เวลาชีวิต

ตารางเวลา-นาฬิกาชีวิต

ในร่างกายมีนาฬิกาชีวิตหรือนาฬิกาชีวภาพ (biological clock) ตั้งอยู่ที่ suprachiasmatic nucleus (SCN) ของสมอง ไฮโพธาลามัส ทำหน้าที่บริหารระบบในร่างกายให้ทำงานสอดคล้องกับสภาวะแวดล้อม ของธรรมชาติ เพราะสิ่งมีชีวิตและธรรมชาติมีปฏิสัมพันธ์กันตลอดเวลา ประกอบกับ ธรรมชาติไม่หยุดนิ่ง มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา ซึ่งเป็นผลมาจากโลกหมุนรอบตัวเอง และรอบดวงอาทิตย์ ทำให้โลกอยู่ภายใต้อิทธิพลของแสงจากดวงอาทิตย์ เกิดเป็นวงจรของวัน(circadian rhythm) ใช้ระยะเวลา 24 ชั่วโมง ต่อการหมุนรอบตัวเองของโลก 1 รอบ แบ่งออกเป็น 2 ช่วง ได้แก่ ช่วงมืด(กลางคืน) กับช่วงสว่าง(กลางวัน) ส่งผลให้สิ่งมีชีวิตจะต้องปรับสภาวะร่างกายให้ทำงานสอดคล้อง กับวงจรของวันใน ธรรมชาติ มิเช่นนั้นแล้วจะทำให้มีอายุขัยสั้นลง

ด้วยเหตุนี้นาฬิกาชีวภาพของคนจึงทำงานเป็นวงจรและใช้ระยะเวลา 24 ชั่วโมง เช่นกัน โดยมี 2 ช่วง คือ ช่วงมืด กับช่วงสว่าง

สำหรับช่วงสว่าง แสงจะกระตุ้น SCN โดยอาศัยตัวรับแสง(melanopsin) ซึ่งอยู่ ที่เรตินา(จอตา) กับที่เส้นใยประสาท retinohypothalamic tract

ส่วนช่วงมืด(กลางคืน) ต่อมไพเนียลของสมองจะหลั่งเมลาโทนิน(melatonin) มากระตุ้น SCN เมื่อ SCN ถูกกระตุ้นก็จะส่งสัญญาณผ่านระบบประสาท และฮอร์โมนไปควบคุมการทำงานของอวัยวะ และต่อมต่างๆ เพื่อให้สภาวะร่างกายดำเนินไปอย่างสอดคล้องกับวงจรของวันในธรรมชาติ ซึ่งได้แก่ อุณหภูมิของร่างกาย, ความดันเลือด, การเต้นของหัวใจ และวงจรการหลับ-ตื่น

เวลาชีวิต

เวลาชีวิต

เวลา ๑๙.๐๐ น. ถึง ๒๑.๐๐ น. (กล้ามเนื้อหัวใจ- P) Top
เป็นเวลาที่กล้ามเนื้อหัวใจจะชะล้างตัวเองจึงต้องพักสนิทส่วนหัวใจจะทำงานน้อยละ ถ้าไม่พักเลือดจะข้น กล้ามเนื้อหัวใจจะทำงานหนัก ทำให้หัวใจโต และคนที่มีหัวใจโตจะมีความเสี่ยงต่อการเป็นอัมพาตมากกว่าคนปกติ ๕-๖ เท่า
ทุกวันนี้คนเราไม่เตรียมตัวที่จะพักเวลานี้กันเลย แต่กลับจะทำงานล่วงเวลามากขึ้น เที่ยวกลางคืน และกินอาหารหนัก ๆ พร้อมกับดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ทำให้กล้ามเนื้อหัวใจทำงานหนักมากขึ้นไปอีกเท่าตัว จึงมีผลกระทบต่อหัวใจ หัวใจจะต้องทำงานหนักไปด้วย ซึ่งปกติแล้วร่างกายควรจะชะลอพักนั่งทำสมาธิ สวดมนต์ไหว้พระเพื่อให้จิตใจและร่างกายสงบลง สำหรับการเตรียมตัวพักผ่อนหลับนอน
วิทยาศาสตร์ทึ่ง “ สมาธิ ” เพิ่มพลังสมอง (เอ็กซ์-ไซท์ ไทยโพสต์) ผู้เชี่ยวชาญด้านสมองและประสาทวิทยาได้ทดลองสแกนคลื่นสมอง พระสงฆ์ที่นั่งสมาธิมากกว่า ๑๐,๐๐๐ ชั่วโมง เปรียบเทียบกับผู้ฝึกสมาธิขั้นเริ่มต้น พบคลื่นสมองที่เป็นระเบียบมากกว่า และระหว่างนั่งสมาธิจะมีคลื่นสมองเกิดขึ้นเช่น เดียวกับผู้ที่นอนหลับ นั่นคือทำสมาธิประจำจะดีต่อสุขภาพ
เวลา ๒๑.๐๐ น. ถึง ๒๓.๐๐ น. (พลังงานรวม- SJ) Top
๓ ทุ่มเป็นเวลาเส้นตายที่ทุกคน ต้องนอนหลับให้ได้ ถ้าหากเข้านอนหลัง ๓ ทุ่ม อันเป็นช่วงพลังงานรวมนี้ จะมีพลังงานไปช่วยเหลือกระบวนการสะสมพลังงานในร่างกายไม่เต็มที่ ผลก็คือจะทำให้ร่างการมีพลังงานสะสมไม่เพียงพอ ในการฟื้นฟูอวัยวะต่าง ๆ ให้สะอาดแข็งแรง สำหรับวันต่อไป
พลังงานรวม (เอ.ที.พี.) หมายถึง จำนวนเม็ดเลือด ถ้าไม่พักเวลานี้เซลล์เม็ดเลือดจะแตกเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ปกติเซลล์เม็ดเลือดของคนเราจะแตกวันละ ๒-๒.๕ ล้านเซลล์ แต่ถ้านอนดึกขึ้นอีกเซลล์เม็ดเลือดก็จะแตกทวีคูณขึ้นเรื่อย ๆ เช่น คนที่บริจาคเลือดถ้านอนดึกเลือดจะลอย บริจาคเลือดไม่ได้
ถ้านอน ๓ ทุ่ม ร่างกายจะสร้างเซลล์เม็ดเลือดขึ้นมาทดแทนส่วนที่แตกไปในแต่ละวันให้สมดุล พลังงานที่สร้างขึ้นในช่วง ๒ ชั่วโมงนี้ ร่างกายจะนำไปล้างถุงน้ำดี ทำให้ถุ่งน้ำดีแข็งแรง
เอ.ที.พี. (แอดิโนซิน ไทรฟอตเฟต) [A.T.P.=Adenosyn Triphosphate] การเผาไหม้ (oxidation) ของเซลล์ที่มีจำนวนนับร้อย ๆ ล้านในร่างกาย ทำให้เกิดพลังงานชีวิต หากหยุดการเผาไหม้ หัวใจจะหยุดเต้น ต้นไม้จะหยุดเติบโต เส้นประสาทจะไม่รับความรู้สึก พลังงานที่ผลิตขึ้นแต่ละขั้น อยู่ในรูปของสารชนิดหนึ่ง ที่นักเคมีทางชีววิทยาเรียกว่า เอ.ที.พี.
เอ.ที.พี. เป็นตัวกลางของพลังงานทั่วไป และพบในสิ่งมีชีวิตทุกประเภทนับตั้งแต่จุลินทรีย์ไปถึงคน มันให้พลังงานด้านกลไกแก่เซลล์ของกล้ามเนื้อ และพลังงานไฟฟ้าแก่เซลล์ประสาท เชื้อตัวผู้ ไข่ที่ได้รับการผสมแล้วซึ่งพร้อมจะกลายเป็นตัวกบ นก หรือทารก และเซลล์ซึ่งจะต้องสร้างฮอร์โมน ล้วนแต่ได้รับ เอ.ที.พี. ทั้งสิ้น
เวลา ๒๓.๐๐ น. ถึง ๐๑.๐๐ น. (ถุงน้ำดี- GB) Top
เป็นเวลาที่พลังงาน หรือเลือด เคลื่อนมาที่ถุงน้ำดี เพื่อให้ถุงน้ำดีทำหน้าที่ย่อยไขมันที่จะไปเปลี่ยนรูปเป็นฮอร์โมนเปลี่ยนรูปกล้ามเนื้อ กระดูก ไขข้อ เส้นเอ็น ไขสมอง ตา น้ำหล่อเลี้ยงในร่างกายทั้งหมด ถ้าไม่พักผ่อนช่วงนี้ไขมันพวกนี้ก็จะตกตะกอนอยู่ตามตัวเรา เช่น เป็นถุงไขมันใต้ตา มีพุงสมองเลอะเลือนง่าย ปวดไหล่ ปวดท้องง่าย บริเวณลำไส้ใหญ่ ท้องเสีย หรือท้องผูกง่าย ที่จะนำไปสู่โรคอ้วน และมีนิ่ว หรือถุงซีสท์ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย ทำให้ร่างกายขาดวิตามิน เอ ดี อี เค ซึ่งวิตามินทั้ง ๔ ตัวนี้จะต้องละลายในไขมัน ตาจะฝ้าฟางขึ้น แคลเซียมลดลง กระดูกจะผุ ผิวหนังหยาบกร้าน หลอดเลือดไม่ยืดหยุ่นเท่าที่ควร (ไม่กระฉับกระเฉง) ถ้านอนระหว่าง ๓ ทุ่ม ถึงเที่ยงคืน ก็จะเป็นเนื้องอก แต่ถ้านอนหลังเที่ยงคืน ก็จะเป็นมะเร็งได้ (ช่วงเวลาเหล่านี้ขนาดได้นอนก็ยังแย่แล้ว ถ้าไปอดนอนด้วย ก็ยิ่งแย่ต่อสุขภาพยิ่งขึ้น ผู้มีปกตินอนช่วงนี้พึงแก้ไข)
เวลา ๐๑.๐๐ น. ถึง ๐๓.๐๐ น. (ตับ- Liv) Top
เป็นเวลาที่พลังงานจะไปจัดการกับตับ หน้าที่ของตับ คือสะสมอาหารสำรองให้กับร่างกาย ตับจะเก็บเลือดได้ ๕๐ กรัม เพื่อใช้ในการขับสารเคมีออกจากร่างกาย ตลอดจนผลิตน้ำดีและส่งไปเก็บไว้ที่ถุงน้ำดีเพื่อย่อยไขมัน ถ้าช่วงนี้เรายังไม่หลับนอนยังทำงานอยู่ ร่างกายจะสูญเสียพลังงานส่วนที่สะสมไว้ไปตับจะอ่อนแอลง การสะสมพลังงานสำรองลดลง การผลิตน้ำดีลดลง (ท้องก็จะบวมอย่างเห็นได้ชัด) และจะส่งผลกระทบถึงการทำงานของตับอ่อน ในขณะเดียวกันก็ส่งผลให้การผลิตฮอร์โมนอินซูลินลดลงด้วย ผลที่ตามมาก็คือ โรคภัยไข้เจ็บ คนที่ไม่พักผ่อนในช่วงนี้ จะทำให้เกิดโรคเกี่ยวกับความดันโลหิตแปรปรวน โรคเกาต์ โรครูมาตอยด์ รูมาติซั่ม ภูมิคุ้มกันบกพร่อง เบาหวาน หัวใจ กระดูกเสื่อม แต่ถ้าพักผ่อนตั้งแต่ ๓ ทุ่มถึงตี ๓ ก็จะหลีกเลี่ยงความเสี่ยงในการเกิดโรคดังกล่าว
ถ้าเป็นปัญหาที่ถุงน้ำดีและตับ Top
ต้องใช้ พืช ผัก ผลไม้ ที่มี...
สีเขียว “ นำ ” เพื่อฟื้นฟูและบำรุงถุงน้ำดีและตับ เช่น เบต้าแคโรทีน จาก ยอดแค ยอดฟักข้าว ยอดเสาวรส (ที่จะต้องลวกให้สุกทั้งหมด) สำหรับคนเอเชีย (ส่วนแครอท แม้จะมีเบต้าแคโรทีนแต่ก็ไม่มากมายอะไรนัก และเหมาะสำหรับชาวตะวันตก เพราะมีกระเพาะอาหารที่แข็งแรง จึงย่อมแครอทได้)
รสเปรี้ยว ถ้ากินโดด ๆ จะทำให้ตับร้อน แต่ถ้าอาหารหรือเครื่องดื่มที่มีรสเปรี้ยวนำ มีรสหวาน ขม เค็ม ตาม จะเหมาะสมแก่ตับ เพราะมีความเป็นกลาง
ฤดูใบไม้ผลิ คือ ช่วงต้นฤดูฝน จะมีลมพัดแรง ถ้าโดนลมบ่อย ๆ หรือเป่าพัดลมทั้งคืน หรืออยู่ในห้องแอร์ จะทำให้ระบบหมุนเวียนของเลือดในร่างกายช้าลง ดังนั้นเลือดที่จะส่งไปยังตับจะไม่พอเพียง จึงทำให้เป็นไข้หวัดได้ง่าย
เส้นเอ็น เมื่อเป็นไข้ เส้นเอ็นจะตึงไปทั่วร่าง บอกถึงพลังที่ตับไม่พอ หมายถึงเลือดที่ส่งไปเลี้ยงตับไม่พอเพียง เมื่อเส้นเอ็นตึง ทำให้ร่างกายตึงไปทั่ว ก็ไม่สามารถทำงานได้ร่างกายจึงควรจะต้องพักโดยปริยาย เพื่อให้ตับมีเลือดมาเลี้ยงอย่างเพียงพอ ร่างกายก็จะผ่อนคลายหายตึงได้ เมื่อร่างกายเตือนให้พักแล้ว แต่เรายังดันทุรังทำงานต่อไป หรือนอนดึกต่อไป หรือกินยาแก้ปวดเสมอ ๆ หรือมีอารมณ์โกรธอยู่เป็นเนืองนิจ ก็มีแนวโน้มที่จะเป็นอัมพฤกษ์ อัมพาตได้
ตา ไม่ได้เป็นหน้าต่างของหัวใจ แต่เป็นหน้าต่างของตับและไต เวลาโกรธจะสังเกตเห็นที่ตา ท่านที่ตาพร่าฟาง มีสาเหตุมาจากทำงานไม่ได้พัก ตับใช้พลังงานมากเกินไปและเกิดจากการบริโภคอาหารที่เป็นพิษ เช่น เห็ดต่าง ๆ (ไม่ควรกินโดด ๆ ควรจะกิน ๓ ชนิด เพื่อเป็นการฆ่าฤทธิ์กันเอง) อาหารที่ปรุงในภาชนะอะลูมิเนียม พลาสติก หม้อหุงข้าวไฟฟ้า กระทะ ไฟฟ้า เตาไมโครเวฟ (ควรใช้ ภาชนะจากดิน หรือทองเหลือง)
ตาต้อ...ลม เนื้อ กระจก หิน เกิดจากตับและถุงน้ำดีอ่อนแอลงจนมีผลกระทบให้ลำไส้เล็กและลำไส้ใหญ่บวม เพราะตับไม่สามารถสร้างน้ำดีไปให้ถุงน้ำดี จึงไม่มีน้ำดีจะไปย่อยไขมัน ฉะนั้นอาหารที่ตกค้างในลำไส้เล็กจึงไม่ย่อย ทำให้เกิดแก๊สเป็นลมอืด จุกเสียด เต็มลำไส้ ถ้าเป็นบ่อย ๆ จะส่งผลทำให้ตาเป็นต้อต่าง ๆ ได้ สาเหตุมาจากการกินอาหารเป็นพิษและย่อยยาก
ข้าวโพด จะย่อยได้ต้องใช้พริก และเครื่องเทศมาก ๆ (ข้าวโพดอ่อนกินได้)
ฟักทอง จะย่อยได้ต้องใส่ใบโหระพา ใบแมงลัก
หน่อไม้ จะย่อยได้ต้องมีใบย่านาง
กะทิ จะย่อยได้ต้องมีมะเขือพวง
แครอท ไม่มีอะไรแก้ให้ช่วยย่อยได้เลย
อาหารที่มีไชยาในด์สูง เช่น ชะอม สะตอ ลูกเนียง หน่อไม้ฝรั่ง และหน่อไม้ทุกชนิด
อาหารที่มีกำมะถันสูง เช่น ขนุน ทุเรียน มะม่วงสุก
คาซีน (CASEIN) ที่เหนียวเหนอะหนะในนมวัว
ในนมวัวมีคาซีนมากกว่านมแม่ถึง ๓๐๐ % คาซีนคือส่วนประกอบของโปรตีนในนม คาซีนเป็นสารที่มีความหนามาก มีความเหมาะสมสำหรับกระดูกใหญ่ ๆ เช่น ของวัว เมื่อนมลงถึงกระเพาะ คาซีนจะเปลี่ยนสภาพตัวเองจากของเหลวเป็นของแข็งชิ้นคล้าย ๆ นมข้ม ซึ่งย่อยยากมาก (จะย่อยได้ดีก็ในกระเพาะวัว) ผลพลอยได้ของแบคทีเรียของคาซีนที่เน่าเปื่อยจะจับกันเป็นเมือกคล้ายเมือกตามเยื่อบุเมือกนมวัวก่อให้เกิดเมือกมากที่สุด เมื่อเทียบกับอาหารทุกประเภท เมือกที่เหนียวหนึบเหมือนกาวจะเป็นตัวการกีดกั้นการทำงานของระบบขับถ่าย เพราะเยื่อบุเมือกอุดตัน จึงเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคต่าง ๆ ตามลำไส้จะเกิดเมือกเต็มไปหมดทำให้ร่างกายดูดซึมสารอาหารได้ลำบาก เป็นบ่อเกิดให้คนเจ็บป่วยได้ง่าย น.พ.นอร์แมน ดับบลิว วอลเกอร์ ซึ่งมีอายุ ๑๐๙ ปี หลังจากทุ่มเวลาถึง ๕๐ ปี เฝ้าศึกษาโรคไธรอยด์ ได้สรุปว่า สาเหตุของการเป็นโรคไธรอยด์ คือ คาซีน
(บทความของคุณพรเทพ ศรีนฤหล้า จากนิตยสารหยิน)
เวลา ๐๓.๐๐ น. ถึง ๐๕.๐๐ น. ( ปอด- LU) Top
เป็นเวลาที่พลังงานจะเคลื่อนไปยังปอด ปกติคนควรจะตื่นเวลาตี ๓ เพื่อให้ปอดได้รับออกซิเจนไปฟื้นฟูเซลล์ และขับสารพิษออกจากเซลล์ต่าง ๆ ถ้าผู้ใดนอนมากเกินไป เซลล์ก็จะได้รับออกซิเจนน้อยลง เซลล์จะแก่และตายง่าย สถานที่ปฏิบัติบางแห่งจึงมีกำหนดการเข้านอนไม่เกิน ๓ ทุ่ม และตื่นตอนตี ๓ มาทำวัตรเช้า สวดมนต์ ฟังเทศน์ฟังธรรม เพื่อบริหารปอดทำให้สมองปลอดโปร่ง
ส่วนผู้ที่มีอาการผิดปกติทางปอด จากการสูบบุหรี่ โรคหอบหืด โรคไซนัส หรือโรคทางเดินหายใจ ก็จะไม่สบายตัวแล้วจะถูกปลุกให้ตื่นช่วงนี้ พร้อมทั้งมีอาการไอ จาม หายใจขัดเพราะปอดกำลังทำหน้าที่ขับของเสียออก
เวลา ๐๕.๐๐ น. ถึง ๐๗.๐๐ น. (ลำไส้ใหญ่- Li) Top
เป็นเวลาที่พลังงานจะเคลื่อนเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ เพื่อกระตุ้นให้ลำไส้ใหญ่เตรียมขับของเสียออกจากร่างกาย (อุจจาระ)
เราควรจะฝึกถ่ายอุจจาระให้เป็นนิสัยก่อน ๗ โมงเช้า มิฉะนั้นร่างกายจะดูดซึมของเสีย ขยะ และพิษต่าง ๆ กลับเข้าสู่ระบบเลือดไปเลี้ยงร่างกาย (กินอุจจาระตัวเอง) นี่เป็นสาเหตุทำให้เกิดริ้วรอยบนใบหน้า เกิดไขมันที่เสีย ๆ ในช่วงเวลานี้เราควรออกกำลังกาย เพื่อให้ลำไส้ใหญ่ขยับตัวและเพิ่มศักยภาพในการขับเคลื่อนของเสีย
เมื่อตื่นนอนแล้วควรดื่มน้ำอุ่น ๆ อย่างน้อย ๕ แก้ว (หรือชาล้างลำไส้) เพื่อช่วยขับเคลื่อนอุจจาระ (ผู้ที่ทำดีท็อกซ์ควรจะทำในช่วงเวลานี้จึงจะดี)
พวกกินเนื้อสัตว์จึงมีเปอร์เซ็นต์ในการเป็นมะเร็งลำไส้ได้มาก เพราะเนื้อสัตว์เน่ามาตั้งแต่เข้าสู่ร่างกายแล้ว
พวกนอนดึก เลือดจะเป็นกรด และลำไส้ใหญ่เป็นด่างอย่างแรง จึงทำให้ถ่ายยาก
ถ้าเป็นปัญหาที่ปอดและลำไส้ใหญ่ Top
นอกจากไม่นอนดึกแล้ว ให้กินอาหารจากพืช ผัก ผลไม้ ที่มี...
สีขาว “ นำ ” โดยมีสีอื่น ๆ ตาม เช่น ผักบุ้งขาว ผักกาดหอม (มียางสีขาว) หัวไช้เท้า กระเทียม (ไม่ควรกินหอม หรือกระเทียมโดด ๆ เป็นจำนวนมาก จะมีโทษต่อร่างกาย ควรกินผสมผสานกับ พืช ผัก)
จืด อาหารรสจืดแก้ปัญหาปอด และหัวใจ จืดหมายถึงอาหารตามธรรมชาติ ที่ไม่ต้องปรุงแต่งรสชาติ เช่น ซุปผักข้นประกอบด้วย ผักใบเขียวต่าง ๆ มะเขือเทศ หอม หัวไช้เท้า ซึ่งจะมีรสหวาน เปรี้ยว เค็ม ตามธรรมชาติ โดยไม่ต้องใส่น้ำตาล น้ำส้ม หรือ เกลือเลย
ใบไม้ร่วง หรือย่างเข้าหน้าหนาว อากาศแห้ง คนโบราณให้กินแกงส้มดอกแค แก้ไข้หัวลม เพื่อป้องกันโรคทางเดินหายใจ
ผิวหนัง สะท้อนถึงปัญหาของปอดและลำไส้ใหญ่ เมื่อไหร่ที่เรามีอาการท้องผูก จะหายใจไม่ทั่วท้อง ทำให้ปอดฟอกโลหิตไม่สะดวก ของเสียที่จะต้องถูกขับถ่ายทิ้งจะถูกดูดกลับคืนเข้าสู่กระแสเลือดอีกครั้ง ทำให้เกิดอาการคันตามผิวหนังบริเวณที่ของเสียเคลื่อนผ่านไป เพราะแบคทีเรียในอากาศจะลงมากินของเสียตามรูขุมขนบริเวณนั้น ๆ จึงเกิดอาการคัน ถ้าท้องผูกน้อยก็แค่คัน ถ้าท้องผูกมากจะเป็นมลพิษ ถ้าท้องผูก
มาก ๆ ก็จะเป็นเริมและงูสวัด เพราะคุณภาพของเลือดแย่ลงเรื่อย ๆ
ผม ถ้าอยู่ในที่อากาศเป็นพิษ ผมก็จะหงอกไว เพราะปอดทำงานหนัก ไม่สามารถสร้างเม็ดโลหิตแดงได้เพียงพอเพื่อไปเลี้ยงเส้นผม
ถ้ากินงาคั่วมาก ๆ จะทำให้ลำไส้ใหญ่ดูดซึมฟอสฟอรัสเข้าไปมาก เส้นผมก็จะหงอกไว (ร้อน) ฉะนั้น งาคั่วจึงเหมาะที่จะกินหน้าหนาว งางอกหรืองาแช่น้ำเหมาะที่จะกินหน้าฝน งานึ่งหรืองาต้มเหมาะที่จะกินหน้าร้อน ถ้ากินงาตามเวลาที่ว่าจะทำให้ผมดำ ยิ่งนำถั่วสีต่าง ๆ มาเพาะให้งอก แล้วกินโดยการยำ บีบมะนาว ใส่หอมซอยและพริกเขียวนิดหน่อย แล้วโรยเกลือสักนิด ก็จะยิ่งมีประโยชน์ เพราะลำไส้ใหญ่จะดูดซึมวิตามินบีคอมเพล็กซ์จากถั่วงอกได้หมด จึงทำให้ผมไม่หงอกก่อนวัยแผลผมที่บริเวณกลางหัวซึ่งเป็นตำแหน่งของลำไส้ใหญ่ก็จะไม่ร่วงล้านเร็ว เพราะลำไส้ใหญ่แข็งแรง
จมูก บอกถึงทางเดินหายใจ หัวใจและลำไส้ใหญ่ เมื่อมีอาการท้องผูก จะทำให้ระบบทางเดินหายใจติดขัด หายใจไม่สะดวก ถ้าการขับถ่ายคล่องก็จะหมดปัญหาเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ การกดจุดที่ข้างรูจมูกซ้ายและขวา จะช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น (ถ้าไม่นอนดึก)
อารมณ์เศร้าโศก-เสียใจ-น้อยใจ นำไปสู่ปัญหาของทางเดินหายใจ และปอดโดยไม่รู้ตัว ถ้าเศร้าโศกเสียใจมาก ๆ จะส่งผลให้การขับถ่ายมีปัญหา ยิ่งกว่านั้นถ้าพยาบาท ผูกโกรธ มองคนในแง่ร้าย ไม่สร้างสันติภาพในหัวใจอยู่เสมอ ๆ ก็จะเป็นเนื้องอกและมะเร็งลำไส้ได้ในที่สุด
เวลา ๐๗.๐๐ น. ถึง ๐๙.๐๐ น. (กระเพาะอาหาร- ST) Top
เป็นเวลาที่พลังงานเคลื่อนมาที่กระเพาะอาหาร เราจึงต้องกินอาหารเช้า ซึ่งเป็นมื้ออาหารที่สำคัญที่สุด เพราะกระเพาะอาหารจะย่อยได้สูงสุดช่วงเวลานี้เท่านั้น ช่วงอื่น ๆ จะทำได้น้อยกว่า ช่วงนี้กระเพาะอาหารของเราต้องการอาหารและหลั่งกรดไปย่อยอาหารได้มากที่สุด ถ้าหากเราไม่กินอาหารเข้าม้ามก็จะไม่สามารถเก็บพลังงานสำรองไว้ได้ ทำให้หัวใจต้องทำงานหนัก เพื่อสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย จึงทำให้มีโอกาสเป็นโรคกระเพาะและจะเกิดโรคหัวใจได้ด้วย เพราะร่างกายไม่ได้รับสารอาหารสำหรับทุกอวัยวะ เพื่อกลับไปสร้างพลังงานรวม แต่ถ้าอาหารเช้ามีพิษ ม้ามก็จะได้รับพิษทันที ถ้ามีพิษมากจะขับออกทางปาก (อาเจียน) ถ้ามีพิษน้อยจะขับออกทางอุจจาระ น้ำย่อยในกระเพาะอาหารมีความเป็นกรด (เกลือ) อย่างแรง ฉะนั้นเวลากินอาหารควรเคี้ยวให้ละเอียดนาน ๆ เพื่อให้น้ำย่อยในปากที่มีความเป็นด่างมาช่วยปรับความสมดุลที่กระเพาะอาหาร ควรระวังเรื่องการกินข้าวคำน้ำคำ เพราะน้ำย่อยจะจาง การย่อยอาหารก็จะไม่ดี ควรดื่มน้ำก่อนอาหารครึ่งชั่วโมงเป็นอย่างน้อย และดื่มน้ำหลังอาหาร ๓ ชั่วโมง เป็นอย่างน้อย และควรจะกินผลไม้ก่อน แล้วตามด้วยผัก จึงจะกินอาหารแป้ง (ข้าว) และโปรตีนตามหลัง (อาหารที่ปรุงผ่านความร้อนเลย ๓ ชั่วโมง จะหมดพลังชีวิต เราจะได้กินแต่กากอาหาร ที่เป็นขยะซึ่งหมดคุณค่า)
เวลา ๐๙.๐๐ น. ถึง ๑๑.๐๐ น. (ม้าม- SP) Top
เป็นเวลาที่ม้ามจะเริ่มเก็บพลังงานสำรอง เก็บสารอาหารเก็บทุกอย่างที่กระเพาะอาหารย่อยเต็มที่ การที่เราไม่กินอาหารเช้า ร่างกายจะดึงพลังงานสำรองออกมาใช้ พลังงานรวมจะหายไป ร่างกายจะอ่อนเพลียไม่มีแรง
ม้ามมีหน้าที่กรองแบคทีเรีย (เชื้อโรค) ทุกชนิด สร้างเม็ดเลือดขาว กรองเม็ดเลือดเสีย ผลิตน้ำดี
อาหารที่บำรุงม้าม Top
คือ พืช ผัก ผลไม้ ที่มี...
สีเหลือง และมีรสเปรี้ยว แต่ต้องมีรสหวานตามจึงจะช่วยฟื้นฟูและบำรุงม้ามให้แข็งแรง เช่น น้ำเสาวรส น้ำบ๊วย น้ำมะนาวที่มีสีเหลือง มีรสเปรี้ยว แต่ต้องกินกับน้ำผึ้ง จึงจะช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง
หวาน ถ้ากินหวานโดด ๆ จะเป็นโทษต่อกระเพาะอาหาร และม้ามอย่างแรง คือ เกิดอาการมีนเมา อ่อนเปลี้ย หมดแรง เช่น ละมุด ลำไย ฉะนั้นผลไม้จึงควรกินก่อนอาหาร ผลไม้ที่จะกินหลังอาหารได้มี มะละกอ สับปะรด มะม่วง (ใกล้สุกที่มีรสเปรี้ยวหวาน) เพราะผลไม้ทั้ง ๓ ชนิด มีเอนไซม์ในการย่อยของตัวเองไม่ต้องรอจนกว่าแป้ง คาร์โบไฮเดรท และโปรตีนย่อยจนเสร็จก่อน จึงไม่เกิดการหมักในกระเพาะที่จะทำให้อืด
ปลายฤดูร้อน หรือต้นฤดูฝน อากาศจะชื้น มีผลทำให้กระเพาะอาหารและม้ามอ่อนแอลง ทำให้ท้องเสียได้ง่าย ถ้าเกิดอาการเช่นนี้ขึ้น ไม่ต้องตกใจ หรือรีบไปหายามากินแก้ท้องร่วง เพราะเป็นอาการที่ม้ามขับพิษออกจากร่างกาย ควรปล่อยให้ร่างกายขจัดของเสียออกให้หมด ก็จะหยุดถ่ายเอง ถ้าไปกินยาระงับเอาไว้ พิษก็จะตกค้างอยู่ในกระแสเลือดและน้ำเหลืองควรจะดื่มน้ำมะพร้าวที่อยู่ชายทะเลหรือบนเกาะที่เป็นสีเหลือง ( King Coconut) จะมีประสิทธิภาพในการช่วยฟื้นฟูม้าม และขับพิษได้อย่างรวดเร็ว
กล้ามเนื้อ ความหวานจะซาบซึมไปตามกล้ามเนื้อ แต่ถ้าหวานอย่างเดียวจะทำให้กล้ามเนื้ออ่อนเปลี้ย ฉะนั้นหวาน ต้องมีรสเปรี้ยว และขมผสมกัน จึงจะทำให้กล้ามเนื้อแข็งแรง
ปาก ปัญหาที่เกิดมาจากกระเพาะอาหารและม้าม จะแสดงออกที่ริมฝีปากตอนบน บางครั้งก็เป็นแผล แสดงว่าผู้นั้นกินอาหารรสจัด จนเกิดแผลในกระเพาะอาหารและทางเดินอาหารตอนบน สีของริมฝีปากตอนบนมีสีชมพูแสดงว่าระบบดูดซึมปกติ ถ้ามีสีขาวแสดงว่าระบบดูดซึมอ่อนแอลง ถ้ามีสีเขียวคล้ำแสดงว่า มะเร็งกำลังก่อตัว
กังวล คนที่มีความกังวลในเรื่องใด ๆ บ่อย ๆ จะทำให้กระเพาะอาหาร และม้ามอ่อนแอลง ส่งผลทำให้กระเพาะอาหารไม่สามารถดูดซึมได้ดี และม้ามไม่สามารถขจัดเซลล์เม็ดเลือดตายออกได้ จึงทำให้เลือดเป็นกรด และทำให้มดลูกบวมหรือหย่อนในผู้หญิง ส่วนผู้ชายจะส่งผลต่อต่อมลูกหมาก
ความคิดส่งผลลึกซึ้งต่อระบบภูมิคุ้มกัน
“ ข้าพเจ้าแน่ใจว่า ความวิตกกังวลนั้น คือศัตรูของชีวิต ”
(เช็คสเปียร์)

มีการทดลองเรื่องหนึ่ง นักวิจัยได้ให้นักแสดงแสดงฉากที่มีความสุขและบทเศร้า นักแสดงที่แสดงในฉากที่มีความสุข ระบบภูมิคุ้มกันก็แข็งแรง แต่เมื่อแสดงฉากเศร้า ระบบภูมิคุ้มกันก็อ่อนแอลงด้วย ถ้าภูมิคุ้มกันอ่อนแอก็แปลว่า เราจะป่วยง่ายขึ้น (ขนาดแสดงยังส่งผลถึงภูมิคุ้มกันได้ ถ้าเป็นชีวิตจริงที่ทุกข์เครียด ร่างกายจะแย่แค่ไหน)
ชีวิตเกิดมา ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวที่ไม่มีอุปสรรค ไม่เจอขวากหนาม มีเรื่องสารพัดที่ทำให้ทุกข์ คับแค้น วิตกกังวล ฯลฯ เรื่องจะหนักหนาปานใด ศาสนาพุทธให้ข้อคิดแก่เราว่า “ คนมีปัญญาทำจิตที่ดิ้นรนกวัดแกว่ง รักษายาก ห้ามยาก ให้ตรงได้เหมือนช่างศรดัดลูกให้ตรง ฉะนั้น ” จิตต้องฝึก ดัดให้ดีให้ได้
เวลา ๑๑.๐๐ น. ถึง ๑๓.๐๐ น. (หัวใจ -H) Top
เป็นเวลาที่พลังงานจะเคลื่อนไปที่หัวใจ ถ้าร่างกายไม่ได้สารอาหารหัวใจจะทำงานลำบาก ฉะนั้น คนที่หัวใจวายมักจะเกิดก่อนเที่ยง หรือหลังจากกินอาหารเที่ยง ดังนั้น เราจึงต้องระวังคนที่ขาดอาหารเช้าเป็นประจำจะทำให้หัวใจวายได้ง่าย
หัวใจทำหน้าที่สูบฉีดโลหิตไปเลี้ยงร่างกาย ในภาวะปกติหัวใจจะสูบฉีดโลหิตในระดับความดันปกติ หมายความว่า เซลล์เม็ดเลือดแดงยังไม่ถูกทำลาย ในเซลล์เม็ดเลือดแดงของผู้ชายมี ๔๐ ล้านเซลล์ ของผู้หญิงมีประมาณ ๓๕ ล้านเซลล์ ถ้านอน ๓ ทุ่ม เซลล์เม็ดเลือดจะแตก ๒.๕ ล้านเซลล์ แต่ถ้านอนดึกกว่านี้ เซลล์เม็ดเลือดจะแตกมากกว่านี้ ทำให้หัวใจต้องสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงส่วนต่าง ๆ ของร่างกายถี่ขึ้น แรงขึ้น เร็วขึ้น เป็นภาวะของความดันโลหิตสูง หมอจะวินิจฉัยว่าขาดแมกนีเซียมที่ได้จากผัก ถ้าได้แมกนีเซียมจากผักไปทดแทนเพียงพอ คือ กินผักวันละให้ได้ ๑ กิโลกรัม จึงจะสมดุล หรือไม่ก็อย่านอนดึกเกิน ๓ ทุ่ม ความดันของหัวใจก็จะเป็นปกติ หลายต่อหลายคนไปหาหมอเพื่อแก้ความดันโลหิตสูง หมอจะให้ยาลดความดันมาพอกินนาน ๆ เข้า ก็จะได้เบาหวานมาด้วยแล้วก็ต้องมาแก้เบาหวานกับหมออีกคนหนึ่ง จึงต้องกินยาแก้เบาหวานไปจนวันตายอย่างไม่มีทางเลือก แต่เมื่อหันมากินแมกนีเซียมจากผักวันละ ๑ กิโล จะทำให้โรคเบาหวานลดลง จนหายขาดได้
ทุกวันนี้น้อยคนนักที่จะกินผักได้วันละ ๑ กิโล และส่วนใหญ่จะนอนเกิน ๓ ทุ่ม ทั้ง ๒ กรณีนี้ทำให้หัวใจต้องทำงานหนัก ไม่รวมถึงการกินของมัน ของหวาน และอาหารขยะ
ทุกครั้งเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นที่หัวใจ เช่น เสียดหน้าอก ลิ้นหัวใจทำงานมาก ปวดแถวหัวใจ หายใจไม่สะดวก จะโทษว่าหัวใจมีปัญหา และโทษว่าลิ้นหัวใจมีปัญหา ต้องผ่าตัดทำบัลลูนซึ่งความจริงแล้ว ต้นเหตุมากจากอาหารทั้งนั้น
เวลา ๑๓.๐๐ น. ถึง ๑๕.๐๐ น. (ลำไส้เล็ก- SI) Top
พลังงานจะเคลื่อนเข้าสู่ลำไส้เล็กถ้าร่างกายไม่ได้รับอาหารเช้า อาหารที่มารอย่อยในลำไส้เล็กก็ไม่มี ลำไส้เล็กก็จะย่อยตัวเอง และเริ่มอ่อนแอลง เพราะลำไส้เล็กจะทำงานโดยเปลี่ยนรูปอาหารที่ได้จากตอนเช้า ทั้งคาร์โบไฮเดรท ไขมัน เกลือแร่เป็นพลังงานทั้งหมด
ลำไส้เล็กตอนบน (Duodinum) ทำหน้าที่หลั่งน้ำย่อยที่เป็นด่างจำนวนมาก ถ้าท่านเคี้ยวอาหารจากปากมาละเอียดดีแล้ว แต่ถ้ากินขนมหรือของทอดมัน ๆ ลำไส้เล็กตอนบนจะไม่หลั่งด่างออกมา ทำให้อาหารย่อยยาก เกิดอาการท้องอืด เพราะลำไส้เล็กตอนกลางและตอนปลายจะหลั่งกรดออกมา ทำให้เกิดกรดและแก๊สเพิ่มขึ้นที่ลำไส้เล็ก ถ้ายังกินอาหารขยะอย่างที่ว่ามาข้างต้นนาน ๆ จะทำให้ลำไส้เล็กบวม และมีแก๊สตลอดเวลา ทำให้ลำไส้เล็กดูดซึมยาก
ปัญหาที่เกิดที่ลำไส้เล็ก ยังส่งผลไปที่สมอง เพราะทุกหยักในลำไส้เล็ก คือ รอยหยักของสมอง เมื่อเกิดปัญหากับลำไส้เล็กเช่นใด ก็จะส่งผลไปยังสมองเช่นนั้น เช่น ถ้ากินอาหารขยะของทอด ของมัน ของหวาน จะรู้สึกมึน ๆ ที่หัว
ส่วนคนที่ยกของหนักเป็นประจำมาก ๆ ลำไส้จะขยายบวมทำให้ปวดหัวง่าย ส่งผลทำให้เสียดหน้าอก และปวดสะบักหลัง บางคนก็จะว่าเป็นโรคหัวใจ บางคนก็ว่าสะบักจม วิธีแก้ง่าย ๆ คือ ใช้หม้อดินใส่เกลือเม็ด (ทะเล) ๓ ใน ๔ ของหม้อ (ประมาณ ๓ กิโล) มาอังหน้าท้อง (ดูขนาดหม้อเท่าหน้าท้องของเรา) โดยเอาหม้อเกลือไปตั้งไฟ (แก๊สก็ได้) ให้มีเสียงดังเป๊าะแป๊ะ ประมาณ ๕ นาที จึงดับไฟ รอจนเสียงดังหมด ค่อยเอามาวางบนหน้าท้อง โดยใช้ผ้าฝ้ายรองที่ก้นหม้อหลาย ๆ ชั้น แล้วค่อย ๆ ชักผ้าฝ้ายออกทีละชั้น ๆ เมื่อความร้อนพอทนได้ จนสุดท้ายสามารถวางหม้อเกลือแนบเนื้อได้ (ถ้ามีใบพลับพลึงวางแนบกับท้องจะยิ่งดี) ข้อพึงปฏิบัติทุกครั้งก่อนที่จะเอาหม้อเกลือมาอัง ควรจะเขย่าเสียก่อน เพื่อไม่ให้เกลือเกาะติดกันเป็นผง
อาหารที่บำรุงหัวใจและลำไส้เล็ก Top
จาก พืช ผัก ผลไม้ ที่มี...
สีแดงและรสขม คนโบราณบอกว่าดีบัวแก้ปัญหาโรคหัวใจ ซึ่งดีบัวมีรสขม ทำให้ฟื้นฟูลำไส้เล็กและหัวใจ แต่ก็ไม่ใช่ให้กินขมโดด ๆ อย่างเดียว ต้องมีเปรี้ยวหวาน มัน เค็ม ตามด้วย โดยมีขมนำ เช่น หัวปลีสีแดงมีรสขม บำรุงและฟื้นฟูลำไส้เล็ก และหัวใจเช่นเดียวกัน สมัยโบราณจะให้แม่ลูกอ่อนกินต้มยำหัวปลี เพื่อเพิ่มเม็ดเลือดจึงจะมีนมให้ลูก คนโบราณบางคนเอาหัวปลีไปหั่นตากแล้วคั่ว ชงเป็นชากินเพื่อฟื้นฟูลำไส้เล็กและหัวใจ
ฤดูร้อน อากาศร้อนจะทำให้ลำไส้เล็กดูซึมยากหรือช้าลง ฉะนั้นอาหารที่กินในหน้าร้อน ควรจะเป็นอาหาร เช่น แกงจืด มะระใส่ผักดอง ที่มีรสขม เปรี้ยว เค็ม หวานชุ่มคอ ส่วนใหญ่คนที่อาศัยอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรจะกินอาหารที่มีเครื่องเทศมากขึ้น ตามลำดับ
ทารกดูดนมแม่สามเดือนไอคิวสูงกว่าเด็กนมขวด
คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี นอรเวย์ ศึกษากับเด็ก ๓๔๕ ราย อายุ ๑๓ เดือน ๕ ขวบ ดูความสัมพันธ์ระหว่างระดับสติปัญญากับระยะเวลาที่ได้ดูดนมแม่ ปรากฏว่าเด็กพวกที่ได้กินนมแม่น้อยกว่า ๓ เดือน ทำคะแนนได้ต่ำกว่าปกติของทักษะสมองในเด็กวัย ๑๓ เดือน และมีไอคิวต่ำกว่าเมื่ออายุ ๕ ขวบ เมื่อเทียบกับเด็กกลุ่มที่ได้กินนมจากอกแม่เป็นระยะเวลา ๖ เดือน หรือมากกว่านั้น
มีทางเป็นไปได้ ที่ความรักความห่วงใยในการป้อนนมแม่แก่ลูก คือ ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อพัฒนาการทางสมองของทารกมากพอ ๆ กับคุณค่าสารอาหารหลายชนิดที่มีอยู่ในน้ำนมแม้ และมีประโยชน์ต่อพัฒนาการของเด็ก เนื่องจากน้ำนมแม่ประกอบไปด้วยสารอาหาร ฮอร์โมนและแอนตี้บอดี้ ซึ่งแม่จะถ่ายทอดให้ลูก และช่วยป้องกันการติดเชื้อโรคเกี่ยวกับระบบหายใจและท้องร่วง

ไทยรัฐ ฉบับวันที่ ๒๘ สิงหาคม ๒๕๔๔
เส้นเลือด ถ้านอนดึกเกิน ๓ ทุ่ม จะทำให้ถุงน้ำดีไม่ย่อยไขมัน ซึ่งจะทำให้วิตามินที่ต้องละลายในไขมัน คือ เอ ดี อี เค ไม่สามารถถูกดูดซึมไปเลี้ยงร่างกายได้ ทำให้เส้นเลือดน้อยใหญ่ไม่สามารถยืดหยุ่นตัวได้ตามปกติ ถ้านอนดึกเป็นเวลานาน ๆ จะเกิดปัญหาเกี่ยวกับเส้นเลือด
ลิ้น บ่งบอกถึงปัญหาที่เกิดจากลำไส้เล็กและหัวใจได้ เช่น ที่ปลายลิ้นบ่งบอกถึงหัวใจ ถ้าเป็นสีชมพู หมายถึงหัวใจปกติ ถ้ามีสีแดง หมายถึง หัวใจ กำลังทำงานหนักเกิดไป บริเวณส่วนลิ้นตอนกลางบ่งบอกถึงลำไส้เล็ก ถ้าตำแหน่งนั้นมีฝ้าขาว แสดงว่ามีมูกมาก เกิดจากน้ำตาลและไขมันสะสมอยู่ที่บริเวณนั้นมาก
รื่นเริง ตื่นเต้น ดีใจจนเกินไป ทำให้หัวใจสูบฉีดเลือดมากเกินไป จนเกิดอาการช็อค อาจถึงตายได้เพราะหายใจไม่ทัน
เวลา ๑๕.๐๐ น. ถึง ๑๗.๐๐ น. (กระเพาะปัสสาวะ- UB) Top
เป็นเวลาที่พลังงานจะเคลื่อนมาที่กระเพาะปัสสาวะ ของเสียจากการแปรรูปอาหารที่ลำไส้เล็กจะเกิดขึ้น กระเพาะปัสสาวะจะทำงานมากที่สุด เพื่อขับกรด และของเสียออกจากร่างกาย หลังจากที่ร่างกายได้ทำงาน (จะเกิดกรดแลคติค) กินอาหาร (จะเกิดกรดยูริค) คร่ำเคร่งกับงาน (จะเกิดกรดอะดรีนาลีนและสารเคมีต่าง ๆ ที่ร่างกายสร้างขึ้นมา)
ถ้าเราอั้นฉี่เป็นเวลานาน ๆ จะส่งผลกระทบต่อกล้ามเนื้อหูรูดของกระเพาะปัสสาวะทำให้อักเสบ มีผลกระทบไปถึงตา ทำให้ตาพร่าและตามัว ถ้าทำบ่อย ๆ มาก ๆ นาน ๆ อาจทำให้ตาบอดได้
ถ้านอนดึกเกิน ๓ ทุ่ม เซลล์เม็ดเลือดจะแตกและตกค้างอยู่ในกระแสเลือด แล้วถูกลำเลียงไปทิ้งที่กระเพาะปัสสาวะเป็นจำนวนมาก จนเกิดอาการปวดร้าวที่เส้นคู่ขนาน ระหว่างกลางหลังจนถึงก้นกบ ถ้าเป็นน้อย ๆ อาการจะเหมือนสะบักจมและปวดบริเวณสะโพก ขาพับ และน่อง
น้ำควรดื่มเวลาเช้า-กลางวัน-บ่าย ได้เป็นจำนวนมากแต่เมื่อถึงเวลาบ่าย ๓ โมงถึง ๕ โมงเย็น ไม่ควรดื่มน้ำมาก เพราะจะทำให้กระเพาะปัสสาวะและไตทำงานหนัก
พลังชีวิต
แหล่งพลังชีวิตที่ดีที่สุดคือ การนอน การนอนช่วยเรียกพลังงานกลับคืน ร่างกายใช้พลังงานระหว่างนอนน้อยมาก การนอนเป็นยาในตัวของมันเอง แพทย์จึงสั่งไม่ให้ปลุกคนไข้ที่หลับอยู่เพียงแค่เพื่อกินยาตามเวลา
ภาษิตที่ว่า “ นอนแต่หัวค่ำ ตื่นแต่เช้า ทำให้สุขภาพดี ” ยังคงใช้ได้ดี การนอนนอกจากจะเป็นการพักผ่อนของร่างกายแล้ว ยังช่วยให้สมองจดจำได้ดีขึ้น คนที่นอนไม่พอมักจะมีอาการเบลอ ๆ และหงุดหงิดง่าย ดังนั้นจงเตือนตนว่า “ อย่าเข้านอนเกิน ๓ ทุ่ม ”
เมื่อจะนอนให้ผ่อนคลายกล้ามเนื้อเต็มที่ และควรทิ้งความกังวลและความเคร่งเครียดออกไปให้หมด พรุ่งนี้ค่อยคิดหาทางแก้ไข
(นิตยสารสมุนไพร ฉบับที่ ๒๕, หนังสือเพื่อสุขภาพที่ดีกว่า)
เวลา ๑๗.๐๐ น. ถึง ๑๙.๐๐ น. (ไต- K) Top
เป็นเวลาที่พลังงานจะเคลื่อนมาที่ไต ๕ โมงเย็น ทุกคนต้องหยุดงานเพื่อไม่เพิ่มกรดในร่างกาย ทำให้ไตต้องทำงานหนักยิ่งขึ้น ช่วงนี้เราไม่ควรออกกำลังกายแบบเต้นวิ่งหรือการเคลื่อนไหวมาก ๆ เพราะไตทำงานหนักอยู่แล้ว การออกกำลังกายช่วงเย็นจะทำให้ไตวายง่าย เวียนหัว ตาพร่า ปวดศีรษะง่าย ยกเว้นการออกกำลังกายแบบโยคะ หรือไทเก๊ก ซึ่งจะไม่ทำให้เกิดกรดแลคติค และควรจะกินอาหารเย็นให้เสร็จก่อน ๑๘.๐๐ น. ควรจะเป็น อาหารที่เบา ๆ เช่น สลัดผัก น้ำผัก-ผลไม้ เพื่อให้ร่างกายย่อยง่าย และควรกินให้เสร็จก่อนเข้านอน ๓ ชั่วโมง
คนที่ทำงานหนักมากทั้งวันแล้วไม่พัก ถ้าทำอยู่เป็นประจำจะทำให้ไต่อ่อนแอลง เกิดการปวดหลัง ปวดข้อต่าง ๆ ปวดเข่า เพราะไตมีหน้าที่ควบคุมกระดูก ไขข้อ ฮอร์โมน ควบคุมพลังชีวิต อวัยวะสืบพันธุ์ เส้นผม เลือด หู และตา
ถ้าทำให้ไตอ่อนแอโดยการไม่ได้พัก ก็จะทำให้อวัยวะส่วนต่าง ๆ ที่กล่าวมาข้างต้นเสื่อมลง เช่น หญิงมีครรภ์ ถ้ายังทำงานหนักทั้งทางกายและทางสมอง จะทำให้แท้งได้ หรือถ้าไม่แท้ง ลูกที่เกิดออกมาก็จะไม่แข็งแรง
ยุคสมัยนี้ผู้คนมีชีวิตอยู่กับเครื่องอิเล็กทรอนิกส์รอบตัว จึงได้รับคลื่นและรังสีมาก จนทำให้เซลล์เม็ดเลือดแตกอยู่เป็นประจำ เช่น การใช้คอมพิวเตอร์อยู่เสมอมักจะเกิดอาการมึนหัว ตาพร่า ปวดหลัง ปวดเอว ปวดต้นขา ปวดน่อง แสดงว่า มีเซลล์เม็ดเลือดตายแออัดอยู่ในร่างกาย จนทำให้ร่างกายขับเซลล์เม็ดเลือดตายออกไม่ทัน จึงเกิดอาการปวดต่าง ๆ ขึ้น ถ้ามีอาการตามกระดูกส่วนต่าง ๆ ของร่างกาย แสดงว่าร่างกายได้สูญเสียเซลล์เม็ดเลือด จึงต้องดึงออกมาใช้จากส่วนต่าง ๆ ของไขกระดูก ถ้าไม่เข้าใจก็จะหายาแก้ปวดต่าง ๆ มากิน ซึ่งที่จริงร่างกายต้องการสารอาหารจำนวนมากเพื่อไปทดแทนเซลล์เม็ดเลือดที่สูญเสียไป โดยเฉพาะแคลเซียม และแมกนีเซียม จะหาได้จาก ผัก พืช ผลไม้ ต่าง ๆ
วิธีแก้ คือ กินสลัดผัก ต้มจืดผัก น้ำปั่นผัก หรือใช้สายไฟที่มีเส้นทองแดงสามเส้นมาใส่รอบเอวเหมือนเข็มขัด
อาหารที่บำรุงไต Top
ควรเน้น พืช ผัก ผลไม้ ที่มี...
สีเข้ม (ดำหรือม่วง) ไม่ใช่ให้กินสีดำอย่างเดียว ควรมีสีอื่นผสมผสานด้วย
เค็ม ปกติความเค็มจะมีปัญหาต่อไต ฉะนั้นควรจะกินเค็มจาก ผัก พืช ผลไม้ โดยการนำไปหมัก หรือดอง เป็นเวลา ๒ ปี เพราะจะทำให้ผัก พืช ผลไม้ มีรสเปรี้ยว หวาน มัน เค็ม อยู่ในตัว และย่อยสลายเป็นกรดอะมิโน ที่ร่างกายสามารถดูดซึมไปใช้ได้ทันที
ส่วนใหญ่มักจะห้ามของหมักดอง เพราะยุคปัจจุบันนี้จะใช้เคมีเร่งในการหมักดองในเวลาอันสั้น ซึ่งจะเป็นพิษภัยมาก แต่ถ้าหมักดองแบบธรรมชาติเป็นเวลา ๒ ปี เช่น บ๊วยดองของคนจีน ช่วยในการย่อยได้ดี หรือ มิโซ่ ( miso, ถั่วหมัก) ของญี่ปุ่น (เมื่อสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ญี่ปุ่น โดนระเบิดปรมาณู คนที่ถูกกัมมันตภาพรังสีเซลล์จะตาย และเน่า เม็ดเลือดจะแตก แต่คนญี่ปุ่นกินมิโซ่เป็นหลักจึงได้รับพิษภัยจากกัมมันตภาพรังสีน้อย แผลหายเร็ว) ด้วยมิโซ่และบ๊วยดอง สามารถช่วยกำจัดรังสีได้ ถ้ากินเป็นประจำ
หนาว เมื่อฤดูหนาว อากาศหนาวเส้นเลือดจะหดตัวไตจะผลิตเลือดได้น้อยลง เราจึงต้องรักษาความอบอุ่นให้ร่างกายอยู่เสมอ เพื่อให้ไตได้ผลิตเลือดไปเลี้ยงร่างกายได้อย่างสมดุล ปกติคนโบราณหลายต่อหลายชาติ มีวัฒนธรรมในการแต่งตัวที่ป้องกันไตไม่ให้ได้รับความเย็นมากเกินไป โดยมีผ้ารัดเอวที่ใหญ่และหนา
กระดูก ในกระดูกจะมีโพรงกระดูกและไขกระดูก เป็นจำนวนมากมาย เพื่อผลิตเม็ดเลือด ถ้าไตแข็งแรงโพรงกระดูก และไขกระดูกจะสามารถผลิตเม็ดเลือดได้อย่างต่อเนื่อง แต่เมื่อใดที่ไตอ่อนแอก็จะผลิตเม็ดเลือดได้น้อยลง ดังเช่น อาการไข้ใด ๆ ก็หมายถึงร่างกายต้องรีบเผาไขกระดูก เพื่อนำไปสร้างเม็ดเลือดให้ร่างกายสมดุล แต่ถ้าเป็นไข้ติดเชื้อ ก็จะต้องเผาไขกระดูกนานขึ้น คนโบราณเวลาเป็นไข้จะดื่มน้ำอุ่นและใช้ผ้าห่มคลุมร่างกาย เพื่อให้เลือดหมุนเวียนได้เร็วขึ้น หรือมักจะใช้คำว่า หยอดน้ำข้าวต้ม หมายความว่าในน้ำข้าวมีกลูโคส ( Glucose) ทำให้ร่างกายย่อยอาหารที่ตกค้างได้อย่างรวดเร็ว จึงสามารถนำไปสร้างเม็ดเลือด และทำให้ฟื้นไข้ได้อย่างรวดเร็ว จึงสามารถนำไปสร้างเม็ดเลือด และทำให้ฟื้นไข้ได้อย่างรวดเร็ว
หู บ่งบอกถึงไต กลางรูหูหมายถึงตำแหน่งของไต ขนาดของใบหู แสดงถึงความแข็งแรงของไต ใบหูยิ่งใหญ่ คนโบราณบอกว่า อายุจะยืนเพราะไตแข็งแรงมาก ถ้าใบหูแข็ง แสดงว่าการหมุนเวียนของเลือดไม่ดี มีกรด ตกค้างอยู่ในร่างกายมาก เพราะใบหูเป็นตัวแสดงถึงอวัยวะทั้งหมดของร่างกาย เวลาง่วงหรือเมื่อยจึงต้องนวดหูเพื่อช่วยกระตุ้นให้ไตหมุนเวียนเลือดส่งไปเลี้ยงร่างกายให้ดีขึ้น คนหูตึงแสดงว่ามีปัญหาที่ไตเพราะกินอาหาร มัน หวาน เป็นเวลาต่อเนื่องนาน ๆ มูกจึงไปพอกอยู่ที่กระดูกทั้ง ๓ คือ ค้อน ทั่ง โกลน ทำให้ส่งสัญญาณได้ไม่ชัดเจน นำไปสู่การหูตึง
ตกใจ กลัว เมื่อไหร่ที่เรามีอาการตกใจกลัว จะส่งผลไปที่ไตทันที บางครั้งเมื่อเกิดการตกใจกลัวสุดขีด ก็จะทำให้ผมขาวได้ในช่วงข้ามคืน และอาจจะสลบได้เพราะเลือดส่งไปเลี้ยงสมองไม่ทัน เช่น เวลาไฟไหม้บางคนสามารถยกตุ่มน้ำเต็ม ๆ หนัก ๆ ออกจากบ้านได้ เพราะต่อมอะดรีนอลที่กรวยไตหลั่งสารอะดรีนาลีนออกมามากเกินไป
จากเวลา ๑ ทุ่ม ถึง ๓ ทุ่ม ช่วงนี้ต้องพักผ่อน และหลังจากช่วงเวลานี้แล้ว ร่างกายก็จะต้องเตรียมตัวพักผ่อนหลับนอนแล้วสะสมพลังงานรวมอีกครั้ง
ผู้ที่พักผ่อนหลับนอนไม่เป็นเวลา ควรจะเปลี่ยนเวลาให้คงที่ไปเลยตลอดชีวิต มิเช่นนั้นร่างกายจะปรับตัวยาก ก่อให้เกิดโรคได้มากมาย เช่น ผู้ที่ทำงานกะดึก ก็ควรทำกะดึกให้ตลอดไป ส่วนอาชีพแอร์โฮสเตสจะแย่ที่สุด เพราะเปลี่ยนเวลาตลอดร่างกายจะสับสนในการปรับเวลา สุขภาพจะเสื่อมโทรมเร็ว
เนื่องจากโลหิตในร่างกายมนุษย์มีการหมุนเวียนเป็นระยะทางเก้าหมื่นกิโลเมตรโดยประมาณ วงจรจะขัดข้องเนื่องจากการกินอาหาร การพักผ่อนไม่ตรงเวลา และการกระทบกระเทือนร่างกายจากอุบัติเหตุ กับการกระทบกระเทือนจิตใจด้วยอารมณ์ “ ต้องการ ” ดูดเข้ามามาก ไม่รู้จักพอ (โลภ) หรือผลักไสออกไปแรง ๆ (โกรธ)
ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสาเหตุหลักในการทำร้ายตัวเอง เราจึงกลายเป็นคนอกตัญญูหรือคนทรยศต่อธรรมะที่สร้างให้เราเกิดขึ้นมาเป็นมนุษย์ เพราะการเกิดมาเป็นมนุษย์นั้นแสนยากแล้วเรายังประมาทปล่อยให้กาลเวลากลืนกินชีวิตของเราไปเสียอีก
ใครเลยจะช่วยท่านได้ ถ้าท่านไม่ช่วยตัวของท่านเอง

มุ่งมั่นย่อมทำได้
ตั้งใจย่อมสำเร็จ
อาหารเป็นกลาง
(สูตรแก้จน) Top
มนุษย์เราเกิดมาอาศัยอยู่บนโลกต้องขึ้นอยู่ที่ “ กรรม ” กับ “ กาละ ” ผู้คนที่อาศัยอยู่ใกล้เส้นศูนย์สูตรมากเท่าใดอาหารก็จะต้องใช้เครื่องเทศและความเผ็ดร้อนมากขึ้นเท่านั้น ถ้าอาศัยอยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรออกไปเครื่องเทศและความเผ็ดร้อนของอาหารก็จะลดลงตาม
ผู้คนเมืองหนาว กระเพาะอาหารและม้ามจะแข็งแรง จึงย่อยแครอทได้ดี
ส่วนผู้คนเมืองร้อน เช่น พวกอัฟริกันหรือพวกเม็กซิกัน จะกินข้าวโพดโดยใช้พริกและเครื่องเทศเป็นกำ ๆ เพื่อช่วยย่อย
ดังนั้น อาหารพื้นบ้าน ของคนไทยในแต่ละภาคจึงต่างกัน
- ภาคเหนือ มีน้ำพริกหนุ่มกับแกงแค (ใส่สะค้าน) ซึ่งมีรสเปรี้ยวและเผ็ดนิดหน่อย
- ภาคกลาง มีแกงเลียงใส่บวบ มัน ฟักทอง พร้อมกับใบแมงลักเป็นหลัก โดยตำหอมแดง กระเทียม กระชาย พริกไทยดำเป็นเครื่อง และมีน้ำพริกกะปิ (เจ) กินกับผักต่าง ๆ
- ภาคอีสาน มีส้มตำ (ไม่ต้องใส่พริกมาก) กินกับข้าวเหนียวกล้องจะดี มีสุกี้ลาวเป็นแจ่วฮ้อน (แกงจืดใส่น้ำพริก) มีแกงป่าใส่กระชายเป็นหลัก
- ภาคใต้ มีแกงเหลือง จะใช้ขมิ้นกับพริกแก้ไม่ให้ลำไส้อักเสบ และแกงเขียวหวานจะใช้กระชายและพริกไทยเม็ดช่วยทำให้กะทิไม่มีปัญหา
เมี่ยงคำ Top
- ใช้ใบทองหลางห่อดีที่สุด หรือใบผักกาดหอม ส่วนใบชะพลูกินได้วันละ ๒-๓ ใบ เพราะมีกรดยูริคสูง
- เครื่องประกอบมี ขิง ถั่วลิสงคั่ว มะพร้าวคั่ว หอมแดง มะนาว
- น้ำราดใช้น้ำมะขามเปียกกับน้ำตาลทรายแดง (เคี่ยว)
