESE: มักมีกลิ่นหอม แต่บางคนบอกว่ามีกลิ่นเหม็น ช่วงบ่มหรือหมัก มักมีการใช้อัลกอฮอล์ต่าง เช่น ไวน์ เบียร์ บรั่นดี หรือของเหลวอื่น ๆ เป็นตัวล้าง ชีสประเภทนี้ตัวเนื้อจะมีลักษณะของ Semi-Soft Texture ชีสประเภทนี้ได้แก่ Appenzeller,Brick,Limburger,Munster,Port-Salut,Swiss Tilsit และ Taleggio
  7. Blue Cheese ได้ชื่อว่าเป็น queen of cheese ฝรั่งเห็นว่าเป็น cheese ที่ classic และมีราคาแพง ในเนื้อ cheese จะมีราเขียวๆชนิดหนึ่งซึ่งทานได้ มันคือ pennisilin รสชาติจะมีความเค็มสูง จึงมักใช้ทานกับผลไม้เปรี้ยวๆเช่นสับปะรด แล้วทาน carrot หรือ celery ล้างปาก ชีสชนิดนี้มีการใส่พวกสปอร์ (Spores) เข้าไปเพื่อให้เกิดเป็นรา บางทีต้องนำเส้นลวด หรือของแหลมคล้ายเข็ม มาทิ่มใส่ เพื่อให้มีพื้นที่สำหรับการเกิดราด้วย ตัวเนื้อชีสประเภทนี้เป็นได้ทั้ง Soft,Semi-Soft,Semi-Firm รสชาติค่อนข้างร้อนแรง ชีสประเภทนี้ได้แก่ Maytag,Blue,Bleu d'Auvergne,Cabrales,Danish Blue,Roquefort และ Stiton
  8. Ethnic & Gourmet Cheese เป็นชีสที่มีลักษณะพิเศษออกไปตามวัฒนธรรมและอาหาร มักใส่สมุนไพรเข้าไป หรือมีการอบหรือรมควัน ฯลฯ ชีสประเภทนี้ได้แก่ Brindamour,Gaperon,Haloumi,Pepato และ Sapsago
ส่วนประกอบที่สำคัญในCheese ซึ่งมีประโชน์ต่อร่างกาย

ชีสจะให้สารอาหารหลักจำพวก โปรตีน แคลเซียม ฟอสฟอรัส สังกะสี วิตามินบี 12 ที่สูงไม่แพ้นม
- โปรตีน พบว่า Cheese เป็นแหล่งโปรตีนที่สำคัญของประเทศทางตะวันตก มีกรดอมิโน Essential amino acid ที่สำคัญหลายชนิดเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย โปรตีนนี้ย่อยง่าย
- คาร์โบไฮเครต พบว่า Cheese จะมีคาร์โบไฮเดรตต่ำเนื่องจากถูกตักออกในระหว่างการผลิต Cheese ที่ทำใหม่อาจจะมีคาร์โบไฮเดรตประมาณ1-3 กรัม/100กรัม แต่ Cheese ที่มีอายุ 21-28 วัน lactose จะเปลี่ยนเป็น lactic acid ดังนั้นผู้ที่แพ้นมก็สามารถรับประทาน Cheese โดยไม่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย ข้อดีของเนยแข็งคือให้สารอาหารจำพวกน้ำตาลแลคโตสในปริมาณที่ต่ำกว่าในน้ำนม ดังนั้นการรับประทานเนยแข็งจึงเป็นทางออกที่ดีสำหรับผู้ที่มีปัญหาในการดื่มนม
สำหรับคนที่มีปัญหาในการดื่มนมเนื่องจากร่างกายขาดน้ำย่อยแลคโตสหรือมีน้ำย่อยชนิดนี้ในปริมาณที่น้อย เมื่อดื่มน้ำนมเข้าไปแล้วร่างกาย ไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมได้ ส่งผลให้เกิดการตกค้างของน้ำตาลแลคโตสในร่างกาย การหมักหมมนี้จะทำให้เกิดแก๊สและกรด ในที่สุด ส่งผลให้ผู้รับประทาน มีอาการท้องอืด ท้องเฟ้อและท้องเสียในเวลาต่อมา ดังนั้นจึงควรเลือกรับประทานเนยแข็งแทนการดื่มนม
- ไขมัน การรับประทาน ชีส อาจจะได้รับไขมันมากกว่าการดื่มนมเล็กน้อย แต่จะให้คุณประโยชน์มากกว่า การรับประทานเค้ก คุกกี้ หรือช็อกโกแลต ซึ่งให้แต่พลังงาน และไขมันเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ ชีส ให้สารอาหารที่มีประโยชน์มากมายเหมือนนม

