เห็ดหลินจือ

  • Tab 1
  • Tab 2
  • Tab 3
  • Tab 4
  • Tab 5

เห็ดหลินจือ (Lingzhi) เป็นยาจีน (Chinese traditional medicine ) ที่ใช้กันมานานกว่า 2,000 ปี นับตั้งแต่สมัยจักรพรรดิฉิน ซีฮ่องเต้เป็นต้นมา เห็ดหลินจือเป็นของหายากมีคุณค่าสูงในทางสมุนไพรจีน และได้ถูกบันทึกไว้ในคัมภีร์โบราณ "เสินหนงเปินเฉ่า" ซึ่งเป็นตำราเก่าแก่ที่สุดของจีนมีคนนับถือมากที่สุด ได้กล่าวไว้ว่า เห็ดหลินจือเป็น "เทพเจ้าแห่งชีวิต" ( Spiritual essence ) มีพลังมหัศจรรย์ บำรุงร่างกายใช้เป็นยาอายุวัฒนะใน การยืดอายุออกไปให้ยืนยาว ทำให้ผิวพรรณเปล่งปลั่ง และยังสามารถรักษาโรคต่าง ๆ ได้อย่างกว้างขวาง ชาวจีนโบราณต่างยกย่องเห็ดหลินจืออย่างเหนือชั้น ว่าดีที่สุดในหมู่สมุนไพรจีน นอกจากจะมีสรรพคุณเหนือชั้นกว่าแล้วยังปลอดภัยไม่มีพิษใด ๆ ต่อร่างกาย

ตระกูล : Polyporaceae
ชื่อสามัญ :เห็ดหลินจือ เห็ดหมื่นปี เห็ดเล่งจือ เห็ดขอนไม้ เห็ดจวักงู ฯลฯในภาษาญี่ปุ่นเรียกว่า Reishi ในภาจีนเรียกว่า Ling zhi
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Ganoderma lucidum (Fr.) Karst.
ชื่อท้องถิ่น : Lacquered mushroom, Holy mushroom
ลักษณะทั่วไป : เห็ดหลินจือจัดเป็นราขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ที่มีรูปร่างคล้ายไต สีแดงอมน้ำตาล หรือสีม่วงแก่ มีลาย วงแหวน มีความวาวเป็นมัน มีลักษณะแข็งเหมือนเนื้อไม้ ปลายรอบนอกสุดของหมวกเห็ดบาง และม้วนเข้าด้านในเล็กน้อย ผิวในของหมวกเห็ดมีสีขาว หรือน้ำตาลอ่อน ก้านดอกเห็ดมีสีน้ำตาลแดง มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 4 ซ.ม

ในประเทศไทย สามารถพบเห็ดหลินจือในธรรมชาติได้เกือบทุกภาคของประเทศ ซึ่งก็จะมีชื่อเรียกพื้นบ้านที่ต่างกันไป เช่น เห็ดจวักงู เห็ดกระด้าง เห็ดไม้ เห็ดนางกวักฯลฯ และพบว่ามีการใช้เห็ดหลินจือในการป้องกันโรคหวัด แก้พิษงู และแมลงสัตว์กัดต่อย แก้อาการเมาเห็ด บำรุงกำลัง แก้ปวดหลัง และรักษาโรคภายใน ซึ่งในปัจจุบันมีสถาบันต่างๆหลายแห่งได้ศึกษาวิจัยเห็ดหลินจือ

ลักษณะทั่วไป
หลินจือเป็นเห็ดราชนิดหนึ่ง อยู่ได้หลายปี ก้านดอกออกด้านข้างหรือค่อนไป ทางด้านข้าง ลักษณะคล้ายรูปทรงกระบอกที่ค่อยๆ แคบลงส่วนล่าง ก้านดอกยาวได้ถึง 19 เซนติเมตร หนาได้ถึง 4 เซนติเมตร มีสีน้ำตาลแดงถึงสีม่วงน้ำตาล และมีความมันเลื่อมเหมือนกับหลังดอก หมวกเห็ดมีลักษณะแข็งคล้ายเนื้อไม้ รูปเหมือนรูปไต หรือรูปครึ่งวงกลมเกือบกลม กว้าง 12 - 20 เซนติเมตร หนาถึง 2 เซนติเมตร ด้านหลังดอกจะมีสีเหลืองแล้วเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลแดงในที่สุด มีรอยย่นเหมือนคลื่นเป็นวงๆ ผิวมันเลื่อม ขอบดอกบางและสม่ำเสมอ เนื้อดอกสีขาวนวลถึงสีน้ำตาลอ่อน ใต้หมวกจะเป็นแผ่นสีขาวหรือสีเหลืองนวลปิดครีบเห็ดไว้ หนาได้ถึง1 เซนติเมตร ภายในมีรูพรุนเล็กๆ อยู่เป็นจำนวนมาก พื้นที่ 1 ตารางมิลลิเมตร จะ
มีรูอยู่ถึง 4 - 5 รู ชั้นของรูอาจจะมีชั้นเดียวหรือพอกเป็นหลายชั้นลงมาด้านล่างภายในบรรจุสปอร์

Source : ผู้จัดการออนไลน์ - เอมอร คชเสนี

สารให้สรรพคุณทางยาของเห็ดหลินจือ

การที่เห็ดหลินจือมีสรรพคุณในการรักษาโรคภัยไข้เจ็บได้อย่างกว้างขวาง ทำให้เป็นที่สนใจของ นักวิทยาศาสตร์และผู้ที่เกี่ยวข้อง อย่างมาก มีการนำเห็ดชนิดนี้มาศึกษาวิจัยในด้านต่าง ๆ ที่มีในเห็ด เท่าที่มีการรายงานไว้พบว่า มีสารสำคัญอยู่หลายกลุ่มที่ทำให้เห็ดหลินจือมีคุณค่าต่อการรักษาโรคต่าง ๆ ได้แก่

  1. กลุ่มสารคาร์โบไฮเดรต (genodarans) หรือสารโพลีแซคคาไรด์ (polysaccharides) มีอยู่ หลายชนิดที่มีความสำคัญ ต่อการรักษาโรค เช่น สารเบต้ากลูแคน (beta-D-glucan) ช่วยยับยั้งการ เจริญของมะเร็ง ช่วยกระตุ้นการทำงาน ของเม็ดเลือดขาว ในการกำจัดสิ่งแปลกปลอมในร่างกายเรา ทำให้ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายเรามีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ช่วยลดภาวะแทรกซ้อนจากการใช้สาร เคมีและรังสีรักษาโรคมะเร็งในผู้ป่วย ช่วยลดการอักเสบ สารกาโนเดอร์แรนส์ (ganoderans) ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด (เบาหวาน)
  2. สารสเตอรอยด์ (steroids) ตัวอย่างสารที่มีสรรพคุณทางยาที่สำคัญในกลุ่มนี้คือ สารกาโนโดสเตอโรน (ganodosterone) มีคุณสมบัติช่วยลดพิษที่มีต่อตับ ทำให้ผู้ป่วยที่เป็นโรคเกี่ยวกับตับมีอาการดีขึ้น
  3. กลุ่มสารไตรเทอร์ปินอยด์ชนิดขม (bitter triterpenoids) สารในกลุ่มนี้มีอยู่หลายชนิดที่มี สรรพคุณทางยาที่สำคัญ เช่น กรดกาโนเดอริก (ganoderic acid) และกรดลูซิเดนิค (lucidenic acid) ซึ่งจะช่วยลดไขมันในเส้นเลือด ช่วยลดความดันของเลือด ยับยั้งการหลั่งสารฮิสตามินที่ทำให้ เกิดโรคภูมิแพ้บางชนิด
  4. สารนิวคลีโอไทด์ (nucleotides) สารในกลุ่มนี้จะมีคุณสมบัติในการป้องกันการรวมตัว เกล็ดเลือด ทำให้ไม่เกิดการอุดตันในเส้นเลือด โอกาสที่จะเกิดอัมพาตลดลง และยังช่วยบรรเทาความ เจ็บปวดด้วย
  5. โพลีแซคคาไรด์ (Polysaccharides) ประกอบด้วยโพลีแซคคาไรด์หลายชนิด มีโครงสร้างหลักเป็น เบต้า-ดี-กลูแคน เป็นสารประกอบที่มีอยู่ในเห็ดหลินจือสาย พันธุ์สีเเดง โพลีซัคคาไรด์จะช่วยกระตุ้นการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่าง กาย เสริมเเละช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของเซลล์คุ้มกันของร่างกายให้ทำหน้าที่ทำลาย เซลล์เเปลกปลอมที่เข้ามารวมถึงเชื้อโรคต่างๆ
  6. สารเจอร์มาเนียม (Germanium,Ge) สารตัวนี้จะกระตุ้นการทำงานของร่างกายและยังช่วย ขจัดสารพิษและสิ่งแปลกปลอม ออกจากร่างกายได้ เป็นสารที่สามารถละลายในน้ำได้ เรารู้จักเยอร์มาเนียมกันดีในว่าเป็นสารสำคัญของโสม ที่ช่วยบำรุงร่างกายและรักษามะเร็ง เยอร์มาเนียมที่อยู่ในโสมมีประมาณ 250-320 ppm (ppm คือ 1 ต่อ 1 ล้านส่วน) และเยอร์มาเนียมมีอยู่ในสมุนไพรพื้นบ้านอย่างกระเทียมอยู่ 750 ppm ซึ่งมากกว่าโสม ส่วนในดอกเห็ดหลินจือมีเยอร์มาเนียมมากถึง 800 - 2,000 ppm และในรากเห็ดหลินจือมีเยอร์มาเนียมมากกว่าดอกเห็ดหลินจืออยู่ถึง 4 เท่าคือมีปริมาณเยอร์มาเนียนมากถึง 6,000 ppm สารเยอร์มาเนียมมีประโยชน์ต่อร่างกายดังนี้ เพิ่มออกซิเจนในเลือด ทำให้เม็ดเลือดแดงดูดซับออกซิเจนได้มากขึ้น ช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย บำรุงสมอง บำรุงประสาท รักษามะเร็ง ทำให้การไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น กำจัดสารพิษ
  7. โปรตีน Ling Zhi-8 ประกอบด้วยกรดอะมิโน 110 โมเลกุล ควบคุมเบาหวาน กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน เเละรักษาตับอักเสบ
  8. สารอื่น ๆ กลุ่ม sesquiterpenes เช่น 15- hydroxyacorenone กลุ่ม quinoids เช่น crysophanic acid , crysophanic acid glucoside สารประกอบกำมะถัน เช่นcyclooctasulfur

สรรพคุณเห็ดหลินจือ

1.บำรุงร่างกาย ที่อ่อนเพลียจากการรักษาโรคต่างๆ หรือหลังการฟักฟื้นตัวจากการผ่าตัด ให้เกิดความเจ็บป่วยน้อยลงร่างกายแข็งแรงได้ไว้และเกิดความสดชื่นกระปี้ กระเปร่า

2.บำบัดโรค โดยตัวยาในเห็ดหลินจือจะเข้าไปวินิจฉัยโรคในร่างกายของ
ผู้ที่รับประทานและเข้าไปทำการบำบัดขับพิษขับโรคชะล้างสิ่งที่เป็นพิษในร่างกายที่เป็นอยู่ให้สลายขับออกในลักษณะต่างๆ
เช่น ปัสสาวะบ่อย ถ่ายท้อง คันตามผิวหนังอาเจียน ซึ่งขึ้นอยู่กับโรคที่เป็นอยู่ เรียกว่า "ปฏิกิริยาสะท้อนกลับ" จึงเป็นเรื่องปกติในการบำบัดโรคด้วยยาสมุนไพรทุกชนิด เห็ดหลินจือเป็นการรักษาจากภายใน
หรือต้นเหตุของโรค มิใช่การรักษาที่ปลายเหตุ เพื่อกดอาการของโรคที่เป็นอยู่ให้รู้สึกดี แค่ชั่วคราวแต่โรคนั้นๆยังเป็นอยู่ไม่หายขาดเสียที
(ไมเกรน,ภูมิแพ้,หอบหืดเป็นต้น)

3.เพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันโรคให้กับร่างกายโดยช่วยให้ระบบการทำงานต่างๆ ของร่างกาย
เกิดความสมดุลตามธรรมชาติ เพราะโรคภัยต่างๆ ที่เกิดขึ้น เกิดจากระบบการทำงานของร่างกายนั้นทำงานไม่สมดุลจึงก่อเกิดได้หลากหลายโรค ได้ดังต่อไปนี้

3-1. ระบบทางเดินอาหาร ได้แก่ โรคกระเพาะอาหารอักเสบ,
โรคลำไส้อักเสบ, กระเพาะอาหารมีกรดมากเกินไป เบื่ออาหารท้องผูก ริดสีดวงทวาร เป็นต้น

3-2. ระบบทางเดินหายใจ ได้แก่ โรคหลอดลมอักเสบ หอบหืด ภูมิแพ้ ไอเรื้อรัง ริดสีดวงจมูก เป็นต้น

3-3. ระบบไหลเวียนของโลหิต ได้แก่ โรคที่เกิดจากการมี
คลอเรสเตอรอลสูง ไขมันอุดตันในเส้นเลือด
หลอดเลือดแข็งตัวความดันโลหิตสูง-ต่ำ เบาหวาน โรคหัวใจ
รอบเดือนมาไม่ปกติ ไตอักเสบ เสื่อมสมรรถภาพทางเพศ โรคประสาทนอนไม่หลับ ไมเกรน อัมพฤกษ์ อัมพาต มีบุตรยาก เป็นต้น

3-4. ระบบต่อมไร้ท่อ(ต่อมน้ำเหลือง) ได้แก่ งูสวัด สเก็ดเงิน ผิวหนังดักแด้ แผลเป็นเรื้อรัง ผมร่วง เก๊าท์ นิ่ว เป็นต้น

ขนาดการใช้

การรับประทานอาจทำเป็นผงครั้งละ 2-4 กรัม หรือใช้เห็ดหลินจือแห้ง 6-10 กรัม ต้มกับน้ำ 2 ลิตร
วิธีทำน้ำเห็ดหลินจือ
ส่วนผสม
เห็ดหลินจือแห้ง 6 กรัม (10 ชิ้น)
น้ำสะอาดอย่างน้อย 2 ลิตร (2 ขวดโค๊กขนาด 1 ลิตร)
วิธีทำ
1 นำเห็ดหลินจือแห้งฝานให้เป็นชิ้นบางๆ และน้ำสะอาดใส่ลงในหม้อเคลือบหรือหม้อดินยิ่งดี
2 ยกขึ้นตั้งบนเตาไฟต้มจนเดือด แล้วหรี่ไฟลงให้น้ำเดือดปุดๆ ต่อไปประมาณ 15-20 นาที แล้วจึงยกลง
3 ควรดื่มน้ำสกัดจากเห็ดที่มีอุณหภูมิเท่าอุณหภูมิร่างกาย ให้ดื่มแทนน้ำได้ ทั้งวัน (ดื่มเพื่อสุขภาพ)
ประโยชน์ที่ร่างกายจะได้รับ
สารอาหารที่มีอยู่ในเห็ดหลินจือ จะเข้าไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายค่ะ ให้ทำหน้าที่ปกติ และสามารถต้านการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ต้านการจับตัวของ ลิ่มเลือด รวมทั้งลดน้ำตาลในเลือด
เป็นยาอายุวัฒนะมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมายเกือบทุกระบบของร่างกาย เช่น
- ระบบไหลเวียนของโลหิต เช่นโรคที่เกิดจากการมีโคเรสเตอรอลในเลือดสูง เส้นเลือดอุดตัน หลอดเลือดแข็งตัว ความดันโลหิตสูง น้ำตาลในเลือดสูง โรคหัวใจ และรอบเดือนไม่ปกติของสตรี
- ระบบทางเดินอาหาร เช่น โรคกระเพาะอักเสบ ลำไส้อักเสบ ท้องผูก ทางเดินอาหารอักเสบเรื้อรัง ริดสีดวงทวาร
- โรคมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
- โรคอื่น ๆ เช่นโรคตับอักเสบโรคไขข้ออักเสบโรคอ้วน อัมพาต อัมพฤกษ์ โรคไตอักเสบ โรคปวดหัวข้างเดียว นอนไม่หลับ และโรคเครียดค่ะ

เหมาะสำหรับ:
ผู้ที่ต้องการบำรุงร่างกาย เช่น เด็กในวัยเรียน วัยทำงาน และผู้สูงอายุ เป็นต้น
ผู้ที่มีความดันโลหิตไม่อยู่ในเกณฑ์ปกติ
ผู้ที่มีน้ำตาลในเลือดสูง เช่นผู้ป่วยโรคเบาหวาน
ผู้ที่ไขมันในเลือดสูง
ผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับโรคหัวใจ
ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้
ผู้ป่วยโรคมะเร็ง
ผู้ป่วยที่เกี่ยวกับตับและไต
ผู้ที่ปัญหาเกี่ยวกับเลือดแข็งตัวช้า

ปริมาณที่ใช้:

การใช้เพื่อรักษาโรคมะเร็ง : ใช้เห็ดหลินจือแห้งวันละ 9-15 กรัม/วัน หรือ เห็ดหลินจือสกัดวันละ 2 กรัม/วัน

การใช้เพื่อรักษาโรคทั่วไป : ใช้เห็ดหลินจือแห้งวันละ 3-6 กรัม/วัน หรือ เห็ดหลินจือสกัดวันละ 0.5-2 กรัม/วัน

การใช้บำรุงร่างกาย : ใช้เห็ดหลินจือแห้งวันละไม่เกิน 6 กรัม/วัน หรือ เห็ดหลินจือสกัดวันละ 0.01-0.5 กรัม/วัน
ที่มา:
http://thai.mindcyber.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=310

"เห็ดหลินจือแดง" อีกทางเลือกในการป้องกันโรคมะเร็ง

"โรคมะเร็ง" ยังคงเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ติดต่อกันมานานถึง 7 ปีแล้ว ขณะนี้ในประเทศไทยมีแนวโน้ม พบผู้ป่วยโรคมะเร็ง เพิ่มสูงขึ้นทุกปี ซึ่งมีโรคมะเร็งมากกว่า 100 ชนิดที่สามารถเกิดขึ้นกับอวัยวะในร่างกาย โดยในปี 2550 มีคนไทยเสียชีวิตจาก โรคมะเร็งทุกชนิด 53,434 ราย คิดเป็นร้อยละ 14 ของผู้เสียชีวิตทุกสาเหตุ มีผู้ป่วยรายใหม่ปีละ 120,000 ราย สำหรับโรคมะเร็งที่พบในผู้ชายมากที่สุด ได้แก่ มะเร็งลำไส้ใหญ่/ทวารหนัก รองลงมาคือมะเร็งปอด และมะเร็งตับตามลำดับ ส่วนในผู้หญิงพบมะเร็งเต้านมมากที่สุด รองลงมาคือมะเร็งปากมดลูกและมะเร็งลำไส้ใหญ่

ทว่ามะเร็งร้อยละ 40 สามารถป้องกันได้ โดยปรับเปลี่ยนพฤติกรรม อาทิ ลดการสูบบุหรี่ ดื่มเหล้า หันมาทานอาหารสุขภาพ เพิ่มผักผลไม้ ให้ได้วันละครึ่งกิโลกรัม ออกกำลังกายให้ได้วันละ 30 นาที การรักษามะเร็งแต่ละชนิดจะไม่เหมือนกัน โดยมีวิธีการรักษาที่แตกต่างกัน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับอวัยวะที่เป็นมะเร็ง ระยะของมะเร็ง สภาพร่างกาย และความเหมาะสมของผู้ป่วยมะเร็ง การรักษาจะยากหรือง่ายขึ้นอยู่กับชนิดของเซลล์ มะเร็งและการดำเนินโรคของมะเร็งด้วย

เป็นช่วงเวลากว่าสองพันปีมาแล้วที่มีการค้นพบว่าใน "เห็ดหลินจือแดง" มีสารสำคัญกว่าร้อยชนิดที่มีสรรพคุณสำคัญทางการแพทย์ หนึ่งในนั้นคือ "มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง" โดยการส่งเสริมภูมิคุ้มกัน กระตุ้นให้เม็ดเลือดขาวสร้างสารต้านมะเร็งโดยเฉพาะใน "เห็ดหลินจือแดง" ที่ช่วยเพิ่มความต้านทานโรคมะเร็งได้ดี เพราะมีโพลิแซ็กคาไรน์ สารสำคัญที่ช่วยสร้างระบบคุ้มกันของร่างกาย ช่วยเพิ่มปริมาณเม็ดเลือดขาวเพื่อจัดการกับเชื้อโรคต่างๆ ที่สำคัญยังมีสารต่อต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยสกัด ยับยั้งการเกิดมะเร็งอีกทาง

นักวิทยาศาสตร์พบว่า ในเห็ดหลินจือมีสารต่างๆ ที่เป็นประโยชน์กับร่างกายกว่า 250 ชนิด ซึ่งสารต่างๆ เหล่านี้ทำงานประสานกัน ได้อย่างน่าอัศจรรย์ ส่งผลให้ร่างกายเกิดความสมดุล เพิ่มพลังในการป้องกัน และบำบัดโรคที่ธรรมชาติ มอบบให้ก็จะกลับมา ทำงานได้ดัง เดิม นอกจากนี้ เห็ดหลินจือยังมีผลต่อการขยายหลอดเลือด ลดการทำลายของสารอนุมูลอิสระ ที่ทำให้ผนังหลอดเลือดแข็งตัว มีผลการเกาะตัวของไขมัน โคเรสเตอรอล หรือเกล็ดเลือดในหลอดเลือดแข็งตัว ผลดีที่น่าสนใจคือ การเสริมสมรรถภาพทางเพศ โดยช่วยขยายหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงอวัยวะเพศ และผลดีในการชะลอความแก่ ไม่เพียงแต่ผิวพรรณเท่านั้น แต่ชะลอการเสื่อมสภาพของอวัยวะภายในด้วย เช่น สมอง หัวใจ ตับ ไต เป็นต้น

เห็ดหลินจือยัง ประกอบด้วยสารอาหารที่ครบและสมดุล นั่นคือวิตามิน แร่ธาตุและโปรตีนในปริมาณสูงเพียงพอ ที่จะเสริมภาวะ ขาดแคลน ต่างๆ ของร่างกาย ทั้งยังมีสารอื่นๆ อีกมากมาย ที่ช่วยแก้ไขระบบเผาผลาญอาหารให้คืนสู่สภาวะปกติ นอกจากนี้ยังพบฮอร์โมนชนิดหนึ่งที่สำคัญมากในเห็ดหลินจือ ซึ่งช่วยกระตุ้นให้วิตามินดีทำหน้าที่ดูดจับแคลเซียมเข้ากระดูก ช่วยให้กระดูกแข็งแรง ป้องกันภาวะกระดูกพรุนได้ และที่สำคัญเห็ดหลินจือมีสารทำให้กล้ามเนื้อหัวใจแข็งแรง ฉะนั้นในผู้ที่รับประทานเห็ดหลินจือเป็นประจำ โอกาสเสียชีวิตด้วยโรคหัวใจวายจึงมีน้อยมาก

ในญี่ปุ่นมีการใช้เห็ดหลินจือควบ คู่กับเคมีบำบัดในการรักษาโรค มะเร็ง ช่วยแก้พิษจากรังสี คีโม เช่น ท้องเสีย อักเสบจากการฉายรังสี เม็ดเลือดขาวต่ำจากคีโม อาการปวดจากพิษบาดแผล สำหรับในประเทศไทย น.พ.สุพล มโนรมณ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเคมีบำบัด สถาบันมะเร็งแห่งชาติ เปิดเผยว่า ทางสถาบันมะเร็งแห่งชาติได้ศึกษาวิจัยพบผู้ป่วยมะเร็งตับในคนไทย ด้วยการนำสารสกัดโปรตีโอไกลแคน(Proteoglycan) มา ศึกษาคุณสมบัติใน การสร้างภูมิต้านทานของร่างกายด้วยการรับประทาน โดยมีอาสาสมัครคนไทยที่เป็นมะเร็งตับระยะสุดท้ายเข้าร่วม 44 ราย ซึ่งเป็นกลุ่มผู้ป่วยที่ไม่สามารถทำการผ่าตัด หรือรักษาด้วยเคมีบำบัดได้ โดยได้ใช้เวลาศึกษาและติดตามผลเป็น เวลา 3 ปี แบ่งกลุ่มผู้ป่วยออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่รับประทานสารสกัดโปรตีโอไกลแคน จำนวน 34 คน และกลุ่มที่รักษาปกติ หรือประคับประคอง จำนวน 10 คน ในกลุ่มผู้ที่ไดรับประทานจะได้รับสารสกัดโปรตีนโอไกลแคน วันละ 6 กรัม และได้ผลการวิ จัย สรุปว่า กลุ่มผู้ป่วยที่รักษาแบบประคับประคองเสียชีวิตทั้งหมด ในเวลาเฉลี่ย 3.5 เดือนและกลุ่มที่รับประทานสารสกัดโปรตีนโอไกลแคน ยังมีชีวิตอยู่สูงถึง 73% ทำให้การมีชีวิตอยู่ได้นานกว่า และมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ผลการตรวจพบว่า ระดับสารอินเตอร์ลิวคีน 12(IL 12) และสารอินเตอร์เฟอรอนแกมมา(IFN-y) เพิ่ม ขึ้น ซึ่งบ่งชี้ว่า ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายมีประสิทธิภาพสูงขึ้น โปรตีโอไกลแคนจึงสามารถใช้เป็นตัวกระตุ้นภูมิต้านทานด้วยการรับประทานได้ น.พ.สุพล ยังกล่าวอีกว่า การรักษามะเร็งในทางการแพทย์ปัจจุบัน มีการพัฒนายาใหม่ตลอดเวลา มีประสิทธิภาพสูงขึ้น ผลข้างเคียงของยาช่วยให้โอกาสของผู้ป่วยมะเร็งอยู่รอดมีมากขึ้น

สำหรับกลุ่มผู้ป่วยภูมิแพ้(Allergy) มี สาเหตุจากเซลล์เม็ดเลือด ขาว พบว่าในผู้ที่เป็นโรคภูมิแพ้ ร่างกายมีเซลล์เม็ดเลือดขาวที่ดี คอยเตือน ไม่ให้รับสิ่งแปลกปลอมคือสารที่แพ้ กล่าวคือเมื่อร่างกายได้รับสารที่แพ้ เซลล์เม็ดเลือดขาวเหล่านี้จะแตกและ หลั่งสารฮีสตามีน ซึ่งมีผลทำให้เกิดอาการแพ้ อาทิ น้ำมูก น้ำตาไหล ผื่นคัน แผลพุพองบวม เป็นหอบหืด จนถึงช็อก หัวใจวาย หรือเสียชีวิตได้

เห็ดหลินจือจะมีผลไปช่วยเพิ่มประสิทธิภาพเม็ดเลือดขาว ช่วยให้ร่างกายจัดการกับอาการผิดปกติต่อระบบภูมิคุ้มกัน มีผลดี ต่อผู้ที่เป็นภูมิแพ้ เบาหวานที่แผลหายยากเป็นหวัดเจ็บคอบ่อย ช่วยลดอัตราการเกิดมะเร็ง ทั้งยังช่วยผู้ป่วยเอดส์ให้สามารถ ดำรงชีวิตได้อย่างคนปกติ นอกจากนี้ ยังพบด้วยว่าในเห็ดหลินจือมีสารที่เป็นพิษต่อเซลล์เนื้องอกที่ก่อตัวในร่าง กาย ป้องกันไม่ให้มันเติบโต และกลายพันธุ์เป็นเซลล์มะเร็งได้

นับได้ว่าเห็ดหลินจือมี สรรพคุณมากมายสมคำร่ำลือ หากแต่ในการนำมาใช้นั้นผู้บริโภคควรศึกษาอย่างรอบด้านให้ดีเสียก่อน หรือปรึกษาแพทย์เพื่ออาจนำมาใช้ร่วมกับการรักษาของแพทย์แผนปัจจุบัน เพื่อให้เกิดผลดีต่อชีวิตอย่างแท้จริง

ข้อมูลอ้างอิงงานประชุมวิทยาการกรมพัฒนาการแพทย์ทางเลือก เรื่อง "สารต้านมะเร็ง"

ที่มา : หนังสือพิมพ์ ASTV ผู้จัดการ 30-09-2010