[ ถั่วลิสงคั่วทั้งเปลือกใน (สีแดง) ที่หุ้มเมล็ดโดยใช้น้ำเกลือพรมเกลือจะช่วยไม่ให้น้ำซึมเข้าเนื้อ ป้องกันความชื้นไม่ให้เกิดเชื้อรา และจะช่วยรักษาความกรอบเอาไว้ได้นาน ]
เมี่ยงญวน หรือ สลัดน้ำแจ่ว Top
- มีแผ่นแป้งข้าวเจ้าห่อ หรือจะใช้ใบผักกาดหอมห่อก็ได้
- ส่วนประกอบใช้ผักแพว และผักใบเขียวต่าง ๆ พร้อมทั้งผักตระกูลมิ้นท์ (ให้ความเย็นอบอุ่น ชำระเมือกได้)
- น้ำราดใช้กระเทียม+หอมแดง+พริกคั่วตำแล้วใส่ลงไปในน้ำมะขามเปียกเคี่ยวกับน้ำตาลทรายแดง
[ พยายามใช้ผักหมุนเวียนหลาย ๆ ชนิดตามฤดูกาล ]
ถ้าร่างกายมีปัญหาที่... Top
...ม้าม หรือกระเพาะอาหาร ซึ่งเป็นธาตุดิน ควรจะเพิ่มอาหารสีเหลือง เช่น ขมิ้น ฟักทอง (ใส่ใบแมงลัก หรือโหระพา)
...ไต หรือกระเพาะปัสสาวะ ซึ่งเป็นธาตุน้ำ ควรจะเพิ่ม อาหารสีดำ เช่น ลูกหม่อน มันต่อเผือก
... ลำไส้เล็ก หรือหัวใจ ซึ่งเป็นธาตุไฟ ควรจะเพิ่มอาหารสีแดง เช่น มะเขือเทศ หัวปลี
...ปอด หรือลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นธาตุลม ควรจะเพิ่มอาหารสีขาว เช่น ผักกาดขาว เห็ดหูหนูขาว หัวไช้เท้า
...ตับ หรือถุงน้ำดี ซึ่งเป็นธาตุไม้ ควรจะเพิ่มอาหารสีเขียว เช่น ผักใบเขียวต่าง ๆ
ฉะนั้นการปรับร่างกายด้วยอาหารจึงจำเป็นจะต้องเอาปัจจุบันเป็นหลัก
อาหารที่เป็นกลาง จะต้องดูที่ภูมิประเทศ (กินอาหารในรัศมี ๓๐ กม.) และดูเวลา (อาหารตามฤดูกาล และช่วงของวัน)
ตอนเช้าตื่นนอนควรจะดื่มน้ำอุ่น ๆ หรือของร้อน ๆ เป็นการเผาหัวเครื่องยนต์ก่อนจะสตาร์ทเครื่อง ช่วงเวลา ๑๑ โมงเช้า ถึง ๔ โมงเย็น จึงจะดื่มของเย็นได้
และที่สำคัญ “ อาหารที่เป็นกลาง ” จะต้องครอบคลุมทั้ง ๕ ระบบ อันได้แก่
๑. ระบบดูดซึม กะเพรา โหระพา สะระแหน่ ใบมะกรูด ตะไคร้
๒. ระบบทางเดินหายใจ ผักสีเขียวที่มีคลอโรฟีลล์
๓. ระบบหมุนเวียนโลหิต ผักผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงและมีธาตุเหล็กสูง
๔. ระบบภูมิคุ้มกัน ผักสีเขียว
๕. ระบบต่อมไร้ท่อ เม็ดบัว รากบัว ลูกเดือย มันเทศจีน (แป้งจะเปลี่ยนรูปเป็นไขมัน ชนิดที่จะเปลี่ยนเป็นพลังงานได้เร็ว)
ชาล้างพิษในสำไส้ (ช่วยลดไขมันในลำไส้) Top
มิ้นท์ คือ พืชที่มีน้ำมันหอมระเหย อันได้แก่
๑. กะเพรา ๒. โหระพา ๓. สะระแหน่ ๔. ตะไคร้ (ทั้งต้น) ๕. ใบมะกรูด
ต้มอย่างละ ๑ กำมือ ในน้ำ ๑๐ แก้ว เริ่มจับเวลาจากน้ำเดือดไป ๑๐ นาที ยกลงจากเตาปิดฝาเอาไว้ก่อนสัก ๒-๓ นาที เพื่อให้น้ำมันหอมระเหยนอนตัว จึงจะเปิดฝากรองเอากากออกดื่มแต่เช้าให้หมดน้ำนี้จะช่วยขจัดมูกเมือกในระบบทางเดินอาหารทั้งหมด และช่วยปรับให้ลิ้นรับรสชาติที่แท้จริง เพื่อนำไปสู่ความเป็นกลางเข้าสู่สภาวะปกติ จะทำให้อาหารที่คุณกินแม้ไม่มีน้ำตาลก็หวานได้ แม้ไม่มีเกลือก็เค็มได้ตามธรรมชาติ
ซุปผัก (ช่วยฟื้นฟูอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย) Top
- ใช้ผักใบเขียว ๔ ส่วน ผักตำลึงดีที่สุดใช้ได้ทุกวัน ผักกวางตุ้ง ผักกาดขาว-เขียว ผักโขม ผักอ่อมแซบ ผักหวาน ฯลฯ สลับกันไป
- ใช้พืชผักสีแดง ๑ ส่วน ได้แก่ มะเขือเทศ ทุกชนิด
- ใช้พืชผักสีขาว ๑ ส่วน ได้แก่ หอมแขก ต้นหอม หัวไช้เท้า
ใส่น้ำขลุกขลิกต้มพอเดือด (อบ) ยกลงจากเตาเพิ่มน้ำธรรมดา เพื่อลดอุณหภูมิ กะพอกิน นำไปปั่นแล้วตั้งไฟไม่แรงพอเดือดนิดหน่อยก็ยกลงได้ (การเดือนปุดแรก = ๘๐ องศา , ๒-๓ ปุด = ๙๐ องศา , หลาย ๆ ปุด = ๑๐๐ องศา ) ปรุงรสด้วยพริกไทยดำป่นได้เล็กน้อย กินตอนเช้าก่อนอาหารอื่นทั้งหมด เพื่อมิให้ร่างกายต้องทำงานหนักเกินไป จึงกินแป้งตามทีหลัง
น้ำปั่นผัก Top
มีสารอาหารและแร่ธาตุที่ช่วยฟื้นฟูการทำงานของอวัยวะทุกส่วน ดื่มได้วันละ ๕-๘ แก้ว (เช้าหลังซุปผักร้อน ๆ ) จากนั้นเวลาใดก็ได้ดื่มได้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งดี สามารถแทนอาหารหลักได้ประกอบด้วย
- ผักกาดหอม ๒ ใบใหญ่ (ใช้ผักบุ้งนาเขียวแทนได้) จะมีสีเหลืองบำรุงม้าม สีเขียวบำรุงตับ สีขาว (ยาง) บำรุงปอด บางทีมีรสขมบำรุงลำไส้เล็กและหัวใจ
- ขึ้นฉ่าย ๒ ก้านใหญ่ (ใช้ผักชีล้อมได้) ก้านอวบยาวเหมือนเส้นเลือด ทำให้หลอดเลือดแข็งแรง
- หอมใหญ่ ๑/๔ หัว (ใช้หอมแขก ต้นหอม หัวไช้เท้าแทนได้) ช่วยทำให้ปอดและหัวใจแข็งแรง
- มะเขือเทศ ๑ ผลใหญ่ หรือมะเขือเทศสีดา ๕-๖ ผล ช่วยทำให้เม็ดเลือดแดงแข็งแรง
- เสาวรส ๑ ผล (ใช้น้ำมะนาว ๒ ช้อนโต๊ะแทนได้) ฟื้นฟู ภูมิคุ้มกัน รสเปรี้ยวช่วยขับสารพิษที่ม้ามและตับ
- น้ำมะพร้าวอ่อนพร้อมเนื้ออ่อน ๒ แก้ว ช่วยบำรุงเส้นเอ็น มีฮอร์โมนธรรมชาติมากมาย และช่วยบำรุงกล้ามเนื้อ ถ้าไม่มีน้ำมะพร้าว ใช้น้ำเปล่า ๒ แก้ว กับน้ำผึ้ง ๒ ช้อนโต๊ะ
นำมาปั่นรวมกัน ควรจะดื่มทันที (ถ้าเก็บในตู้เย็นก็ไม่ควรเกินครึ่งชั่วโมง)
นมธัญพืช Top
ช่วยฟื้นฟูกระดูก เส้นเอ็น กล้ามเนื้อ ผิวพรรณ ความแข็งแรงของเม็ดเลือด ควบคุมแคลเซียมในเลือดให้สมดุล บำรุงไต เพิ่มฮอร์โมนในวัยทอง
ประกอบด้วย
ข้าวกล้อง (๑ ส่วน) + เม็ดบัว (แห้ง หรือสด) (๑ ส่วน) + ลูกเดือย (๑ ส่วน)
วิธีทำ แช่เม็ดบัว+ลูกเดือยด้วยน้ำเกลือ (๒๐ นาที) แล้วล้างน้ำสะอาด ใส่น้ำปริมาณท่วมพอดี ต้มด้วยไฟแรงให้เดือดปิดไฟทิ้งแช่เอาไว้ ๑ ชั่วโมง แล้วจึงต้มต่อไปด้วยไฟกลางจนสุกค่อย ๆ เจือน้ำธรรมดาลงไปเพื่อลดอุณหภูมิ แล้วจึงนำไปปั่นกับข้างกล้อง (ที่หุงสุกแล้ว) ปั่นพรืดแรกหยุด ปั่นอีกพรืดก็หยุดได้
ต้มน้ำให้เดือดรอไว้และเทของที่ปั่นเอาไว้ลงไป จะไม่ติดก้นหม้อ แล้วคนไปเรื่อย ๆ จนเดือดจึงยกลงได้

หัวน้ำผลไม้เข้มข้นเอนไซม์ (น้ำหมักชีวภาพเพื่อบริโภค) Top
ช่วยปรับสมดุลในร่างกาย ควรดื่มเป็นประจำทุกวัน ๒-๔ ช้อนโต๊ะเป็นอย่างน้อย (ชงผสมกับน้ำ) มีสารอาหารเข้มข้นหลากหลายชนิด สามารถฟื้นฟูและบำบัดอาการผิดปกติของร่างกายได้เป็นอย่างดีและรวดเร็ว
ประกอบด้วย ผลไม้ต่าง ๆ (๓ ส่วน) / น้ำผึ้ง (๑ ส่วน) / น้ำ (๑๐ ส่วน)
หมักให้ได้ ๖ ปี ขึ้นไปถึงจะกินได้ ขบวนการหมัก จะเริ่มเป็นน้ำส้มก่อน แล้วจึงเป็นแอลกอฮอล์ เมื่อผสมกับน้ำผึ้งขั้นตอนสุดท้ายจึงจะเป็นเอนไซม์ เราจะหยุดขบวนการทั้งหมด ด้วยการใส่น้ำผึ้ง ๑ ต่อ ๑ จึงเป็นหัวน้ำผลไม้เข้มข้น
เมื่อเราต้องการจะนำไปสกัดสมุนไพรต่าง ๆ ก็ต้องใช้
หัวเชื้อ (๓ ส่วน) / น้ำผึ้ง (๑ ส่วน) / น้ำ (๓๐ ส่วน) / สมุนไพร (๒ ส่วน)
ชาชะล้างของเสียในเลือด Top
๑. ดอกเก๊กฮวย (สีเหลือง) ๑ กำมือ ช่วยให้ผนังลำไส้แข็งแรง บำรุงม้าม
๒. ดอกมะลิ (สีขาว) ๑ กำมือ ช่วยการหมุนเวียนและการบีบตัวของลำไส้ บำรุงหัวใจ
๓. รากหญ้าคา (สีขาว) ๑ กำมือ ช่วยชะล้างของเสียและไขมันในลำไส้ ล้างไต
๔. เก๋ากี้ (สีแดง) ๑ กำมือ ช่วยให้เม็ดเลือดแดงแข็งแรงและช่วยสร้างภูมิต้านทาน (ห่อผ้าขาวบางเก็บไว้กินภายหลังได้)
ต้มด้วยน้ำ ๑๐ แก้ว เริ่มจับเวลาจากน้ำเดือดไป ๑๐ นาที (เพื่อไม่ให้สารแทนนินออก) กรองดื่มภายใน ๑ วัน (ดื่มอุ่น ๆ ดีกว่าเย็น)

ยาแก้อักเสบ Top
ระดับที่ ๑ น้ำผึ้ง + ผลไม้เปรี้ยว (บำรุงเลือด)
ระดับที่ ๒ น้ำผึ้ง (๓ ชต.) + น้ำผลไม้เปรี้ยว (๑ ชต.) + กระเทียม (๕ กลีบ) + พริกไทยดำ (๕ เม็ด)
ระดับที่ ๓ บอระเพ็ด (ขม) + ไพล (ร้อน) + น้ำผึ้ง (ประสาน)
ระดับที่ ๔ หัวน้ำหมัก (๖ ปี) + บอระเพ็ด + ไพล + น้ำผึ้ง
อาหารพื้นบ้านแก้จน Top
- ใบมันเทศ (ทุกชนิด) คั่ว เหยาะซีอิ๊วและน้ำมันงา (หีบเย็น)
- เต้าหู้อ่อน (เป็นแผ่น) ทอดน้ำมันรำใส่ซีอิ๊ว
- เต้าหู้อ่อนนึ่ง ใส่ขิงซอย เต้าเจี้ยว พริก หอม กระเทียม ตะไคร้ บ๊วยดอง
- น้ำพริกหนุ่ม หอมแขกหรือหอมแดง + มะเขือเทศสีดาห่ามสีเขียว (มากหน่อย) + กระเทียม + พริมหนุ่ม (พริกสีเขียวอ่อน) นำทั้งหมดมาเสียบไม้ย่าง แล้วตำใส่ซีอิ๊ว เกลือ ถ้ามีมะกอกป่าให้ใส่เนื้อลงไปด้วย (แทนผงชูรส) ถ้าใส่น้ำปลาร้าเจมาก ๆ จะอยู่ได้นาน (เก็บโดยใช้ฝาชีครอบให้ลมโกรดไม่ต้องปิดสนิท)
- ปลาร้าเจ (Miso) แบบง่าย ๆ แค่เอาเต้าเจี้ยวคั่วไฟให้หอมแล้วใส่ซีอิ๊ว
วิธีทำ ใช้ถั่วแดง-เหลือง-ดำ ต้มหรือตุ๋นให้เปื่อย เทใส่กระจาดให้สะเด็ดน้ำ ใส่โอ่งหมัก ปิดด้วยใบตองกล้วย ๔-๘ วัน ให้ขึ้นราขาว ต้มน้ำเกลือเทใส่ พร้อมข้าวคั่วกับรำอ่อนตำ แล้วเอาน้ำมะพร้าวแก่ใส่พอดี ๆ (ยิ่งมากยิ่งเปรี้ยว) ปิดฝาโดยใช้ผ้าฝ้ายมัดปากให้สนิทหลาย ๆ ชั้น แล้วเอาฝาโอ่งปิด ตากแดดไว้ ๖ เดือน – ๒ ปี (ถ้า ๒ ปีจะมีประสิทธิภาพมากกว่า)
- บ๊วยดอง เอาลูกบ๊วยคลุกเกลือใส่ไห ปิดไหให้สนิท หรือใส่โหลแก้วปิดฝา เก็บไว้ ๒ ปี หรืออย่างน้อย ๔๙ วัน โรยน้ำตาลแดงนิดหน่อย เมื่อจะกินกับข้าวต้ม
- จับฉ่าย (ซุปผัก ๑๐ ชนิด)
๑. มะระ เอาเนื้อมะระมาหั่นคลุกเกลือ ๑๐ นาที แล้วล้างออก (เพื่อลดความขม) ควักไส้มะระพร้อมเม็ดนำไปทอดไฟแรงกับน้ำมันรำ นำเอาเห็ดหอม เห็ดหูหนูดำ-ขาว ทั้ง ๓ เห็ด มาเจียว ๒. ดอกไม้จีน ๓. หัวไช้เท้า ๔. คะน้า ๕. กวางตุ้ง ๖. ผักโขมต้นใหญ่ ๗. กะหล่ำปลี ๘. ปวยเล้ง ๙. ผักกาดเขียว ๑๐. ขึ้นฉ่าย เอาทั้ง ๑๐ รายการใส่น้ำท่วม ๑ ต่อ ๑ ต้มให้เดือดก่อนแล้วตุ๋นต่อด้วยไฟอ่อน ๆ (๕๐-๖๐ องศา) ประมาณครึ่งชั่วโมง แล้วค่อยเหยาะเกลือนิดหน่อยก่อนยกลงจากเตาไฟ
- ถั่วลิสงต้ม นำถั่วลิสงเม็ดต้มกับเครื่องเทศ (กระเทียม พริกไทย โป๊ยกั๊ก รากผักชี อบเชย ลูกผักชี ยี่หร่า) ต้มให้เดือดแล้วตุ๋นต่อด้วยไฟอ่อน ๆ (๕๐-๖๐ องศา) ประมาณครึ่งชั่วโมงจนเม็ดถั่วสุกนิ่มแต่ไม่เละ
- ถั่วเขียวต้มน้ำตาลแดง ใส่น้ำ ๕ เท่าของถั่วเขียว ต้มให้เดือดแล้วตุ๋นต่อด้วยไฟอ่อน ๆ (๕๐-๖๐ องศา) ประมาณครึ่งชั่วโมง จนเม็ดถั่วสุกนิ่มแต่ไม่เละ จึงใส่น้ำตาลแดง ดื่มแต่น้ำ ไม่กินถั่ว
- มันเทศจีน ต้มกับขิงด้วยน้ำ ๕ เท่า ต้มให้เดือดแล้วตุ๋นต่อด้วยไฟอ่อน ๆ (๕๐-๖๐ องศา) ประมาณครึ่งชั่วโมง จึงใส่น้ำตาลแดง (พอปะแล่ม ๆ ) ดื่มแต่น้ำ ไม่กินมัน
การปรุงอาหารเร็วจะเป็นหยาง แต่ถ้าเคี่ยวนาน ๆ น้ำของอาหารจะออกมาแล้วกลับเข้าไปในเนื้อใหม่ จะเป็นหยิน การปรุงอาหารเร็วจะเป็นหยาง แต่ถ้าเคี่ยวนาน ๆ น้ำของอาหารจะออกมาแล้วกลับเข้าไปในเนื้อใหม่ จะเป็นหยิน
- ไซรัป ส้มจี๊ด มะกรูด มะนาว อย่างใดอย่างหนึ่ง เอาทั้งลูก (ทั้งเปลือกและเม็ด) ใช้ผลไม้ ๓ ส่วนต่อน้ำตาลแดง ๑ ส่วน หมัก ๒๑ วัน เอาทั้งหมดมาตั้งไฟให้เดือด ๑ ปุด (๘๐ องศา) ใส่ขวดเก็บไว้ใช้อมแก้ไอและแก้ปัญหาระบบทางเดินหายใจ
เมื่อเรากินอาหารที่เป็นกลางเข้าไปก็จะส่งผลไปปรับร่างกายให้เป็นกลาง จึงเกิดความสมดุล
ควรกินอาหารให้ครบ ๕ สี ๙ รส
๕ สี คือ ๑. เขียว ๒. เหลือง ๓. แดง ๔. ขาว ๕. ดำ (ม่วง)
๙ รส คือ ๑. ฝาด (สมาน) ๒. หวาน (ซึมซาบตามเนื้อ) ๓. เมาเบื่อ (แก้พิษ) ๔. ขม (แก้น้ำดีและโลหิต) ๕. เผ็ดร้อน (แก้ลม) ๖. มัน (แก้เส้นเอ็น) ๗. หอมเย็น (บำรุงหัวใจ) ๘. เค็ม (ซึมซาบไปตามผิวหนัง) ๙. เปรี้ยว (ขับเสมหะ)
ข้อควรระมัดระวังในการหุงต้มปรุงอาหารผ่านความร้อน ไม่ควรใช้ภาชนะอะลูมิเนียมเป็นอันขาด สารพิษจะทำลายสมองให้ฝ่อ ใช้ภาชนะดิน หรือทองเหลือง จะดีที่สุด หม้อเคลือบก็พอใช้ได้ สเตนเลสพอหุงข้าวได้
ข้าวกล้องช่วยสุขภาพ
ข้าวกล้องคือ ข้าวที่สีเอาเปลือกออก แต่ไม่ได้ขัดสีรำออก จึงยังคงคุณค่าสารอาหารต่าง ๆ รวม ๒๐ กว่าชนิด แต่เดิมคนไทยตำข้าวกินเองเรียกว่า ข้าวซ้อมมือ ปัญหาโรคเหน็บชาและโรคปากนกกระจอกมีน้อย
ต่อมามีเครื่องจักรสีข้าวได้ขาวสวย คนก็นิยมเพราะกินนิ่มลิ้นหวานอร่อย จึงนิยมกินข้าวขาว ทำให้โรคภัยรุมเร้าเจ็บป่วยง่ายขึ้น
ข้าวกล้องมีโปรตีนชั้นดี มีกลุ่มวิตามินบีสูงมาก แม้กระทั่งเกลือแร่หลายอย่าง อีกทั้งยังมีไขมันที่ดีด้วย กินข้าวกล้องขับถ่ายสะดวก
ผู้ใส่ใจสุขภาพจะหันมากินข้าวกล้อง และแนะนำญาติพี่น้องเพื่อนฝูงให้กินข้าวกล้องด้วย แต่มีเรื่องน่าคิดอยู่สักหน่อยว่า พระภิกษุสามเณรซึ่งต้องฉันอาหารตามที่บิณฑบาตได้ มีข้าวขาวเป็นหลัก ขนมถุงก๊อบ ๆ แก๊บ ๆ เค็ม-หวาน-มัน อร่อยแต่ด้วยคุณค่า น้ำขวดใส่สารกันบูด แต่งสีแต่งกลิ่นแต่งรสเลียนธรรมชาติ เป็นอย่างนี้ต่อเนื่องนับเดือนนับปี...

อยากผอม หุ่นดี วิธีหนึ่ง คือ “ กินมื้อเช้า ” Top
7 อ. เพื่อสุขภาพที่ดี
1. อิทธิบาท 4
2. อารมณ์
3. อาหาร
4. อากาศ
5. ออกกำลังกาย (อิริยาบถ)
6. เอนกาย
7. เอาพิษออก