ผลดีต่อสุขภาพ

- ผลดีต่อฟัน จากการทดลองในสัตว์หรือจากรายงานการศึกษาในคนพบว่าผู้ที่รับประทาน Cheese มากจะมีอัตราฟันผุน้อยกว่าคนที่ไม่ได้รับประทาน เชื่อเกิดจากหลายกลไกได้แก่ Cheese จะลดความเป็นกรดของคราบหินปูนที่จับกับฟัน ,กระตุ้นให้มีการไหลของน้ำลาย,ช่วยในการสร้างกระดูก
- เป็นแหล่งอาหารที่ อุดมไปด้วยแคลเซียมและแร่ธาตุ สำหรับผู้แพ้น้ำนม โดยเฉพาะCheeseที่เก่าเก็บจะมีปริมาณ lactose น้อยมากจน ไม่ทำให้เกิดอาการท้องเสีย
- ป้องกันโรคกระดูกพรุน เนื่องอุดมไปด้วยแคลเซียม

ประโยชน์ของ Cheese ต่อเด็กวัยเจริญเติบโต

เนื่องจาก ชีส เป็นอาหารที่มีสารอาหารเข้มข้น ชีสจึงอุดมไปด้วยสารอาหารที่เหมาะสำหรับเด็กวัยเจริญเติบโต ซึ่งต้องการอาหารที่มีพลังงาน และสารอาหารสูง เพราะ ชีสให้พลังงาน แคลเซียม และโปรตีนสูง โดยเฉพาะโปรตีนและแคลเซียมซึ่งเป็นส่วนประกอบสำคัญของกระดูก ช่วยเสริมสร้างให้กระดูกแข็งแรงและป้องกันโรคกระดูกพรุน (การเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแกร่งควรจะเริ่มตั้งแต่วัยเด็ก จนเป็นผู้ใหญ่ และเข้าสู่วัยสูงอายุ) อีกทั้ง ชีสยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพฟัน ช่วยป้องกันฟันผุ โดยโปรตีนในรูปของแคลเซียมและฟอสฟอรัสในเนยแข็งจะเป็นตัวช่วยป้องกันสารเคลือบฟัน อีกทั้งยังช่วยเพิ่มฟองน้ำลายที่ช่วยล้างกรดและน้ำตาลในช่องปากอันเป็นสาเหตุของฟันผุ แม้ว่าชีสจะมีปริมาณไขมันมากกว่าน้ำนม แต่ก็เป็นอาหาร ที่อุดมไปด้วยสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกาย สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนักและคอเลสเตอรอล แต่ชื่นชอบการรับประทานเนยแข็ง ก็สามารถเลือกบริโภคเนยแข็ง ที่ทำจากนมไขมันต่ำ หรือปราศจากไขมันได้ตามท้องตลาดทั่วไป โดยไม่ต้องกังวลกับปัญหาที่จะตามมาในภายหลัง

โดยสรุป ประโยชน์ของชีสหลักๆต่อสุขภาพคือ เป็นแหล่งแคลเซียมที่เยี่ยมมาก คุณไม่จำเป็นต้องดื่มนมเป็นแก้วๆ แค่กินชีส 30 กรัม/วัน ได้แคลเซียม ที่ร่างกายต้องการเพียงพอ แถมมีโปรตีนสูง กินแทนเนื้อ แทนปลาได้สบายสำหรับคนที่ไม่ทานเนื้อ ชีสมีวิตามิน A ที่ดีกับสายตามาก และวิตามิน D กับวิตามินหลายตัวในกลุ่ม B

การรับประทาน ชีส อาจจะได้รับไขมันมากกว่าการดื่มนมเล็กน้อย แต่จะให้คุณประโยชน์มากกว่า การรับประทานเค้ก คุกกี้ หรือช็อกโกแลต ซึ่งให้แต่พลังงาน และไขมันเป็นส่วนใหญ่ ในขณะที่ ชีส ให้สารอาหารที่มีประโยชน์มากมายเหมือนนม สำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องน้ำหนัก อาจเลือกรับประทาน ชีส ที่ทำจากไขมันต่ำ เพราะจะมี คลอเรสเตอรอล ต่ำด้วยเช่นกัน ดังนั้น ชีส จึงเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับบุคคลทุกเพศทุกวัย