กล้วย Banana

  • กล้วย
  • ประโยชน์ของกล้วย
  • พลังผลไม้
  • ส่วนประกอบ
  • ประโยชน์ต่อเด็ก
  • Tab 6

กล้วยมีโปรตีนมากกว่าแอปเปิล 4 เท่า มีคาร์โบไฮเดรตมากกว่า 2 เท่า มีฟอสฟอรัสมากกว่า 3 เท่า มีวิตามินเอและธาตุเหล็กมากกว่า 5 เท่า และมีวิตามินรวมทั้งแร่ธาตุอื่นๆ มากกว่า 2 เท่า และอุดมไปด้วยโพแทสเซียม ซึ่งเป็นแร่ธาตุที่จำเป็นต่อการทำงาน ของกล้ามเนื้อ และประสาท ช่วยควบคุมความดันโลหิต

นอกจากนั้น กล้วยยังมีเส้นใยและกากอาหาร ไม่ว่าจะเป็นกล้วยสดหรือตากแห้งยังอุดมไปด้วยน้ำตาลธรรมชาติ 3 ชนิด คือ ซูโครส ฟรักโทส และกลูโคส น้ำตาลเหล่านี้จะหมุนเวียนในกระแสโลหิต ช่วยเพิ่มพลังงานให้แก่ร่างกายได้อย่างรวดเร็ว

จากงานวิจัยพบว่า การรับประทานกล้วยเพียง 2 ผลก็สามารถเพิ่มพลังงานให้อย่างเพียงพอต่อการออกกำลังกายอย่างเต็มที่ได้นานถึง 90 นาที นักกีฬาจึงมักจะรับประทานกล้วยเป็นอาหารเพิ่มพลังงานก่อนหรือระหว่างการแข่งขัน

กล้วยยังได้ชื่อว่าเป็นอาหารบำรุงสมองอีกด้วย มีงานวิจัยที่ให้นักเรียน 200 คนรับประทานกล้วยในมื้อเช้า ตอนพัก และมื้อกลางวัน ของทุกวัน เพื่อดูว่ากล้วยจะช่วยส่งเสริมกำลังสมองของพวกเขาได้หรือไม่ ผลปรากฏว่านักเรียนได้คะแนนดีจากการสอบตลอดปี การวิจัยแสดงให้เห็นว่า โพแทสเซียมในกล้วยที่มีอยู่ในปริมาณสูง ทำให้นักเรียนตื่นตัวในการเรียนมากขึ้น

อันที่จริงกล้วยเป็นผลไม้พื้นบ้านที่เราคุ้นเคยกันมาตั้งแต่เด็กๆ เมนูแรกๆ ของชีวิตนอกจากนมแม่ก็คือ กล้วยบด ซึ่งเหมาะที่จะใช้เป็นอาหารเสริมสำหรับทารกอายุตั้งแต่ 3 เดือนจนถึง 2 ขวบ เนื่องจากกล้วยสุกย่อยง่ายและไม่ทำให้เกิดอาการแพ้ และยังมีสรรพคุณแก้อาการอาหารไม่ย่อยในเด็ก

กล้วยสุกงอมจะให้สารอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนใหญ่ สามารถใช้แทนน้ำตาลได้ และไม่ทำให้เกิดอาการผิดปกติต่อ ระบบทางเดินอาหาร เพราะน้ำตาลที่เกิดจากกระบวนการเปลี่ยนแปลงของแป้งขณะกล้วยสุกมีคุณสมบัติเฉพาะคือ ทำให้มีฤทธิ์เป็นกรดในลำไส้ ช่วยให้เกลือแร่ แคลเซียม ถูกดูดซึมได้ง่าย ถือว่าเป็นคุณสมบัติพิเศษที่ดีกว่าจากธัญพืชอื่นๆ และยังมีกรดอะมิโนและเกลือแร่ที่จำเป็นต่อร่างกายอีกหลายชนิด เช่น แคลเซียม แมกนีเซียม โซเดียม เหล็ก ทองแดง

ส่วนกล้วยดิบจะมีแป้งชนิดที่ไม่สามารถย่อยได้ในลำไส้เล็ก แต่ไปสลายตัวในลำไส้ใหญ่ จึงทำให้เกิดลมในท้องได้ แต่กล้วยดิบก็มีสรรพคุณแก้อาการท้องเสียได้ โดยมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรีย และยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อแบคทีเรียที่เป็นสาเหตุของอาการท้องเสีย เช่น Escherichia coli สารสำคัญในการออกฤทธิ์แก้อาการท้องเสียก็คือสารแทนนินซึ่งมีฤทธิ์ฝาดสมานใช้แก้อาการท้องเสียได้

วิธีการก็คือ นำกล้วยดิบมาหั่นบางๆ ตากแดดให้แห้ง แล้วบดให้ละเอียดเป็นแป้ง ใช้ผงกล้วยนี้ในปริมาณ 1-2 ช้อนโต๊ะ ใส่ในถ้วยน้ำชา ผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ รับประทานแก้ท้องเสีย

สรรพคุณอีกอย่างหนึ่งของกล้วย ก็คือ มีฤทธิ์ต้านการเกิดแผลในกระเพาะอาหาร เมื่อทดลองให้หนูขาวกินยาแอสไพริน แล้วกินผงกล้วยดิบ พบว่าสามารถป้องกันไม่ให้เกิดแผลในกระเพาะได้เมื่อกินผงกล้วยดิบในปริมาณ 5 กรัม และสามารถรักษาแผลในกระเพาะที่เป็นแล้วได้เมื่อกินในปริมาณ 7 กรัม นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการท้องอืดท้องเฟ้อเนื่องจากแผลในกระเพาะอาหารได้อีกด้วย


สำหรับสารสกัดจะมีฤทธิ์เป็น 300 เท่าของผงกล้วยดิบ โดยออกฤทธิ์สมานแผลและเพิ่มความแข็งแรงของเนื้อเยื่อเมือก โดยการเพิ่มเมือก และเร่งการแบ่งตัวของเซลล์ นอกจากนี้ยังมีผลต่อกระบวนการสร้างเซลล์ที่ส่งผลไปถึงการรักษาแผลด้วย

สำหรับผู้ที่มักจะมีอาการแน่นจุกเสียด ยังสามารถใช้ผลกล้วยดิบฝานบางๆ แล้วตากแห้ง บรรเทาอาการปวดท้องจุกเสียดได้อีกด้วย
นอกจากนี้ ผู้ที่มักจะเป็นตะคริวที่เท้า ข้อเท้า และน่องบ่อยๆ การรับประทานกล้วยเป็นประจำจะช่วยให้อาการดีขึ้นได้

เมื่อพูดถึงกล้วย ไม่ใช่เพียงแต่ผลกล้วยเท่านั้นที่เรานำมาใช้ประโยชน์ได้ แทบจะทุกส่วนของกล้วยมีสรรพคุณทางยาทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น

ผลกล้วยสุก บรรเทาอาการท้องผูก ความดันโลหิตสูง เจ็บคอ บำรุงผิว

ต้นและใบแห้ง นำมาเผา รับประทานครั้งละ ? - 1 ช้อนชา หลังอาหาร แก้เคล็ดขัดยอก

หัวปลี ช่วยบำรุงน้ำนม

ยางจากปลีกล้วยหรือก้านกล้วย ใช้รักษาแผลสด และทาแก้แมลงสัตว์กัดต่อยได้

รากกล้วย แก้ปวดฟัน แก้ร้อนใน โลหิตจาง ปวดหัว ปัสสาวะขัด แผลไฟไหม้ น้ำร้อนลวก

ดอกกล้วย ช่วยเรื่องประจำเดือนขัด แก้ปวดประจำเดือน โรคเบาหวานและโรคหัวใจ

เปลือกกล้วย แก้ผิวหนังเป็นตุ่ม คัน หรือเป็นผื่น และฝ่ามือฝ่าเท้าแตก

Source : ผู้จัดการออนไลน์ - เอมอร คชเสนี

ประโยชน์ของกล้วย

การรับประทานกล้วยเป็นประจำ นอกจากจะได้ประโยชน์ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว ยังช่วยป้องกันโรคต่างๆ ได้อีกด้วย

โรคโลหิตจาง
กล้วยมีธาตุเหล็กสูง จะเป็นตัวช่วยกระตุ้นการผลิตฮีโมโกลบินในเลือด ช่วยได้ในกรณีที่มีภาวะโลหิตจาง

โรคความดันโลหิตสูง
กล้วยมีธาตุโปแตสเซียมสูง แต่มีปริมาณเกลือต่ำ จึงเป็นอาหารที่เหมาะสำหรับผู้ป่วยโรคความดันโลหิต เอฟดีเอหรือองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกายินยอมให้โฆษณาได้ว่ากล้วยเป็นผลไม้พิเศษ ช่วยลดอันตรายที่เกิดจากความดันโลหิตหรือโรคเส้นเลือดฝอยแตก

เส้นเลือดฝอยแตก
จากการวิจัยที่ลงในวารสาร The New England Journal of Medicine ระบุว่าการรับประทานกล้วยเป็นประจำสามารถลดอันตรายที่เกิดกับเส้นโลหิตแตกได้ถึง 40%

โรคซึมเศร้า
จากการสำรวจผู้ที่มีความทุกข์ซึ่งเกิดจากความซึมเศร้า หลายคนจะมีความรู้สึกที่ดีขึ้นมากหลังจากได้รับประทานกล้วย เพราะในกล้วยมีโปรตีนชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ทริปโตฟาน เมื่อสารนี้เข้าไปในร่างกายจะถูกเปลี่ยนเป็นเซโรโทนิน ซึ่งเป็นตัวผ่อนคลายและปรับปรุงอารมณ์ให้ดีขึ้น คือทำให้เรารู้สึกมีความสุขเพิ่มขึ้นนั่นเอง

โรคท้องผูก
ปริมาณเส้นใยและกากอาหารที่มีอยู่ในกล้วยช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ และยังช่วยแก้ปัญหาโรคท้องผูกโดยไม่ต้องรับประทานยาถ่าย

โรคลำไส้เป็นแผล
กล้วยเป็นอาหารที่ใช้ควบคุมการเกิดโรคลำไส้เป็นแผล เพราะเนื้อกล้วยมีความอ่อนนิ่มพอดี เป็นผลไม้ชนิดเดียวที่ทานได้ง่ายๆ ไม่ยุ่งยากสำหรับผู้ที่มีปัญหาเรื่องโรคลำไส้เรื้อรัง และกล้วยยังมีสภาพเป็นกลางไม่เป็นกรด ทำให้ลดการระคายเคืองและยังไปเคลือบผนังลำไส้และกระเพาะอาหารด้วย

อาการเสียดท้อง
กล้วยมีสารลดกรดตามธรรมชาติที่มีผลต่อร่างกายของเรา ถ้ามีปัญหาเกี่ยวกับอาการเสียดท้อง
ลองรับประทานกล้วยสักผล จะรู้สึกผ่อนคลายจากอาการเสียดท้องได้

ความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า
การรับประทานกล้วยเป็นอาหารว่างระหว่างมื้ออาหารจะช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเส้นเลือดให้คงที่ เพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกไม่สบายในตอนเช้า

อาการเมาค้าง
วิธีหนึ่งที่จะแก้อาการเมาค้าง ก็คือการดื่มกล้วยปั่นกับนมและน้ำผึ้ง กล้วยจะทำให้กระเพาะอาหารสงบลง ส่วนน้ำผึ้งจะเป็นตัวช่วยเสริมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือดที่หมดไป ในขณะที่นมก็ช่วยปรับระดับของเหลวในร่างกายของเรา

ระบบประสาท
ในกล้วยมีวิตามินบีสูงมาก ช่วยทำให้ระบบประสาทสงบลงได้ จากการศึกษาของสถาบันจิตวิทยาในออสเตรียพบว่า ความกดดันในที่ทำงานเป็นสาเหตุหนึ่งของการกินจุบกินจิบ เช่น ของหวานประเภทช็อคโกแล็ตและอาหารประเภททอดกรอบต่างๆ คนไข้ 5,000 คนในโรงพยาบาลต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นโรคอ้วน และส่วนใหญ่ทำงานภายใต้ความกดดันสูงมาก

รายงานสรุปว่าเพื่อหลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารแบบไม่บันยะบันยังจนเป็นเหตุให้น้ำหนักเกิน เราจึงต้องควบคุมปริมาณน้ำตาลในเส้นเลือด ด้วยการรับประทานอาหารว่างที่มีปริมาณคาร์โบโฮเดรตสูง เช่น รับประทานกล้วยทุก 2 ชั่วโมงเพื่อรักษาปริมาณน้ำตาลให้คงที่ตลอดเวลา กล้วยมีวิตามินบี 6 ซึ่งประกอบด้วยสารควบคุมระดับกลูโคสที่สามารถมีผลต่ออารมณ์ได้

ความเครียด
โปแตสเซียมเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยให้การเต้นของหัวใจ การส่งออกซิเจนไปยังสมอง และการปรับระดับน้ำในร่างกายเป็นปกติ เวลาที่เกิดอารมณ์เครียด อัตราการเผาผลาญพลังงานในร่างกายของเราจะขึ้นสูง และทำให้ระดับโปแตสเซียมในร่างกายของเราลดลง แต่โปแตสเซียมที่มีอยู่สูงมากในกล้วยจะช่วยให้เกิดความสมดุล

ความสับสนของอารมณ์เป็นครั้งคราว
กล้วยสามารถช่วยในเรื่องของอารมณ์และความสับสนได้ เพราะในกล้วยมีสารตามธรรมชาติ ที่ชื่อว่า ทริปโตฟาน ซึ่งทำให้อารมณ์ดี

การควบคุมอุณหภูมิของร่างกาย
กล้วยเป็นผลไม้ที่สามารถทำให้อุณหภูมิเย็นลงได้ ทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยเฉพาะอุณหภูมิของอารมณ์ของคนที่เป็นแม่ คนโบราณจึงมักจะให้ผู้หญิงที่กำลังตั้งครรภ์รับประทานกล้วยทุกวันเพื่อให้แน่ใจว่าทารกที่จะเกิดมามีอุณหภูมิเย็น

การสูบบุหรี่
กล้วยสามารถช่วยคนที่กำลังพยายามเลิกสูบบุหรี่ เนื่องจากในกล้วยมีปริมาณวิตามินซี วิตามินเอ วิตามินบี 6 และบี 12 สูงมาก และยังมีโปแตสเซียมกับแมกนีเซียมที่ช่วยทำให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็ว ซึ่งเป็นผลมาจากการลดเลิกนิโคตินนั่นเอง

โรคหูด
การรักษาหูดด้วยวิธีทางเลือกแบบธรรมชาติโดยการใช้เปลือกกล้วยวางปิดลงไปบนหูด แล้วใช้แผ่นปิดแผลหรือเทปติดไว้ ใครจะลองใช้วิธีนี้ดูก็ไม่น่าจะมีอันตราย

ยุงกัด
ลองใช้ด้านในของเปลือกกล้วยทาบริเวณที่ถูกยุงกัด หลายคนพบว่าเปลือกกล้วยสามารถแก้เม็ดผื่นคันที่เกิดจากยุงกัดได้

อย่างไรก็ตาม แม้ว่า "กล้วย" จะช่วยป้องกันและบรรเทาอาการผิดปกติบางอย่างของร่างกายได้ แต่ต้องไม่ลืมรักษา หรือแก้ไขที่ต้นเหตุของอาการป่วยก่อน แล้วจึงใช้กล้วยเป็นตัวช่วยค่ะ

Source : ผู้จัดการออนไลน์ - เอมอร คชเสนี

พลังผลไม้ ตอน"กล้วย"

(จากคอลัมน์เภสัชโภชนา พลอยแกมเพชร ปี ๙ ฉบับที่ ๒๐๓ ๑๕ กรกฎาคม ๒๕๔๓ หน้า ๔๖-๔๙ ภาพโดย ม.ล.จิราธร จิรประวัติ)

ถ้าจะคัดเลือกผลไม้ในอุดุมคติ เห็นทีจะต้องยกใหักล้วยเป็นหนึ่ง เชื่อว่ากล้วยเป็นผลไม้ชนิดแรก ที่มนุษย์รู้จักเพาะปลูกเป็น อาหารหลายพันปีแล้ว
ต้นกล้วยให้ผลผลิตสีสันสวยงาม ลูกขนาดพออิ่ม รสชาติหอมหวาน กลิ่นเย้ายวน ไม่มีเมล็ดระคายคอ
การปอกเปลือกกล้วยทำได้โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์ช่วย จนกลายเป็นสำนวน "ง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปาก" เรียกว่า มะพร้าว เม็ดกวยจี๊ ทุเรียน ชิดซ้ายไปเลย
นอกจากนี้กล้วยยังมีให้กินตลอดปี ปลูกง่ายโตง่าย ให้ลูกทีละเครือ ปลูกสักกอจะต้องหัวหมุน เพราะบริโภคไม่ทัน
นี่กระมังที่เป็นเหตุให้กล้วยเป็นผลไม้ราคาติดดิน คนรวยคนจนกินกล้วยได้ทั้งนั้น

กล้วยผลงานของอดัม
นักวิทยาศาสตร์เชื่อว่ากล้วยมีต้นกำเนิดในไทย มาเลเซีย พม่า อินเดีย เป็นทรัพยากรท้องถิ่นแถบนี้ และน่าจะเกิดมานานกว่า ๔,๐๐๐ ปีมาแล้ว กล้วยได้กลายเป็นที่รู้จักของชาวโลกผ่าน ทางพ่อค้าอาหรับที่มาค้าขายเคลื่องเทศ
ต่อมาช่วงศตวรรษที่ ๑๕ เมื่อสเปนและโปรตุเกสล่าอาณานิคมแถบอินโดนีเซีย ได้นำกล้วยกลับไปยังยุโรป กล้วยกระจายถึง ทวีปอเมริกา ในปีค.ศ. ๑๕๑๖ โดยหมอสอนศาสนาชาวสเปนนาม Thomas de Berlanga ตำนานของฮินดูบอกว่า มนุษย์คู่แรก ของโลก ได้ฝ่าฝืน คำสั่งสวรรค์ด้วยการขโมยกินกล้วย (ผิดกับคัมภีร์ของคริสต์ที่ว่าอาดัมแอบกินแอปเปิ้ล) สวนสวรรค์ของมนุษย์คู่แรก อยู่ที่เกาะศรีลังกาและพวกเขาปกปิดของสงวนด้วยใบกล้วย
ตำนานนี้ฟังดูดีกว่า ทางยุโรปที่ว่า อดัมปิดของสงวนด้วยใบมะเดื่อ
โถ...ใบมะเดื่อเล็กกระจิริด มีหรือจะปิดกล้วยของอดัมได้มิด ต้องใบกล้วยสิ ฟันรอบเอวสบาย
ความผูกพัน
การที่กล้วยออกลูกคราวละมากๆ แตกหนอแตกกอง่าย ทั้งคนไทยและชาวเอเชียหลายประเทศ จึงถือเอากล้วยเป็นตัวแทนของ การสืบสกุล ความเจริญรุ่งเเรืองของวงศ์ตระกูล
ในพิธีสู่ขอ เราจะเห็นหน่อกล้วยร่วมขบวนเสมอ เป็นเครื่องหมายของการมีลูกเต็มบ้าน มีหลานเต็มเมือง
ของเซ่นไหว้ทั้งไทยและจีนนิยมกล้วยทั้งหวี หลายชาติทั้งไทยฝรั่งเห็นพ้องต้องกันว่า ผลกล้วยเป็นตัวแทนของอวัยวะเพศชาย (แต่ระยะหลังคนไทยจะอ้างอิงมังกรเสียมากกว่า)
ส่วนพิธีบูชาคุณหมอตำแยก็ต้องมีกล้วยหนึ่งหวี ข้าวสาร หมากพลู ฯลฯ เรียกว่าตั้งขันข้าว
ชาวอินเดียเซื่อว่ากล้วยเป็นอาหารของคนฉลาด และฤาษีผู้บำเพ็ญตบะแก่กล้า กล้วยช่วยให้ปัญญาเฉียบแหลมและมีพลังน่ามหัศจรรย์
กล้วยกับการเมือง
ส่าหรับชาวฝรั่งในอดีต กล้วยเป็นอาหารคนรวยเพราะต้องนำเข้าจากประเทศแถบร้อน และขนส่งด้วยการแช่เย็นโดย เรือกลไฟ เรียกเรือขนกล้วยว่า "Banana Boats" กล้วยเคยมีบทบาททางการเมืองระหว่างประเทศ เมื่อสหรัฐอเมริกาตั้งบริษัทค้ากล้วย ส่งเสริมให้ประเทศเขตร้อนในอเมริกากลาง ปลูกกล้วยเป็นพืชหลักป้อนตลาดอเมริกา ต่อมามีการใช้นโยบายเลือกซื้อ กล้วยจากประเทศด้อยพัฒนาเหล่านี้ สร้างอำนาจต่อรองเพื่อประโยชน์ทางการเมือง จนดูเหมือนประเทศผู้ผลิตกล้วยกลาย เป็นเมืองขึ้นของอเมริกา เกิดคำเรียกประเทศเหล่านี้ว่า "Banana Republics"

ต้นกล้วย
คนส่วนใหญ่กินกล้วยโดยไม่เคยเห็นต้นกล้วย หลายท่านอาจแย้งว่าเคยเห็นบ่อย ต้นกลมกลึงสูงท่วมหัว
ความจริงต้นกลม ๆมีใบขนาดใหญ่แตกเป็นพุ่มที่ยอดนั้น หาใช่ต้นกล้วยจริงๆไม่ เป็นเพียงก้านกล้วยแผ่ทบกันเป็นชั้นๆ ดูคล้ายลำต้น เรียกว่าล่าต้นเทียม
ต้นกล้วยจริง มีลักษณะเป็นเหง้าอยู่ไต้ดินครับ การทำลายด้นกล้วยจึงต้องขุด มิใช่ฟัน กล้วยต้นหนึ่งๆจะให้ผล เพียงครั้งเดียว เมื่อออกเครือเสร็จสิ้นก็จะยืนต้นรอตาย
ท่านที่ปลูกกล้วยไว้หลังบ้าน แต่เป็นชาวสวนประเภทมือใหม่หัดขับ ควรตัดต้นกล้วยทิ้งหลังเก็บผลแล้ว เพื่อให้ด้นใหม่ได้แทงยอดเติบโต ไม่แย่งอาหารกัน
ฝรั่งเรียกกล้วยว่า บานาน่า (Banana) ตามภาษาแอฟริกัน Banema แต่พอคนไทยพูดกับฝรั่งว่า บานาน่า เขากลับงงเพราะเขาออกเสียงว่าบะ-แหน็น-น่ะ
ส่วนชื่อวิทยาศาสตร์Musa Sapientum นั้น คำว่า Musa มาจาก Muz เป็นภาษาอาหรับ แปลว่ากล้วย ส่วน Sapientum ตั้งเพื่อเป็นเกียรติแก่อเล็กซานเดอร์มหาราชที่แผ่พระบารมีไปถึงอินเดีย ว่ากันว่าทรงได้พบกับนักปราชญ์อินเดีย (Homines Sapientes} ผู้ซึ่งนั่งอยู่ใต้ต้นกล้วยและ กินกล้วยเป็นอาหาร

สายพันธุ์
ถ้าถามว่ากล้วยมีกี่ชนิด พวกเราคงนึกออกแต่เฉพาะกล้วยยอดนิยม เช่น กล้วยหอม กล้วยน้ำว้า เล็บมือนาง กล้วยตานี กล้วยหักมุก กล้วยไข่ เป็นต้น แต่ถ้านับกันจริงจัง สายพันธุ์กล้วยในไทยนั้นมีไม่ต่ำกว่า ๕๐ สายพันธุ์
พระศรีสุนทรโวหาร เคยนำชื่อสายพันธุ์กล้วยมาร้อยเรียงไว้ความว่า
"กล้วยกล้ายมีหลายกระบวน กล้วยกรันจันนวลอีกน้ำละว้าน้ำไท
กล้วยน้ำกาบดำก้านใบ คล้ายกับน้ำไท ผลใหญ่และยาวกว่ากัน
กล้วยกุเรียกกล้วยสั้นผัน เพี้ยนนามจำนันจะหนีที่หยาบคาย
ตีนเต่าตีนตานีกลายกล้วยน้ำเชียงราย กล้วยส้มหากมุกมูลมี
กล้วยน้ำนมราชสีห์อีกกล้วยร้อยหวี บายศรีก็เรียกนามสอง
หอมเขียวกล้วยค่อมหอมทอง หอมจันนวลลละอออึกกล้วยที่เรียกเปลือกบาง ฯลฯ"
เห็นไหมครับ มีมากมายจริง ๆ นี่ขนาดลอกมาเพียงบางส่วน

กล้าย
คนเก่งภาษาอาจเคยได้ยินคำว่า "กล้าย" กล้วยกล้ายก็เรียก กล้วยลูกใหญ่และอ้วนกว่ากล้วย สุกแล้วเนื้อไม่นิ่ม ยกตัวอย่างเช่น กล้วยหักมุก กล้วยส้ม จัดเป็นกล้าย จำต้องนำมาปรุงด้วยความร้อน ฝรั่ง เรียกกล้ายว่า Plantains
ในอินเดียนิยมนำกล้ายมาบดเป็นแป้งเรียกแป้งกล้าย ใช้ปรุงอาหาร ทำเค็ก คุกกี้ แป้งจากกล้ายมีฤทธิ์ช่วยบรรเทาแผลโรคกระเพาะอาหารได้ด้วย เคยกล่าวไว้ในเภสัชโภชนาเล่ม ๑ ใครยังไม่มีสั่งซื้อได้ครับ
กล้ายเป็นญาติสนิทของกล้วย มีแป้งมาก บางประเทศใช้กินเป็นผัก หากปล่อยให้สุกจริงๆอาจเปลี่ยนสีผิว จากเขียวเป็นเหลือง ในบางพันธุ์ แต่เนื้อในยังคงแข็ง และไม่มีรสหวาน
ในแง่โภชนาการเทียบคุณค่ากล้ายได้ใกล้เคียงก้บกล้วย คีอเป็นแหล่งโปแตสเซียมและวิตามินซี กล้ายมีเบต้าแคโรทีนสูงขนาดเนื้อ ๑ ขีด ให้วิตามินเอราว ๑๘% ของปริมาณที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน(เมื่อเทียบกัน กล้วยจะให้วิตามินเอเพียง ๒%)
ในตลาดต่างประเทศจะติดฉลากกล้ายว่า "Platanos" นิยมนำมาปรุงอาหารด้วย การย่างหรือทอด กินกับปลาหรือไก่ คล้ายมันฝรั่ง

ตลาดกล้วย
ละตินอเมริกาเป็นแหล่งปลูกกล้วยเพื่อการส่งออกรายใหญ่ของโลก ผลผลิตถึง ๑๑ ล้านตันในปีพ.ศ. ๒๕๓๕ ขณะที่ไทยเราผลิต เพื่อส่งออกเพียงสองพันตันเท่านั้น ผู้ผลิตกล้วยส่งออกรายใหญ่ของเอเชียต้องยกนิ้ว ให้ฟิลิปปินส์ เขาส่งออกถืงปีละกว่าแปดแสนตัน ส่วนอินเดียซึ่งผลิตกล้วยและกล้ายใด้มากที่สุดนั้นกินกล้วยที่ตัวเองผลิตจนหมด ไม่เหลือส่งออก สงสัยเอาไปทำกล้วยแขก

คุณค่าทางโภชนาการ
กล้วยเป็นแหล่งคาร์โบไฮเดรต โปแตสเซียม แมกนีเซียม ไอโอดีน วิตามินซี และโฟเลต นอกจากนี้ยังมีแคโรทีน วิตามินบีแทบทุกตัว วิตามินอี และกรดอะมิโนทริปโทแฟน
กล้วยไข่มีสารเบต้าแคโรทีนมากเป็นพิเศษเมื่อเทียบกล้วยอื่น (ดูตาราง)
เนื้อกล้วยอ่อนนุ่มย่อยง่ายทั้งกับเด็กเล็กและคนชรา ให้พลังงานและวิตามินเกลือแร่สมตัว หรือ มากกว่าผลไม้อื่นๆในแง่พลังงาน เพราะกล้วยมีน้ำในเนื้อต่ำ จึงเข้มข้นด้วย คาร์โบไฮเดรต ซึ่งเป็นตัวให้พลังงาน
นักกีฬาหลายคนชอบกินกล้วยเป็นของว่างแทนขนมขบเคี้ยว นอกจากจะทำให้มีแรง ยังให้โปแตสเซียมเกลือแร่สำคัญที่มักจะสูญเสีย พร้อมกับเหงื่อขณะออกกำล้งกาย

โปแตสเซียมสำคัญอย่างไร
โปแตสเซียมจำเป็นมากในการรักษาสมดุลของน้ำในร่างกาย ควบคุมการหดตัวของกล้ามเนื้อ ช่วยการสันดาปแป้งและน้ำตาล และการส่งสัญญาณประสาท โปแตสเชียมยังมีหน้าที่ควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจและความดัน และสำหรับผู้สูงอายุมันอาจ ช่วยความเสี่ยง จากอาการเส้นเลือดตีบตันในสมอง
ลองดูตารางเปรียบเทียบกล้วยชนิดต่างๆต่อน้ำหนักเนื้อกล้วย ๑ ขีด

กล้วยไข่ กล้วยน้ำว้า กล้วยหอม
พลังงาน ๑๔๐ ๑๓๙ ๑๒๕
ไฟเบอร์ ๑.๙ ๒.๓ ๑.๙
เบต้าแคโรทีน ๔๙๒ ๕๔ ๙๙
วิตามินซี ๒ ๑๑ ๒๗
จากตารางจะเห็นว่ากล้วยแต่ละชนิดก็มีจุดเด่นของตัวเอง การกินอาหารหลากหลายจึงเป็นคำตอบที่ดีที่สุด
แต่สิ่งน่าสนใจคือกล้วยทุกชนิดให้พลังงานใกล้เคียงกับทุเรียนชะนี
กล้วย ๑ ขีด ให้พลังงาน ๑๔๐ กิโลแคลอรี่
ทุเรียนชะนีให้พลังงาน๑๓๙ กิโลแคลอรี่
ใครที่ลดความอ้วนด้วยการกินกล้วยแทนข้าวน่ะ...คิดผิดแท้ๆ
หากคุณซื้อกล้วยแก่แต่ยังไม่สุก อย่านำเข้าตู้เย็น เพราะความเย็นจะหยุดยั้งปฏิกิริยาเคมีที่ทำให้กล้วยสุก แม้ภายหลังจะนำกล้วย ออกจากตู้เย็นมาบ่ม กล้วยก็จะไม่สุกอีกแล้ว
การบ่มกล้วยทำง่ายๆโดยทิ้งไว้ในอุณหภูมิห้อง หรือจะให้สวยอาจใส่ในถุงพลาสติก ถ้ามีแอปเปิ้ลสุกจัดเหลือทิ้ง จงใส่เข้าไปในถุงด้วย แอปเปิ้ลจะคายแก๊สบางชนิดที่ช่วยไห้กล้วยสุกสีสวยสม่ำเสมอ
เมื่อกล้วยสุกงอมจงนำเก็บในเตู้เย็น ความเย็นจะรักษาเนื้อกล้วยให้คงที่แม้ผิวนอกจะดำคล้ำ
ฝรั่งมีวิธีกินกล้วยแปลกๆอยู่อย่างคือ นำกล้วยหอมแช่แข็งมาบด ด้วยเครื่องปั่นให้เหลวเละเติมครีม กินขณะเย็นจัดเหมือนไอศกรีม เห็นเนื้อแล้วอยากแหวะ แต่รสชาติแปลกดี
อินโดนีเซียก็มีตำรับกล้วยบวชชีน่าเรียนรู้ เขาใช้กล้วยห่ามเชื่อมกับน้ำตาลไห้เข้าเนื้อก่อน จากนั้นใส่กะทิในหม้อ เติมกล้วยที่เชื่อมแล้วและเนื้อมะพร้าวอ่อน ตั้งไฟพอเดือด เติมเกลือพอเค็มๆมันๆ จึงใส่แป้งมันให้น้ำข้น เหนียวอร่อยแปลกไปอีกแบบ
คนไทยรู้จักทำกล้วยตาก กล้วยหับ กล้วยปิ้ง กล้วยแขก กล้วยกวน กล้วยต้ม ข้าวเกรียบกล้วย กล้วยแผ่น กล้วยเชื่อม กล้วยอบน้ำผึ้ง กล้วยบวชชี และสารพัดกล้วย
ต่างประเทศยังมีผลิตภัณฑ์อื่นๆจากกล้วยที่คุณอาจคาดไม่ถึง เช่น กล้วยเหลวจุกระป๋อง( Banana Puree) กล้วยคืนรูป (Rehydrated Baกลกa) กล้ายผง (BaIaIa Powder) กล้วยแผ่น ฯลฯ

ข้อควรรู้
- เลือกซื้อกล้วยห่ามตามทลาดมาบ่นให้สุกที่บ้านจะดีกว่า เพราะกล้วยสุกตามตลาดอาจช้ำใน รสชาติไม่อร่อย
- ระวังกล้วยสุกไม่เต็มที่จะทำให้ท้องอืด และผายลมบ่อย
- กล้วยอาจทำให้เกิดความดันสูงเฉียบพลันในคนที่กินยากลุ่ม Maoi

เปลือกกล้วยกับตาปลา
ตำรายาพื้นบ้านบางประเทศแนะนำให้ใช้เปลือกกล้วยรักษาตาปลา ฟังดูเหลือเชื่อ แต่เคยมีรายงานทางการแพทย์ตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ปี ค.ศ. ๑๙๘๘ (Journal of Plastic Reconstructive Surgery) รายงานการใช้เปลือกกล้วยรักษาตาปลาได้ผลในเด็กหญิงวัย ๑๖ ปี โดยแพทย์ชาวอิสราเอล
นอกจากนี้ยังมีรายงานน่าสนไจของนายแพทย์แมททิว มิดแคป กล่าวถึง ประสบการณ์การใช้เปลือกกล้วยรักษาตาปลาไว้ว่า
"คนไข้คนแรกที่ผมทตลองรักษา เป็นชายผิวขาว วัย ๔๘ ปี อาชีพพนักงานธนาคารและเล่นกีฬากอล์ฟ แต่ปัญหาคือ เขามีตาปลาขนาดใหญ่หลายตำแหน่ง ทำให้ปวดทรมานเมื่อต้องเดินไกลๆขณะมาหาหมอ
เขาได้ทดลองรักษาด้วยวิธีต่างๆแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการกัดด้วยกรด จี้ด้วย ความเย็น ผ่าตัด แม้กระทั่งฉายรังสี วิธีเหล่านี้ได้ผลก็จริง แต่ตาปลาก็จะกลับคืนทุกครั้ง
ผมจึงทดลองใช้เนื้อด้านในสีขาวของเปลึอกกล้วยทาบริเวณตาปลา แล้วปิดทับด้วยปลาสเตอร์ และแนะนำให้คนไข้ทำเองหลังอาบน้ำ โดยให้กลับมาพบแพทย์เพื่อติดตามผลทุกอาทิตย์ และเพื่อขูดเนื้อเปื่อยออก
พบว่าขนาดของตาปลาค่อยๆเล็กลง ภายในหนึ่งเดือน และหายขาดใน ๖ เดือน ตาปลาไม่กลับคืนมาอีกเลย น่าทึ่งนะครับ

กล้ายกับหลอดเลือดและหัวใจ
งานวิจัยจากอินเดียหลายชิ้นพบว่า เมื่อป้อนกล้ายดิบบดเป็นผงให้หนูทดลอง (กล้ายนะครับ ไม่ใช่กล้วย) และให้กินโคเลสเตอรอลเข้าไปด้วย ปริมาณโคเลสเตอรอลในหนูที่กินกล้ายดิบจะมีเพียงหนึ่งในสามของหนูที่ไม่ได้กินกล้ายดิบ
หนูที่ใด้รับอาหารโคเลสเตอรอลอย่างเดียว มีโคเลสเตอรอลชนิด LDLถึง ๑๒๖ มิลลิกรัม/๑๐๐ ซีซี ขณะที่หนูได้รับกล้วยดิบมีโคเลสเตอรอลเพียง ๔๔ มิลลิกรัม/๑๐๐ ซีซี
เชื่อว่าไฟเบอร์ในกล้ายดิบสามารถลดโคเลสเตอรอลได้ เพราะกล้ายมีไฟเบอร์ละลายน้ำตัวเก่งชื่อ เพคติน ซื่งไดัรับการพิสูจน์ว่าลดโคเลสเตอรอลได้จริงๆ
ปริมาณ เพคตินในกล้วยแเละกล้ายบางชนิดมีสูงกว่าแอปเปิ้ล ซึ่งขื้นชื่อเรื่องเพคตินเสียอีก

กล้วยเป็นยาอายุวัฒนะ
เวลาขับรถเที่ยวต่างจังหวัด คุณอาจเห็นกล้วยดองน้ำผึ้งวางจำหน่ายเป็นโหลข้างทาง ตามความเชื่อของคนโบราณที่ว่า กล้วยน้ำว้าดองน้ำผึ้งกินวันละ๑ ลูก เป็นยาอายุวัฒนะสำหรับผู้สูงอายุ
ตำรับนี้คงดี จึงนิยมใช้มาถึงปัจจุบัน
ผมลองค้นคว้าดูพบว่าเคยมีงานวิจัยคุณประโยชน์ของกล้วยสุกกับผู้สูงอายุหลายชิ้น การศึกษาชิ้นหนื่งใช้กล้วยแทนของว่างในผู้สูงอายุเพศหญิงที่อาศัยในเขตสังคม อุตสาหกรรม พบว่าอัตราป่วยด้วยโรคต่างๆลดลง
การศืกษาชิ้นที่สองทำในกลุ่มพนักงานบัญชีพบว่ากล้วยช่วยให้ผู้ทดลอง กระฉับกระเฉง ลดความเฉื่อยซา เมื่อให้กล้วยเสริมกับอาหารปกติ พนักงานที่เพิ่มกล้วยจะร่าเริงแจ่มใส ตั้งใจทำงาน และไม่เหนื่อยง่าย เทียบกับ อีกกลุ่มที่ไม่ได้กินกล้วย
การศืกษาชิ้นที่สามทำในบ้านพักคนชราผู้สูงอายุ ๑๑๗ คน ได้รับอาหารที่มีส่วนผสมของกล้วยนาน ๑๖-๓๐ วัน พบว่ากล้วยช่วยไห้ระบบขับถ่ายดีขึ้น ระบบย่อยอาหารทำงานเป็นปรกดิ ไม่มีอาการธาตุพิการอาหารไม่ย่อย และยังเหมาะกับผู้ป่วยเบาหวานเพราะระดับน้ำตาลจะสม่ำเสมอต่อเนื่อง
"ถูกแเละดี" ของกล้วยๆ จากกล้วยเพื่อคุณ

กล้วยหอม

ตารางแสดงส่วนประกอบของกรดอะมิโน และโปรตีนในส่วนที่กินได้ 100 กรัม

โปรตีน(g) และกรดอะมิโน(mg) กล้วยน้ำว้า กล้วยไข่ นมแม่ ไข่
โปรตีน 1.0 1.6 1.0 13.3
กรดอะมิโนทั้งหมด 596 1169 1111 8533
กรดอะมิโนที่จำเป็นทั้งหมด 261 514 522 4020
ไอโซลูซิน 28 55 64 465
ลูซิน 45 96 108 707
ไลซิน 36 97 83 631
กรดอะมิโนที่มีกำมะถันเป็นองค์ประกอบทั้งหมด 12 21 36 489
เมทิโอนิน 3 9 16 243
ซิสตีน 9 12 20 246
กรดอะมิโนที่มีสูตรโครงสร้างเป็นวง 49 115 84 694
เฟนิลาลานิน 30 52 43 402
ไทโลซิน 19 63 41 292
และทีรโอนิน 36 50 63 357
ทริพโตแฟน 18 26 25 193
วาลิน 37 54 59 484
กรดอะมิโนที่ไม่จำเป็น        
อารจินิน 31 71 49 626
ฮิสติดีน 31 157 30 192
อลานิน 35 52 43 410
กรดแอสปาติค 69 103 102 1037
กรดกลูตามิค 66 113 189 1087
ไกลซิน 34 54 27 245
โปรลิน 31 47 94 312
ซิริน 38 56 55 604
กรดอะมิโนที่มีน้อยที่สุด S - c* S - c S - c -

S - c = กรดอะมิโนที่มีกำมะถันเป็นองค์ประกอบ

กล้วยมีประโยชน์ต่อเด็ก ๆ อย่างไรบ้าง

กล้วยช่วยในการเจริญเติบโตทางร่างกายของทารก

กล้วยเป็นผลไม้ที่เหมาะเป็นอาหารเสริมสำหรับเด็กทารกโดยตรง เพราะเนื้อมีลักษณะนิ่ม ง่ายต่อการกินของทารกที่ยังไม่มีฟันหรือที่ฟันเพิ่งเริ่มขึ้น นอกจากนี้ กล้วยยังมีคุณค่าของธาตุอาหารที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของทารกด้วย เช่น มีกรดอะมิโนและเกลือแร่ที่จำเป็นสำหรับเด็กทารกหลายชนิด อีกทั้งมีส่วนประกอบของโปรตีนที่ใกล้เคียงกับน้ำนมแม่ เราจึงเห็นภูมิปัญญาของคนไทยตั้งแต่สมัยโบราณจนถึงปัจจุบันที่ใช้กล้วยน้ำว้ามาบดกับข้าวให้เด็กทารกกินเป็นอาหารเสริม เพราะทำให้เด็กทารกมีสุขภาพแข็งแรง

- กล้วยเพิ่มประสิทธิภาพสมองของเด็ก

กล้วยเป็นผลไม้ที่มีโปแตสเซียมสูงมากที่สุดในบรรดาผลไม้ทั้งหมด เพราะในผลกล้วยสุกหนัก 100 กรัมมีสารโปแตสเซียมประมาณ 370 มิลลิกรัม ซึ่งสารโปแตสเซียมในกล้วยมีสรรพคุณ ในการช่วยเพิ่มพลังให้สมองตื่นตัว สมัยที่ผู้เขียนยังเป็นเด็กเรียนที่โรงเรียนวัฒนาวิทยาลัย ทางโรงเรียนจัดอาหารว่างตอนเช้าคือนมกับกล้วยน้ำว้าให้เด็ก ๆ ได้รับประทานทุกวัน เพราะเป็นการช่วยเตรียมสมองให้พร้อมสำหรับการเรียนนั่นเอง นอกจากนี้ยังมีงานวิจัยเรื่อง The Many Benefits of Bananas (ประโยชน์มากมายของกล้วย) ของโรงเรียน Twickenham ในแคว้น Middlesex ที่ประเทศอังกฤษ พบว่านักเรียน200คน ที่รับประทานกล้วยหอมในมื้อเช้าและมื้อกลางวันเป็นประจำทุกวัน มีผลการเรียนอยู่ในระดับดี (2005) ดังนั้น กล้วยจึงเหมาะกับวัยเด็กซึ่งเป็นวัยเรียนรู้ที่ต้องใช้สมองและใช้ความคิดในการเรียนรู้

- กล้วยช่วยเพิ่มพลังงานแก่เด็ก

ในกล้วยสุก มีน้ำตาล 3 ชนิด คือ กลูโคส ซูโคส และฟรุคโตส และมีคาร์โบไฮเดรตสูงถึง 22.2 กรัม (คำนวณจากกล้วยที่มีน้ำหนัก100กรัม) ดังนั้น กล้วยจึง ให้พลังงานอย่างดี เหมาะสำหรับเด็กๆในวัยที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโตและชอบเคลื่อนไหวร่างกายใน การวิ่ง กระโดด เล่น ทำกิจกรรมต่าง ๆ การให้เด็ก ๆ รับประทานกล้วยทุกวันจึงสามารถช่วยกระตุ้นให้สมองและร่างกายของเด็กให้ทำงานได้อย่างคล่องแคล่ว ว่องไวและกระฉับกระเฉง

- กล้วยช่วยทำให้เด็กอารมณ์ดี

กล้วยหอมมีวิตามินบีอยู่มาก ซึ่งมีสรรพคุณที่สามารถช่วยลดความเครียดได้ นอกจากนี้ กล้วยยังมีโปรตีนชนิด try potophan ซึ่งช่วยทำให้เด็กรู้สึกอารมณ์ดี มีความ สุข และสารโปแตสเซียมทำให้หัวใจทำงานได้ดี จึงส่งผลให้ออกซิเจนออกไปเลี้ยงสมองอย่างเพียงพอ ร่างกายจึงเกิดการผ่อนคลายมากขึ้น ทำให้ความเครียดลดลง

- กล้วยช่วยเรื่องระบบขับถ่ายของเด็ก

- ช่วยแก้อาการท้องผูก การให้เด็กรับประทานกล้วยน้ำว้าสุกเป็นประจำทุกวัน จะช่วยให้เด็กไม่มีอาการท้องผูก เพราะกล้วยมีเส้นใยอาหารอยู่มาก จึงช่วยให้ขับถ่ายได้สะดวก

- ช่วยแก้อาการท้องร่วง นำกล้วยดิบมาฝานเป็นแว่นบาง ๆ ทั้งเปลือก ตากแห้งแล้วนำมาบดให้ละเอียดเป็นผงใช้ชงดื่ม ช่วยรักษาอาการท้องเสียหรือท้องเดิน อีกทั้งสามารถลดอาการท้องเฟ้อท้องอืดได้อีกด้วย

นอกจากประโยชน์ต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้วนี้ ในกล้วยยังมีวิตามินบี1ที่มีสรรพคุณในการป้องกันโรคเหน็บชา มีวิตามินซี ใช้ป้องกันโรคหวัด มีแมกนีเซียม ช่วยควบคุมความดันเลือดและมีแคลเซียม ที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง และปัจจุบันยังมีการสนับสนุนให้กินกล้วยมื้อเช้าทุกวันเพื่อล้างพิษและลดไขมันในร่างกายอีกด้วย (Hamachi,Asa Banana Diet,2008)

จะเห็นได้ว่า แม้จะเป็นเรื่องกล้วยๆแต่ประโยชน์ที่ได้รับจากกล้วยมีมากมายมหาศาล เพราะมีคุณค่าทางโภชนาการสูงเมื่อเทียบกับผลไม้ชนิดอื่นที่มีราคาแพงกว่า เช่น มีเกลือแร่และวิตามินต่าง ๆ มากกว่าแอ๊ปเปิ้ล มีคาร์โบไฮเดรต และธาตุเหล็กมากกว่าเชอรี่ มีโปรตีน และฟอสฟอรัสมากกว่าสตรอเบอรี่ มีโปแตสเซียม และวิตามินบีมากกว่าแอปปริคอต ฯลฯ อีกทั้งกล้วยยังหากินได้ง่าย มีทุกฤดูกาลและราคาถูกอีกด้วย คุณพ่อคุณแม่จึงควรให้ลูก ๆ ได้กินกล้วยกันทุกวันเพื่อสุขภาพร่างกาย สมองและอารมณ์ที่ดีของเด็ก ๆ นั่นเอง

กล้วยหอมมีสารน้ำตาลอยู่ 3 ชนิดคือ ซุคโคส ฟรุคโตสและกลูโคส (sucrose, fructose and glucose) รวมทั้งเส้นใยอาหาร
มันจะให้พลังงานแก่ร่างกาย พร้อมนำไปใช้ทันทีเลยครับ

เขาวิจัยมาแล้วว่ากล้วยหอม 2 ใบให้พลังงานเพียงพอให้เราทำงานถึง 90 นาที ไม่ต้องสงสัยเลยนะครับ นักกีฬาระดับโลกถึงชอบกินกล้วยหอมกันนัก
(เคยเห็นในสนามเทนนิส..พอพักเบรคบางคนหยิบกล้วยหอม มากัดกินสัก 2-3 คำ) ยังไม่หมดนะ....เจ้ากล้วยยังมีคุณอนันต์

ป้องกันโรคภัย และภาวะต่าง ๆของร่างกายได้อีกด้วย...มาดูกันครับ

1.โรคเศร้าซึม
จากการสำรวจและวิจัยไต่ถามพร้อมสุ่มตัวอย่างจากคนไข้ ที่ป่วยเป็นโรคเศร้าซีม พบว่าส่วนใหญ่จะรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้กินกล้วยหอม เพราะว่ามัน tryptophan ซึ่งเป็นกรดอะมิโนโปรตีนชนิดหนึ่ง ซึ่งร่างกายสามารถแปลงเป็น serotonin สารกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์สดใสและมีความสุขมากยิ่งขึ้น

2.โรค pms (premenstrual syndrome)
สำหรับสุภาพสตรีแล้วก่อนที่จะมีประจำเดือน อารมณ์จะหงุดหงิดง่าย ไม่อยู่กับร่องรอยและก่อให้เกิดสภาวะต่อร่างกาย..เช่ นปวดท้อง ปวดหัว...ฯลฯ รีบกินกล้วยหอมซะดี ๆ.....ยาแก้ปวดลืมไปได้เลย..... มันสามารถป้องกันได้นะจ๊ะ........

3.โรคโลหิตจาง (Anemia)
ธาตุเหล็กในกล้วยหอมสามารถที่จะกระตุ้นร่างกายให้ผลิ ต Hemoglobin (ฮีโมโกลบิน) ในกระแสโลหิตช่วยหยุดยั้งภาวะโลหิตจางได้
แต่คงไม่ช่วยแก้โรคทรัพย์จางได้หรอกนะ....ฮ่า... (โรคนี้ผมเป็นบ่อย ๆ.....หุ...หุ...)

4.ความดันโลหิต (Blood Pressure)
กล้วยหอมมีเกลือโปแตสเซียมเหลืองอยู่เยอะ เป็นตัวช่วยความดันเลือดจนกระทั่ง US Food and Drug Administration อนุมัติให้กล้วยหอมยอดผลไม้มีส่วนช่วยลดภาวะความเสี่ ยงความดันได้จริง

5.เสริมสร้างพลังสมอง (Brain Power)
ที่อังกฤษในแค้วน Middlesex มีนักเรียนจำนวน 200 คนจาก Twickenham school อ้างว่าพวกเขาสอบผ่านเพราะได้กิตกล้วยหอมเป็นอาหารเช ้า
รวมทั้งกินอีกนิดหน่อยในตอนมื้อเที่ยงเพื่อทำให้สมอง สดชื่น เขาได้วิจัยพบว่าโปแตสเซียมในกล้วยช่วยนักเรียนให้ตื่นตัวอยู่เสมอ

6.อาการท้องผูก (Constipation)
เส้นใยอาหารในกล้วยหอมช่วยทำให้ระบบขับถ่ายในร่างกาย ทำงานได้ดี

7.อาการเมาค้าง (Hangovers)
วิธีแก้เมาค้างที่เร็วและดีอีกวิธีหนึ่งก็คือกินกล้วยหอมปั่น banana milkshake โดยการใส่น้ำผึ้งลงไปด้วย ด้วยสรรพคุณของน้ำผึ้งและสารวิตามินในกล้วย จะช่วยให้ปรับระดับน้ำตาลในเส้นเลือด และทำให้กระเพาะอาหารอยู่ในสภาวะที่พร้อมทำงานได้เร็วขึ้น.......

8.จุกเสียดแน่นท้อง (Heartburn)
กล้วยหอมมีสารลดกรดตามธรรมชาติอยู่ ดังนั้นการกินกล้วยก็จะช่วยให้ลดอาการดังกล่าว

9.Morning Sickness
ไม่รู้ว่าจะแปลว่าอะไรดีนะ...อาการงี่เง่าตอนเช้าเช่ นไม่อยากจะตื่นบ้าง....ฯลฯ ถ้าเรากินกล้วยหอมสักคำ 2 คำระหว่างมื้อเช้า เที่ยงหรือเย็น
มันจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและแก้อาการดังกล่าว ในตอนเช้าได้

10.บรรเทาแผลยุงกัด
ก่อนที่จะใช้ยาทา ลองใช้เปลือกกล้วยหอมด้านในถูบริเวณที่ถูกยุงกัด จะช่วยลดอาการคันหรือบวมได้.....คนส่วนใหญ่เป็นอย่าง นั้นจริง ๆ

11.ระบบประสาท (Nerves)
วิตามินบีที่มีอยู่มากในกล้วยหอมจะช่วยลดความเครียด.. .

12.อ้วนจากทำงานมากเกินไป
ที่สถาบันจิตวิทยาในออสเตรียได้ศึกษาและพบว่า ความเครียดจากที่ทำงานทำให้คนกินช็อกโกแล็ตและพวกโปเต้โต้ชิปส์มากเกินไป ทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้นจากที่กล่าวมาแล้วถ้ากินกล้วยหอมสักเล็ก ๆน้อย ๆประมาณทุก ๆ 2 ชม.. มันจะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด และลดการอยากกินของจุกจิก

13.แผลในลำไส้และกระเพาะอาหารรวมทั้งผิวหนังพุพองเป็นแผ ล (Ulcers) สารและเส้นใยในกล้วยหอมช่วยให้การย่อยอาหารของลำไส้เ ล็กดีขึ้น
รวมทั้งกรดต่าง ๆที่มีอยู่ทำให้มีการเคลือบผิวของกระเพาะ ลดการเป็นแผลในกระเพาะได้

14.ปรับระดับอุณหภูมิในร่างกาย (Temperature Control)
ในประเทศแถบเส้นศูนย์สูตรที่มีอากาศร้อน ผู้คนชอบกินกล้วยหอมดับร้อนกันครับและเชื่อว่ามันเป็ นผลไม้เย็นฉ่ำชนิดหนึ่ง อย่างเช่น ในไทยมีความเชื่อกันว่า ผู้หญิงท้องควรกินกล้วยหอมเป็ นประจำ เพื่อเด็กที่เกิดมาจะมีอารมณ์เยือกเย็นเช่นดังป๋าคูล เป็นต้น......so cool....

15.ลดความอยากสูบบุหรี่
สำหรับท่านที่ต้องการเลิกบุหรี่ กล้วยหอมอาจช่วยท่านได้เพราะมีวิตามิน B6, B12 โปแตสเซียมและแม็กนีเซียม ที่มีอยู่มากจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็ว จากการขาดสารนิโคติน